ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 พฤษภาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) Shukur2003@yahoo.co.uk |
เผยแพร่ |
ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกคน
2 พฤษภาคม 2561 สิ้นเสียงนกหวีด การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ระหว่างโรมากับลิเวอร์พูล ถึงแม้นัดนี้ลิเวอร์พูลจะแพ้ 2 ต่อ 4 แต่ผลรวมลิเวอร์พูลชนะ 7 ต่อ 6 ทำให้ลิเวอร์พูลได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับเรอัล มาดริด
ซึ่งแน่นอนว่า โม ซาลาห์ คือผู้เป็นตัวจักรหลักของลิเวอร์พูลในความสำเร็จครั้งนี้
โม ซาลาห์ ที่สื่อไทยและเทศเรียกสั้นๆ มีชื่อเต็มตามการสะกดภาษาอาหรับที่ถูกต้องคือ มุฮัมหมัด ซอลาห์ ฆอลีย์ (อาหรับ : Muhammad Salah Ghali)
ถึงแม้ในหนังสือเดินทางเขาจะสะกดว่า โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (อังกฤษ : Mohammed Salah)
เขาเป็นเด็กยากจนชนบทหรือบ้านๆ จริงๆ เมืองเล็กๆ คือ นากริก หมู่บ้านเกษตรกรรมที่อยู่ทางตอนเหนือของกรุงไคโรไปราว 100 ไมล์ ของอาณาจักรฟาโรห์ ประเทศอียิปต์
เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ.1992 ปัจจุบันเล่นให้กับทั้งทีมชาติอียิปต์และลิเวอร์พูล ในตำแหน่งกองหน้าหรือปีกที่คอยทะลุทะลวงตาข่ายคู่ต่อสู้
ภาพที่ได้บอลในกรอบเขตโทษและพยายามลากหนีตัวประกบถึง 3 ถึง 5 คนไปทางขวาบ้างซ้ายบ้าง ก่อนล็อกกลับมาเข้าเท้าซ้ายและแต่งบอลก่อนจะง้างเท้ายิงผ่านผู้รักษาประตูและจุมพิตธรณีเพื่อเป็นการแสดงขอบคุณพระเจ้า (การจุมพิตธรณีหรือพื้นสนามหญ้าเป็นการก้มกราบพระเจ้าตามทัศนะอิสลาม) จะเห็นบ่อยมาก
รวมทั้งนัดรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกนัดแรกกับโรมาเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความมหัศจรรย์บนปลายเท้าของดาวเตะที่ร้อนแรงที่สุดของโลกเวลานี้
ที่นากริกเขาเตะบอลที่นี่ ท่ามกลางผืนหญ้าสีเขียวที่กว้างใหญ่ หรือข้างถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น
เขาและเพื่อนๆ ใช้เวลาในการเล่นฟุตบอลเคียงข้างกันมาโดยตลอด
เขาเคยสมมุติตัวเองว่าบางวันเขาก็เป็นโรนัลโด้
บางวันเขาก็เป็นซีเนดีน ซีดาน (อาหรับอ่านว่าไซนุดดีน ซีดาน) และในบางวันเขาก็เป็นฟรานเชสโก ต็อตติ แห่งทีมโรมาที่เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะมาอยู่ที่นี่ในอนาคต และขณะเดียวกันดับฝันโรมาในรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
ด้วยความสามารถอันโดดเด่น จากการเตะฟุตบอลเล่นกันแถวบ้านว่าไม่มีใครที่แย่งบอลจากเท้าของเขาได้ เขาก็พยายามผลักดันเข้าทีมท้องถิ่นอย่างบาซียูน ด้วยการกำหนดของพระเจ้าตามที่เขาศรัทธาเหมือนมุสลิมทั่วไป
ในเกมทดสอบฝีเท้านัดหนึ่ง แมวมองจากสโมสรมุกอวิลูน สโมสรระดับพรีเมียร์ลีกของอียิปต์ เดินทางมาเพื่อจับตามองดาวรุ่งคนหนึ่ง
และได้สะดุดตาและสะดุดใจเขาซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางในเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพจริงๆ ของเขา
