ขอบคุณข้อมูลจาก | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 มิ.ย. - 27 มิ.ย. 2545 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หมายเหตุ : เขียนไว้เมื่อ 14 ปีที่แล้ว
เราได้มาถึงวาระครบรอบ 21 ปี ของวันที่ 5 มิถุนายน 1981 (2524 เพื่อความสะดวก ในบทความนี้จะใช้ ปี ค.ศ. โดยตลอด) วันที่มีการประกาศต่อโลกเป็นครั้งแรกของการค้นพบโรคชนิดใหม่ ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในนาม “กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดจากการติดเชื้อจากภายนอก” Acquired Immune Deficiency Syndrome หรือ AIDS-เอดส์
ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 1980 ถึงเมษายน 1981 ชายหนุ่มห้าคนได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลต่างๆ ในลอสแองเจลิส ทุกคนป่วยหนักด้วยอาการบางอย่างที่ปกติไม่ค่อยพบเห็นกัน ที่สำคัญคือนิวโมเนีย (ปอดบวม) จากเชื้อที่เรียกย่อว่า พีซี (พีซีนิวโมเนีย หรือ PCP) ซึ่งปกติเป็นเชื้อที่คนส่วนมากได้รับ แต่ไม่ทำให้ป่วยเพราะภูมิคุ้มกันสามารถจัดการได้ (ยกเว้นคนที่เป็นมะเร็งหรือลูคีเมียหรือผ่านการบำบัดด้วยรังสีซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันเสื่อม) สี่ในห้าคนยังติดเชื้อราที่ปกติไม่เป็นอันตราย สามคนมีระดับเม็ดเลือดขาวต่ำมาก ซึ่งแสดงให้เห็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
ทั้งห้าคนไม่รู้จักกัน และดูเหมือนจะไม่มีภูมิหลังทางสุขภาพอะไรที่เหมือนกันพอจะทำให้เกิดอาการโรคแบบเดียวกันเช่นนี้ได้ ยกเว้นอย่างเดียวคือ ทั้งห้าคนเป็นพวกรักร่วมเพศ
ถึงเดือนพฤษภาคม สองในห้าคนได้เสียชีวิต แพทย์สองคนที่ดูแลรักษาพวกเขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องนอกเหนือปกติเพียงพอที่จะได้รับความสนใจจากวงการ จึงติดต่อไปที่ศูนย์ควบคุมโรคร้ายแรง ในเมืองแอตแลนต้า เพื่อเสนอรายงานสำหรับตีพิมพ์ในวารสารของศูนย์ที่ชื่อ รายงานโรคและมรณกรรมร้ายแรงรายสัปดาห์ (หรือชื่อย่อว่า MMWR ในภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นหนังสือเล่มเล็กที่พิมพ์แจกให้แพทย์ทั่วอเมริกาทุกสุดสัปดาห์ เพื่อให้ติดตามการเกิดโรคร้ายแรงตามที่ต่างๆ ของประเทศได้อย่างทันการ โดยเรื่องที่ตีพิมพ์ในวารสารนี้ไม่ต้องรอผ่านกระบวนการอ่านของกรรมการและตรวจสอบแก้ไขเหมือนวารสารวิชาการทั่วไป
บทรายงานขนาดหนึ่งหน้าครึ่งของแพทย์ทั้งสองมีชื่อง่ายๆ ว่า “พีซีนิวโมเนีย__ลอสแองเจลิส” ปรากฏใน MMWR เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 1981