การจะประสบความสำเร็จได้นั้นไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายดายย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างบนโลกล้วนต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
สิ่งที่เขาต้องใช้แลกมาคือระยะเวลาในการเดินทางอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง กับการเดินทางจากนากริกเพื่อไปกรุงไคโรในทุกเช้าเป็นเวลา 4 ชั่วโมง และขากลับจากการฝึกซ้อมที่เหน็ดเหนื่อยอีก 4 ชั่วโมง
เขาทำแบบนี้สัปดาห์ละ 5 วัน แม้ว่าบ่อยครั้งที่เขาต้องโดดเรียนเพื่อที่จะกระโดดขึ้นรถบัสไปซ้อมได้ทันเวลาก็ต้องยอม
และเดือนที่มุสลิมถือศีลอดเขาต้องถือศีลอดด้วยพร้อมทั้งละหมาด 5 เวลาไม่ขาด
เขากล่าวว่า
“ผมพลาดการไปโรงเรียนบ่อยๆ เพราะว่ามันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ผมไปซ้อมได้ทันเวลา บางครั้งผมไปโรงเรียนแค่ 2 ชั่วโมง ช่วง 7-9 โมงเช้า จากนั้นผมก็ต้องขึ้นรถบัสไปซ้อมเลย…แต่เพราะการเป็นนักฟุตบอลเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน และในวันเวลาแห่งความเยาว์วัยนั้น เราทุกคนฝันในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น”
เมื่อได้เข้าในทีมเยาวชนของสโมสรมุกอวิลูนเขาก็เจอปัญหาใหม่ เมื่อเขาไม่สามารถที่จะทำผลงานได้ดีนักในตำแหน่งที่เขาได้รับมอบหมายจากโค้ช
ตำแหน่งนั้นไม่ใช่กองหน้า ปีก หรือกองกลาง หากแต่เป็นตำแหน่งแบ๊กซ้ายที่เขาถูกมอบหมายจากโค้ชซาอีด อัล-ชิชินี ให้เขาในวัย 15 ปีขณะนั้นลงเล่นกับทีมในรายการฟุตบอลลีกระดับเยาวชนในกรุงไคโร
ในเกมหนึ่งหลังจากที่สโมสรมุกอวิลูนแพ้คู่แข่งยับถึง 4-0 เขานั่งร้องไห้เสียใจอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องแต่งตัว เพราะในเกมนั้นเขาในบทบาทแบ๊กซ้าย ได้โอกาสหลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับผู้รักษาประตูฝั่งตรงข้ามมากถึง 5 ครั้ง ถ้าเขาเปลี่ยนโอกาสทั้งหมดให้เป็นประตูได้ ย่อมทำให้ทีมของพวกเขาเป็นฝ่ายกำชัยชนะได้ทันที
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาทำไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว
วันนั้น อัล-ชิชินี ให้เงินค่าขนมกับเขาเพื่อเป็นการปลอบใจ พร้อมกับคิดหาคำตอบว่าทำอย่างไรเขาจะช่วยให้ไอ้หนูคนนี้เปล่งประกายได้มากกว่านี้
คำตอบที่พบคือ เขาไม่ควรเล่นในตำแหน่งแบ๊กซ้ายอีก เพราะกว่าที่เขาจะลุยมาถึงหน้าปากประตูได้เขาก็ไม่เหลือกำลังขาที่จะวางเท้ายิงได้อย่างแม่นยำแล้ว
ดังนั้น ตำแหน่งใหม่ที่ไอ้หนูคนนี้ควรได้เล่นคือ “ปีกขวา”
“ผมบอกกับเขาว่า ถ้าเขาเล่นตำแหน่งนี้ เขาจะเป็นดาวซัลโวได้อย่างแน่นอน” อัล-ชิชินี ยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้ดี
จบฤดูกาลนั้น เขาทำได้ 35 ประตู เขาเป็นดาวซัลโวของทีม และเป็นดาวเด่นที่ทุกคนจับตามอง