สี่สัปดาห์หลังจากนั้น แพทย์ในนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนียอีกคณะหนึ่งได้รายงานใน MMWR ว่า ตลอด 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา พวกเขาได้ดูแลรักษาโรคที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นอีกชนิดหนึ่งในชายรักร่วมเพศ ชื่อโรค คาโปซีส์ ซาร์โคม่า หรือ KS (โรคมะเร็งทางผิวหนังชนิดหนึ่ง) ตั้งแต่ต้นปี 1979 มีชายรักร่วมเพศทั้งหนุ่มและกลางคนทยอยเข้ารักษาตัวด้วยโรคนี้ในโรงพยาบาลในนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนีย 26 คน ต่อมาหลายคนได้เริ่มเป็นพีซีนิวโมเนีย และโรคอีกหลายชนิดซึ่งเกิดจากเชื้อที่ปกติไม่เป็นอันตราย ยกเว้นแต่เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ (จึงเรียกกันว่า “การติดเชื้อแบบฉวยโอกาส” opportunistic infections)
รายงานจบลงด้วยข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชายเกย์อีก 10 คนในแคลิฟอร์เนีย และ 4 คนในนิวยอร์กเพิ่งเข้ารับการรักษาด้วยโรค PCP และอื่นๆ สามคนในจำนวนนี้ได้เสียชีวิตลง บรรณาธิการ MMWR เขียนความเห็นประกอบรายงานว่า “แพทย์ทั้งหลายควรจะคอยจับตามอง KS, พีซีนิวโมเนีย และการติดเชื้อแบบฉวยโอกาสอื่นๆในหมู่ชายรักร่วมเพศ”
สรุปแล้ว เมื่อเริ่มครึ่งหลังของปี 1981 ชายเกย์อเมริกัน 45 คนอายุระหว่าง 30 ถึง 40 ปี ได้ป่วยหนักและตายด้วยอาการของโรคที่ปกติไม่พบเห็นในคนวัยนี้ ผลการตรวจพบว่าระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขาเกิดปัญหา เม็ดเลือดขาวบกพร่องอย่างอธิบายไม่ได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของการรับรู้ว่าได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงชนิดใหม่ขึ้นแล้ว
จนถึงปัจจุบัน โรคนี้-เอดส์-ได้ทำให้ผู้เสียชีวิตแล้วทั่วโลกประมาณ 22 ล้านคน
ในตอนแรก เข้าใจกันว่าโรคใหม่นี้เป็นเฉพาะในหมู่เกย์ จึงเรียกว่าโรค “ความบกพร่องของภูมิคุ้มกันในหมู่เกย์” Gay-Related Immune Deficiency หรือ GRID ต่อมาจึงรู้ว่า โรคนี้สามารถติดต่อด้วยการใช้ยาเสพย์ติดทางเข็มฉีด, การถ่ายเลือด, ติดต่อจากแม่สู่ลูกในท้อง และ-ในที่สุด-ด้วยการมีเซ็กซ์ (ไม่ว่าร่วมเพศหรือต่างเพศ)
ในปี 1982 คณะทำงานที่ศูนย์ควบคุมโรคร้ายแรงตั้งขึ้น ได้ค้นพบกรณีที่ยืนยันเรื่องการติดต่อผ่านเซ็กซ์ โดยพบชายเกย์ 40 คน ในนิวยอร์ก, ลอสแองเจลิส และอีกบางเมือง ที่มีสัมพันธ์เชื่อมโยงกันผ่านการมีเซ็กซ์ และทุกคนเป็นเอดส์ระหว่างปลายทศวรรษ 1970 ต่อต้นทศวรรษ 1980 ที่ใจกลางของกลุ่มนี้คือ พนักงานบนเครื่องบินคนหนึ่ง ชื่อ แกตอง ดูกาส ซึ่งมีเซ็กซ์กับผู้ชายปีละประมาณ 250 คนทุกปีตลอดหนึ่งทศวรรษก่อนหน้านั้น ดูกาสมีเซ็กซ์กับชายในกลุ่ม 8 คน และ 8 คนนี้ ไปมีเซ็กซ์กับคนอื่นๆ อีกรวม 31 คน เมื่อมีการเปิดเผยกรณีนี้ จึงมีผู้ตั้งฉายาให้ดูกาสว่า “ผู้ป่วยหมายเลขศูนย์” (Patient Zero) และกล่าวหาว่าเขาคือคนแรกที่นำเอดส์มาเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา (ซึ่งความจริงคงจะไม่ใช่)