เขาพัฒนาการเล่นอย่างรวดเร็ว ในวัย 16 ปี เขาได้โอกาสลงสนามนัดแรกกับสโมสรมุกอวิลูน ในนัดที่พบกับสโมสรมันซูเราะห์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2010 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาเป็นตัวสำรองในเกมที่จบลงด้วยการเสมอกัน 1-1
หลังจากนั้นแค่ 2 ปี เขากลายเป็นผู้เล่นของทีมชาติอียิปต์ไปเสียแล้ว ชื่อของเขาถูกกล่าวขานไปตลอดแนวแม่น้ำไนล์
ในฤดูกาล 2011-2012 วงการฟุตบอลอียิปต์ต้องอยู่ในความมืดมน เมื่อเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่สนามพอร์ต ซาอีด ที่ทำให้มีแฟนฟุตบอลเสียชีวิตถึง 74 ราย และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นและภาพความรุนแรงในการปะทะกันระหว่างแฟนฟุตบอลทีมอัล-มัสรี และอัล อะห์ลี ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าลีกฟุตบอลจะต้องหยุดการแข่งขันทันที
ระหว่างนั้นเขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติในชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี ชุดที่เตรียมพร้อมลงแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน โดยมีการจัดนัดอุ่นเครื่องกับเอฟซี บาเซิล สโมสรจากสวิตเซอร์แลนด์
ในเกมนั้นเขาถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรอง (อีกแล้ว) และเขาทำคนเดียว 2 ประตูช่วยให้ฟาโรห์น้อยเฉือนชนะบาเซิลที่วันนั้นมีทั้งเชร์ดาน ชาคิรี, ฟาเบียน ฟราย และวาเลนติน สต็อกเกอร์ ด้วยสกอร์ 4-3
ถัดมา 1 เดือน บาเซิลประกาศคว้าตัวปีกชาวอียิปต์เข้ามาร่วมทีมทันที!
ด้วยการกำหนดของพระเจ้าได้นำพาเขาไปสู่ที่ใหม่ที่ดีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือกำแพงชีวิตที่ใหญ่ หนา และสูงกว่าทั้งหมดที่เคยเจอ
การใช้ชีวิตลำพังในสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่ไม่มีอะไรเหมือนกับบ้านเกิดที่อียิปต์เลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กอายุแค่ 18-19 ปี
อย่าว่าแต่ภาษาสวิต-เยอรมัน เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำได้เพียงแค่เดินเตร่บนถนนหนทางในบาเซิลในช่วงหลังการฝึกซ้อม มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของเขา
จนกระทั่งในเดือนมกราคม 2013 บาเซิลคว้าตัวมุฮัมหมัด อัลเนนี กองกลางชาวอียิปต์มาร่วมทีมอีกคน การมีเพื่อนทำให้เขาเริ่มกลับมาทำผลงานได้อย่างโดดเด่นใน 79 นัดที่ลงสนามให้กับทีม
เขาทำได้ 20 ประตูและอีก 17 แอสซิสต์
หนึ่งในนั้นเป็นประตูที่เขายิงใส่เชลซีในเกมรอบรองชนะเลิศยูโรป้าลีก เมื่อปี 2013
และเขายิงสิงห์บลูส์ได้อีก 2 นัดในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกด้วย
ลิเวอร์พูล (ทีมในดวงใจของเขา) เป็นทีมแรกที่พยายามติดต่อขอซื้อตัว “เมสซี่แห่งอียิปต์” อันเป็นสมญาที่เขาได้รับในขณะนั้น
แต่การเจรจากลับล่าช้าและไร้วี่แววที่การเจรจาจะลุล่วงได้
ต่อให้หัวใจจะรักทีมสีแดงแห่งเมอร์ซีย์ไซด์แค่ไหน เขารู้ว่าชีวิตจริงมันยากและซับซ้อนเกินกว่าที่ใครจะได้ในสิ่งที่ต้องการตลอดเวลา
สุดท้ายเป็นเชลซีที่ทำแบบเดียวกันกับบาเซิล ที่ประกาศคว้าตัวซาลาห์มาร่วมทีมได้สำเร็จด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคม 2014
เพียง 18 เดือนนับตั้งแต่ที่เขาย้ายจากอียิปต์มาสวิตเซอร์แลนด์
Sim Salah Bis การร่ายมนต์ของซาลาห์ ชีวิตของซาลาห์กับเชลซีเริ่มต้นเหมือนจะสวยงาม
เขาทำประตูได้ในเกมที่ไล่ถล่มอาร์เซนอล 6-0 และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมในเกมที่พบกับสโต๊กและซันเดอร์แลนด์ และอีกหนึ่งเกมที่เขาจดจำคือการไปเยือนแอนฟิลด์ ในเกมที่ทีมของเบรนดัน ร็อดเจอร์ส ต้องการชัยชนะเพื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกให้ได้
“ตั้งแต่เด็กผมเป็นแฟนลิเวอร์พูลมาตลอด พวกเขาเป็นทีมโปรดของผม และการได้ลงเล่นในแอนฟิลด์มันเป็นอะไรที่พิเศษมากสำหรับผม บรรยากาศในเกมวันนั้นมันยอดเยี่ยมมาก ผมจำได้ว่าในวันนั้นผมบอกกับตัวเองว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่พิเศษมากสำหรับการลงเล่นฟุตบอล”
แต่ในวันนั้นซาลาห์ได้โอกาสลงเล่น 60 นาที และเกมจบลงด้วยชัยชนะของเชลซีที่บุกมาคว้า 3 แต้มที่แอนฟิลด์ 2-0 โดยประตูแรกเกิดจากการ “ลื่น” ของสตีเวน เจอร์ราร์ด และแน่นอนว่าเป็นเกมที่ดับฝันการคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกของลิเวอร์พูลอย่างเจ็บปวดที่สุด
ขณะที่ชีวิตของเขากับเชลซียากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสในการลงสนามยิ่งลดน้อยลงไปทุกวัน ความสัมพันธ์กับโฆเซ่ มูรินโญ แม้จะไม่เลวร้ายแต่ก็ไม่หอมหวาน
สุดท้ายเขาถูกส่งตัวไปให้กับฟิออเรนตินายืมใช้งานในฤดูกาลถัดมา ในวันที่ไม่มีใครคาดหวังอะไรจากนักเตะที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าจิ้มพรวดวิ่งแข่งไปข้างหน้า
ณ เข็มนาฬิกานั้นไม่มีใครจินตนาการไว้ว่า ซาลาห์จะกลับมาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในสีเสื้อของทีมม่วงมหากาฬ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเขากลายเป็นดาวเด่นประจำทีมอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ
เขาทำได้ 9 ประตูจากการเล่น 26 นัดให้ลา วิโอลา โดยหนึ่งในนั้นเป็นประตูที่ถูกพูดถึงอย่างมากกับการ “โซโล่” คนเดียวจากแดนตัวเองเข้าไปยิงผ่านจิอันลุยจิ บุฟฟอน ในเกมโคปปา อิตาเลีย รอบรองชนะเลิศนัดแรก
Gazzetta Dello Sport หนังสือพิมพ์กีฬาที่ดังที่สุดในอิตาลีถึงกับพาดหัวตัวไม้ในวันนั้นว่า “Sim Salah Bis” ซึ่งมาจากคำร่ายมนต์ของตัวละคร “ฮัดจิ” ในการ์ตูนดังของอเมริกายุคปี 60s เรื่อง Jonny Quest
วินเชนโซ มอนเตลลา โค้ชโรมาในเวลานั้นยอมรับว่า บนโลกนี้อาจจะมีคนเดียวที่เร็วกว่าซาลาห์ คนนั้นคือ ลิโอเนล เมสซี่
ในปีถัดมา เขาถูกส่งให้ยืมตัวอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นทีมใหญ่กว่าอย่างโรมา ที่ทำให้เขาได้เล่นร่วมกับฟรานเชสโก ต็อตติ ขวัญใจในวัยเด็กอีกครั้ง
2ฤดูกาลกับโรมาเป็นช่วงเวลาที่ซาลาห์เปล่งประกายต่อเนื่อง เขาเป็นกำลังสำคัญของทีม ทำได้ 29 ประตูจากการเล่น 65 นัด และเคยได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรในฤดูกาล 2015-2016 ด้วย