ปลายปี 1983 ทีมนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันปาสเตอร์ในปารีสและทีมนักวิทยาศาสตร์อเมริกันในซานฟรานซิสโก ก็สามารถระบุได้ว่าโรคที่ค้นพบใหม่นี้ เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งต่อมาตั้งชื่อว่า “ไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องในมนุษย์” Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV (เอชไอวี) ในปี 1985 เริ่มมีการค้นพบเชื้อเอชไอวีชนิดใหม่ที่ต่างจากที่เคยพบตอนแรก จึงเรียกชื่อเชื้อเดิมว่า HIV-1 และเชื้อใหม่ว่า HIV-2 (ภายหลังยังพบว่า HIV-1 สามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ เรียกว่ากลุ่ม M, O และ N) เอดส์ส่วนใหญ่เกิดจาก HIV-1 (กลุ่ม M)
การสืบสาวที่ตามมา ทำให้พบว่า ช่วงปลายทศวรรษ 1970 เอดส์ปรากฏตัวขึ้นไม่เพียงแต่ในอเมริกา แต่ในประเทศและทวีปอื่นๆ ด้วย คือไฮติ, ยุโรป, และแอฟริกา โดยเฉพาะในประเทศคองโก ทวีปแอฟริกา (ปัจจุบันคือประเทศซาอีร์) มีการปรากฏตัวของเอดส์ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 ก่อนที่อื่นๆ (ประเทศไทย เอชไอวีปรากฏครั้งแรกในปี 1986/1987) ต่อมายังมีการตรวจสอบย้อนหลัง และพบเชื้อ HIV-1 ในตัวอย่างเลือดที่ถูกเจาะจากของชายไม่ทราบชื่อในเมืองเลโอโปลด์วิลล์ (ปัจจุบันคือกินซาซา เมื่องหลวงซาอีร์) ตั้งแต่ปี 1959 ด้วย นี่คือหลักฐานเอชไอวีที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยิ่งกว่านั้น แอฟริกาได้กลายเป็นทวีปที่มีการแพร่ระบาดของเอดส์มากที่สุด เริ่มมีผู้เสนอว่าโรคมรณะใหม่นี้ “มาจากแอฟริกา”
แต่หลักฐานที่ทำให้ยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบันว่า เอดส์เกิดขึ้นในกาฬทวีปก่อนที่อื่นจริงๆ มาจากการวิเคราะห์โครงสร้าง DNA
ในช่วงใกล้กับที่เริ่มมีคนตายจากเอดส์นั้น ลิงพันธุ์เอเชีย (Asian monkeys) ในห้องแล็บในอเมริกา ก็เริ่มป่วยและตายด้วยอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องคล้ายกันอย่างประหลาด (ต่อมาเรียกว่า “เอดส์ลิง” หรือ simian AIDS) ในปี 1985 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า มีไวรัสชนิดหนึ่งใน “ลิงเขียวแอฟริกัน” (African green monkeys หรือ AGM) ที่ทำอันตรายต่อภูมิคุ้มกันคล้ายกับ HIV ในคน ต่อมาจึงเรียกไวรัสที่พบในลิงนี้ว่า “ไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องในลิง” Simian Immunodeficiency Virus หรือ SIV
พวกเขายังพบว่า เชื้อ SIV นี้ เป็นเชื้อที่มีอยู่ตามธรรมชาติในลิงแอฟริกัน โดยไม่ทำให้ลิงนั้นป่วยอะไร แต่ถ้าเชื้อนี้ติดไปที่ลิงพันธุ์อื่น (เช่น ลิงเอเชีย) จะทำให้เกิด “เอดส์ลิง” ขึ้นมา พวกเขาจึงเสนอทฤษฎีว่า เชื้อ HIV ที่ทำให้เกิดเอดส์ในคนนั้น คงมาจากเชื้อ SIV ของลิงอัฟริกันที่ “กระโดดข้ามเส้นแบ่งระหว่างสปีชี่” (crossing the species barrier)
ปลายทศวรรษ 1980 ต่อต้นทศวรรษ 1990 นักวิทยาศาสตร์จึงสามารถยืนยันได้ว่า แท้จริง เชื้อ SIV ที่แปลงมาเป็น HIV ในคนนั้น ไม่ใช่มาจากลิงเขียวแอฟริกัน (AGM จึงเรียกเชื้อในลิงพวกนี้ว่า SIVagm) แต่มาจากลิงอีก 2 ประเภทจากแอฟริกา คือ ชิมแปนซี (chimpanzee หรือ cpz จึงเรียกเชื้อในลิงพวกนี้ว่า SIVcpz) ซึ่งแปลงมาเป็น HIV-1 และ ซูตี้ แมงกาเบย์ (sooty mangabey หรือ sm จึงเรียกเชื้อในลิงพวกนี้ว่า SIVsm) ซึ่งแปลงมาเป็น HIV-2 โครงสร้าง DNA ของ SIVcpz และ SIVsm นี้เหมือนกับโครงสร้าง DNA ของ HIV ที่ทำให้เกิดเอดส์ ในกรณี HIV-2 กับ SIVsm นั้น เรียกว่า “เหมือนราวกับแกะ” ทีเดียว
ปัญหาคือทำไมเชื้อภูมิคุ้มกันบกพร่องของลิง (SIV) ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติในลิงนับพันๆ ปี (อาจจะเป็นล้านปี) จึงเพิ่งกลายมาเป็นเชื้อภูมิคุ้มกันบกพร่องของคน (HIV) ซึ่งทำให้เกิดเอดส์ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ได้ ?
ด้วยความที่เป็นโรคร้ายแรงถึงตาย และไม่มีทางรักษา ทั้งยังติดต่อกันผ่านกิจกรรมที่สำคัญมาก (ที่สุด ?) ของมนุษย์ (เซ็กซ์) และปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยในยุคที่เทคโนโลยี่และการแพทย์สมัยใหม่ก้าวหน้าอย่างสูง ทำให้ตั้งแต่แรก มีผู้สร้างทฤษฎีเพื่ออธิบายความเป็นมาของ เอชไอวี/เอดส์ ในลักษณะประหลาดๆ หลายทฤษฎี
ตั้งแต่ว่าเกิดจากพระเจ้าลงโทษมนุษย์ที่สำส่อนทางเพศ, รักเพศเดียวกันผิดพระประสงค์ และเสพยาเสพติด ถึงทฤษฎีที่ว่าเชื้อเอชไอวีเกิดจากวิศวพันธุกรรมโดยซีไอเอ
(ทฤษฎีหลังนี้อาจจะไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้อย่างที่บางคนคิด : ในปี 1969 เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐผู้หนึ่งให้การต่อกรรมาธิการสภาผู้แทนฯ ว่า “ภายใน 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า” อาจจะเป็นไปได้ที่จะสร้างอาวุธเชื้อโรคที่ไม่ได้ทำให้เกิดโรคร้ายอย่างที่รู้จักกันโดยตรง แต่จะไปทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายที่คอยป้องกันโรคร้ายเหล่านั้นแทน ! และในเดือนกันยายน 1960 ซีไอเอได้ส่งสายลับ ถืออาวุธชีวภาพเข้าไปในเลโอโปลด์วิลล์เมืองหลวงคองโก เพื่อเตรียมลอบสังหารประธานาธิบดีคองโกคนแรก แต่ยกเลิกแผนการเสียก่อน สายลับผู้นี้ได้ “ทิ้ง” อาวุธชีวภาพนั้นลงในแม่น้ำคองโก !)