เหนืออื่นใดคือการที่ซาลาห์ได้โอกาสลงเล่นนัดสุดท้ายกับ “จัลโล่รอสซี่” ในเกมเดียวกับที่ต็อตติประกาศอำลาสนามในวันที่กรุงโรมต้องหลั่งน้ำตาเมื่อปีกลาย
โดยที่วันนั้นเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาถูกจับตาจากสุดยอดโค้ชคนหนึ่งของวงการ
และโค้ชคนนั้นเฝ้ารอที่จะดึงตัวเขากลับมาสู่ทีมที่เขาควรจะได้อยู่มานานกว่า 6 เดือนแล้ว
เจอร์เก้น คล็อปป์ จับตามองเขามามากกว่า 6 เดือน ฟุตเทจการเล่นของสตาร์อียิปต์จำนวนมากมายมหาศาลผ่านสายตาของเขา
และยิ่งทำให้ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันมั่นใจว่า นี่คือคนที่เขาต้องการในแนวรุก ก่อนจะเดินเครื่องเจรจาและคว้าตัวมาร่วมทีมได้สำเร็จ
แต่สิ่งที่คล็อปป์เองก็ไม่เคยคิดเลยก็คือ ไม่คิดว่าเขาจะเก่งกาจจนเข้าขั้นมหัศจรรย์ขนาดนี้ นับจากเกมแรกที่เขาได้โอกาสลงเล่นกับลิเวอร์พูลในเกมกับวีแกน ในรายการอุ่นเครื่องพรีเมียร์ลีก เอเชีย โทรฟี ที่ฮ่องกง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2017 เขาพัฒนาการเล่นของตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากคนที่คล็อปป์บอกว่า “ไม่รู้อะไรเลยว่าลิเวอร์พูลมีวิธีในการเล่นเกมรับอย่างไร” และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้วิธีการเล่นในแบบ Gegenpressing ในวันนี้ ซาลาห์เข้าใจสไตล์การเล่นแบบนี้อย่างถ่องแท้ และในเกมกับวัตฟอร์ด นอกจาก 4 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ที่ทำได้ เขายังลงมาไล่บอลจนถึงหน้ากรอบเขตโทษของแดนตัวเองตลอดเวลา
คล็อปป์และเขาต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งกันและกัน สิ่งนั้นคือ “โอกาส” ที่คล็อปป์มอบให้ โดยเขาได้ “ความทุ่มเท” ที่ไร้ขีดจำกัดของซาลาห์เป็นสิ่งตอบแทน
จากปีกที่เหมือนจะมีจุดเด่นแค่ความเร็วแต่ขาดความเฉียบขาดในการจบสกอร์ จนแฟนบอลทีมคู่แข่งแซวว่าเป็น Headless Chicken หรือไก่ไร้หัวที่วิ่งพล่านไปทั่ว
เขาได้รับการขัดเกลาจนกลายเป็นปีกกึ่งกองหน้าที่เลือกใช้ความเร็วในจังหวะที่ถูกต้องเหมาะสม และจบสกอร์อย่างเฉียบคมอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในวันนี้ ในบางภาพ บางสถานการณ์ เขาเหมือนภาพเงาของเมสซี่มากขึ้นและมากขึ้นทุกทีและมีแน้วโน้มจะชนะเมสซี่เพราะเป็นตัวเต็งจะคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป (European Footballer of the Year) หรือรู้จักกันในชื่อ บัลลงดอร์ (Ballon d”Or – ภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “ลูกบอลทองคำ”) ในขณะเดียวกันนำลิเวอร์พูลเข้าชิงถ้วยใหญ่ยุโรป ซึ่งก่อนหน้านั้นได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีผู้สื่อข่าวฟุตบอลอังกฤษ
ไม่ใช่แค่รูปร่าง เท้าซ้าย และสไตล์การเล่น แต่ยังรวมถึงการเป็นผู้เล่นที่พร้อมที่จะสำแดงเดชเพื่อช่วยทีมในเกมสำคัญ
เขาอาจจะเล่นไม่ออกในเกมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ไม่ใช่ในเกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมแรกที่หยุดสถิติ “ไร้พ่าย” ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา เอาไว้ได้ในพรีเมียร์ลีก (และยังเป็นทีมเดียวจนถึงเวลานี้)
และอีกหลายนัดที่ทีมเล่นไม่ออก ซาลาห์ก็พร้อมที่จะเป็นคนที่สร้างความแตกต่างให้กับทีมเหมือนในเกมกับเลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อเดือนธันวาคมปีกลาย ในวันที่อดีตแชมป์พรีเมียร์ลีกที่มหัศจรรย์ที่สุดไล่ต้อนจน “หงส์แดง” ใกล้เสียท่า ซาลาห์ก็โชว์การเล่นที่ไม่มีใครคาดคิดด้วยการพลิกบอลผ่านแฮร์รี่ แม็กไกวร์ ปราการหลังร่างยักษ์ที่ทำได้ดีตลอดทั้งเกมจนเสียท่า และเข้าไปยิงประตูอย่างเหนือชั้น
เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าชัยชนะ
และแน่นอนประตูที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขากับการยิงลูกจุดโทษในเกมนัดสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนแอฟริกา ในเกมที่พบกับคองโก
จุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 94 ที่จะตัดสินว่าอียิปต์จะได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปีหรือไม่
เขาอาสาแบกรับความหวังของคนทั้งชาติ โดยไม่หวั่นว่าหากทำไม่สำเร็จเขามีโอกาสจะกลายเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาคนทั้งประเทศทันที
โชคดีที่เขานิ่งพอที่จะส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จ
อียิปต์ได้ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และรอยยิ้มของเขาในวันนั้น คือรอยยิ้มของคนทั้งชาติ
ในวันนี้ ณ เข็มนาฬิกาเดินไป ความเก่งกาจของเขาเป็นที่ประจักษ์แล้วในโลกฟุตบอล
แต่เขาไม่ได้เป็นแค่สิ่งมหัศจรรย์ในสนามครับ ในทางตรงกันข้าม เขาได้กลายเป็นนักฟุตบอลผู้เป็นเจ้าของปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในอียิปต์
สิ่งที่เขาเป็นนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ ลิโอเนล เมสซี่ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เองก็ทำไม่ได้ สิ่งนั้นคือการเป็น “ศูนย์รวมใจ” ของคนทั้งชาติ
เขาไม่เพียงแต่เป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจ แต่เขายังเป็น “คนดี” ที่พร้อมเสียสละเพื่อประเทศชาติและบ้านเกิดเสมอ
ในวันที่เขาทำประตูให้อียิปต์คว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก อดีตประธานาธิบดีประกาศมอบรางวัลวิลล่าสุดหรูให้เขาอยู่สบายๆ ตามประสาฮีโร่ของแผ่นดิน
แต่เขากลับปฏิเสธที่จะรับรางวัลนี้เพียงคนเดียว และขอให้นำเงินไปมอบเป็นการกุศลให้กับหมู่บ้านของเขาและตลอดมา
เขาบริจาคเงินอย่างมากมายเพื่อบ้านเกิดของเขา ทั้งโรงเรียน ศูนย์กลางชุมชน ซื้อของบริจาคให้แก่ผู้คนที่ยากไร้
รวมถึงบริจาคอาหารในช่วงเดือนแห่งการถือศีลอด เด็กๆ จำนวนมากได้รับของขวัญที่เขาซื้อมาให้