ปัจจุบัน หลังการค้นพบ SIV ของลิงที่มีโครงสร้าง DNA เหมือนกับ HIV แล้ว นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า เชื้อ SIV ของลิงติดมาสู่คน กลายเป็น HIV ได้ โดยวิถีทางธรรมชาติ (natural transfer theory) ซึ่งอาจรวมถึง การที่ชนพื้นเมืองแอฟริกันบางพวกมีเซ็กซ์กับลิง หรือบริโภคลิงเป็นอาหาร หรือที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ นักล่าลิงแอฟริกันติดเชื้อจากแผลกัดข่วนของลิงที่บาดเจ็บ (cut hunter theory)
อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าทฤษฎี “โยกย้ายตามธรรมชาติ” นี้ไม่สมเหตุสมผล เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุใดจึงเพิ่งมาเกิด HIV-AIDS ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ไม่เกิดก่อนหน้านี้ ? (ผู้ที่เชื่อในการโยกย้ายตามธรรมชาติ มักจะเสนอว่า ความจริง HIV-AIDS คงเกิดขึ้นหลายสิบปีก่อนหน้านี้ แต่จำกัดอยู่ในชุมชนที่โดดเดี่ยวในแอฟริกา จึงไม่ระบาดหรือเป็นที่รู้จักมาก่อน ซึ่งผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็บอกว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่อาการโรคแบบนี้จะไม่เป็นที่รู้จักหรือไม่ระบาดออกไปหลังจากเกิดขึ้น)
ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 ได้มีผู้เสนอว่าเชื้อ SIV ของลิง อาจจะถูกถ่ายทอดไปยังคน ทำให้กลายเป็น HIV และเอดส์โดยไม่ตั้งใจ ที่สำคัญคือ เป็นความหายนะที่เป็นผลพลอยได้จากการพยายามรักษาโรคบางอย่างของมนุษย์ด้วยวิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่เอง
เช่น ในปี 1987 รายงานวิจัยขององค์การอนามัยโลกฉบับหนึ่ง เสนอว่า โครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนโรคฝีดาษขององค์การในช่วงปี 1967 ถึง 1980 อาจจะเป็นตัวทำให้เกิด HIV ก็ได้ เพราะประเทศที่กำลังเป็นศูนย์กลางของเอดส์ในอัฟริกาปัจจุบัน (คองโก, รวันดา, บุรุนดี, ยูกันดา, แทนซาเนีย, แซมเบีย และมาลาวี) ก็คือประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนฝีดาษมากที่สุด (ฉีดให้ 97 ล้านคน)
แม้แต่ในอเมริกาใต้ บราซิล ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่อยู่ในโครงการฉีดวัคซีน ก็เป็นประเทศที่มีเอดส์แพร่ระบาดสูงสุดของทวีปนั้นด้วย เช่นเดียวกับกรณีประเทศไฮติ
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ไม่ได้รับการยอมรับนัก เพราะการเตรียมวัคซีนฝีดาษ ไม่ได้เกี่ยวกับลิง (ใช้หนังวัว, ควาย, แกะ หรือตับกระต่ายเพาะวัคซีน) แต่ถึงกระนั้น แม้ว่าโครงการวัคซีนฝีดาษนี้คงจะไม่ใช่ ตัวทำให้เกิดเอดส์ แต่ความเป็นไปได้ที่ว่า อาจจะเป็น ตัวทำให้เอดส์แพร่กระจายออกไป ก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ เพราะเข็มฉีดยาที่ใช้ฉีดในอัฟริกา ซึ่งโดยเฉลี่ยเข็มหนึ่งใช้กับ 40 ถึง 60 คน อาจจะไม่สะอาดพอ (ใช้วิธีฆ่าเชื้อโดยเอาเข็มไปผ่านเปลวไฟระหว่างฉีดแต่ละคนเท่านั้น !)