เขาใช้ค่าตอบแทนจากการเล่นฟุตบอลจากสโมสรลิเวอร์พูลราวสัปดาห์ละ 90,000 ปอนด์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ประชากรจำนวน 15,000 คนในนากริกได้รับอยู่ราวสัปดาห์ละ 125 ปอนด์ มากมายหลายร้อยหลายพันเท่า เพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิดและคนในบ้านเกิดของเขา โดยที่สิ่งเหล่านี้เขาไม่เคยคิดประกาศให้ใครรู้มาก่อน
แม้กระทั่งงานแต่งงานของเขา เขาก็จัดงานในบ้านเกิด โดยแขกที่ได้รับเชิญก็คือคนในชุมชนที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก
ซึ่งซาลาห์เชื่อว่านี่คือสักขีพยานแห่งความรักที่ดีที่สุดระหว่างเขาและภรรยา ไม่ใช่เหล่าเซเลบริตี้ดาราที่ไหน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเป็น “ที่รัก” ไม่ใช่เฉพาะที่นากริก แต่ยังรวมถึงที่ไคโรและทั่วทั้งอียิปต์ในทุกนัดที่ลิเวอร์พูลลงแข่งขัน ชาวอียิปต์จะพร้อมใจหยุดทุกอย่างแล้วมานั่งหน้าจอช่วยกันเชียร์ซาลาห์กันทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะชอบทีมอะไรมาก่อน
ไม่ว่าจะชอบทีมอะไร แต่ถ้าเป็นเกมที่เขาลงสนาม วันนั้นพวกเขาคือเดอะ ค็อป (จำเป็น) หากดิดิเยร์ ดร็อกบา คือคนที่สามารถหยุดสงครามกลางเมืองในไอวอรีโคสต์ได้ด้วยการเล่นฟุตบอลของเขา ซาลาห์ก็คือคนที่ทำให้ชาวอียิปต์มีความสุขในยุคสมัยของความยากลำบากหลังการปฏิวัติในประเทศ เขาคือราชาในดวงใจที่ใครต่อใครหลงรักอย่างแท้จริง (King of Egypt)
การนำเสนอชีวิตซาลาห์ครั้งนี้จะเป็นกำลังใจเเละบทเรียนแก่ทุกท่านและผู้ไม่ยอมแพ้ชีวิตว่าทำไมเขาปฏิบัติตามศาสนามะว่าละหมาด อ่านอัลกุรอาน มีจิตอาสา เรียนหนังสือน้อยแต่พูดอังกฤษได้ดีทั้งๆ ที่ตอนแรกพูดสื่อสารไม่ได้ แต่ปัจจุบันสามารถสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ร่ำรวยแต่ไม่หยิ่งยโส ถ่อมตน ให้เกียรติผู้อื่น พยายามมุมานะถึงแม้ลำบาก ให้อภัยยังไม่พอ แถมยังให้โอกาสศัตรู
วาทะลูกหนังได้พูดถึงเขาว่า
– ชายที่ขอร้องให้ลดโทษโจรที่ขึ้นบ้านของตัวเอง พร้อมกับให้เงินและหางานให้ทำ ชายผู้กลับไปตอบแทนแผ่นดินเกิดที่เขาเติบโตมา หรือแม้กระทั่งออกเงินให้ชายหญิงคู่หนึ่งได้แต่งงานกัน
– ทัศนคติที่ทำให้เขามีทุกวันนี้ที่ว่า
“ฟุตบอลไม่ใช่เกม หรือว่างานอดิเรก มันเป็นสิ่งที่เอาไว้ให้เราไขว่คว้าความฝัน ที่ยากต่อการเป็นไปได้”
“ความสำเร็จของผม…แลกมากับการเสียสละจากครอบครัว มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก สมัยเด็ก, ผมต้องออกจากบ้านในตอนเช้า และกลับมาดึกดื่นมาก ผมต้องนั่งรถประจำทาง 5 ต่อ กว่าจะเดินทางไปถึงสโมสร”
“จงทำทุกอย่างด้วยหัวใจ ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง พร้อมกับเชื่อมันในความสามารถ และเป้าหมาย นี่เป็นวิธีเดียวที่คุณจะสามารถบรรลุความฝันได้”
“ระหว่างการเดินทาง คุณต้องให้เกียรติเพื่อนร่วมทีม และคู่แข่ง มอบความเคารพให้กับผู้คนรอบข้าง ทั้งเรื่องของต้นกำเนิด, ศาสนา และสัญชาติของพวกเขา”
“ท้ายที่สุด จงอย่าหยุดพัฒนาตัวเอง เมื่อมีบางคนมาบอกคุณว่า -คุณรวดเร็วมาก- ทำให้แน่ใจว่า เช้าวันรุ่งขึ้น คุณต้องโชว์ให้พวกเขาเห็นว่า คุณสามารถเร็วได้กว่านี้อีก”
-มุฮัมหมัด ซอลาห์-