แต่ในที่สุด ทฤษฎีประเภทที่เสนอว่าเอดส์เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจจากการกระทำของมนุษย์ หรือของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เอง จะพุ่งความสนใจมาที่การคิดค้นและทดลองวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ
โรคโปลิโอเป็นโรคที่กลัวกันมากที่สุดในประเทศตะวันตกหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ (อันที่จริง โรคนี้อาจจะเรียกว่าเป็นการ “ประชดประชันของธรรมชาติ” ก็ได้ เพราะเป็นโรคที่เพิ่งเกิดในศตวรรษที่ 19 เมื่อมนุษย์มีสุขลักษณะ รักษาความสะอาด มากขึ้น ก่อนหน้านั้น มนุษย์จะสร้างภูมิต้านทานโรคนี้ขึ้นได้เอง จากการที่ต้องเผชิญกับความสกปรกต่างๆ รอบตัว เมื่อมนุษย์รักษาความสะอาดมากขึ้น เลยทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติต่อโรคนี้ !) จึงเกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในหมู่นักวิทยาศาสตร์ (โดยมีบริษัทยาคอย “ลุ้น” อยู่เบื้องหลัง) เพื่อคิดค้นวัคซีนที่จะป้องกันโรคนี้ให้ได้
วิธีทำวัคซีนโปลิโอมี 2 แบบใหญ่ๆ แบบแรกคือ เอาเชื้อไวรัสโปลิโอ (ที่เพาะในอวัยวะสัตว์ในหลอดทดลอง) มาฆ่าให้ตาย (inactivated) แล้วฉีดเชื้อที่ตายแล้วนั้นเข้าไปในคน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา วัคซีนแบบนี้ ที่เรียกว่า “วัคซีนโปลิโอที่ตายแล้ว” inactivated polio vaccine หรือ IPV มีจุดอ่อนคือ มักจะสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงช่วงสั้นไม่กี่ปี และต้องฉีดเป็นชุดหลายเข็มจึงจะได้ผล
อีกแบบหนึ่งคือ เอาเชื้อโปลิโอมาทำให้อ่อนลง (attenuated) ด้วยการ “ผ่าน” (passage) เข้าไปในอวัยวะสัตว์ในหลอดทดลองหลายครั้ง เชื้อนั้นจะอ่อนตัวลงแต่ไม่ตาย แล้วทำเป็นวัคซีน ป้อนทางปาก ซึ่งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต และสะดวกกว่า (กินแทนฉีด) เรียกว่า “วัคซีนโปลิโอทางปาก” oral polio vaccine หรือ OPV (ความจริงวัคซีนที่ทำจากเชื้อที่ทำให้อ่อนตัวลงนี้ จะทำแบบฉีดก็ได้)
ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาของการทำวัคซีนแบบนี้ก็คือ เนื่องจากกระบวนการผลิตวัคซีนนั้น ไม่ถึงกับฆ่าเชื้อให้ตาย จึงเป็นไปได้ว่า เชื้อโรคชนิดอื่นที่ไม่รู้จัก ที่แฝงอยู่ในอวัยวะของสัตว์ที่ใช้เพาะวัคซีนนั้น จะไม่ตายและติดมากับวัคซีนด้วย
นี่คือภูมิหลังของทฤษฎีที่เสนอว่าเอดส์เกิดโดยไม่ตั้งใจจากการคิดค้นวัคซีนโปลิโอประเภทกินทางปาก (OPV/AIDS theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่พยายามอธิบายการเกิดขึ้นของเอดส์ที่สร้างความฮือฮามากที่สุดในระยะไม่กี่ปีมานี้
ทฤษฎีนี้ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปี 1987 แต่มาได้รับความสนใจจริงๆ เมื่อบทความเรื่อง “กำเนิดของเอดส์” ของ ทอม เคอร์ติส ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร Rolling Stone เมื่อเดือนมีนาคม 1992 ในบทความนั้น เคอร์ติสเสนอว่า วัคซีนโปลิโอประเภท OPV ที่เรียกว่า CHAT ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย ฮิลารี โคพราวสกี้ (Hilary Koprowski) นักวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อสายโปล แห่งสถาบันวิสตาร์ (Wistar Institute) ในฟิลาเดลเฟีย นำไปทดลองป้อนให้คนแอฟริกัน 300,000 คนระหว่างปี 1957-1960 อาจจะเป็นตัวทำให้เชื้อ SIV ในลิง กระโดดข้ามเข้าสู่คน กลายเป็นเชื้อเอชไอวีโดยไม่ตั้งใจ
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะในการเพาะวัคซีนโปลิโอนั้น โคพราวสกี้ได้ใช้กรรมวิธีผ่านเชื้อเข้าไปในตับลิงในหลอดทดลอง (monkey kidney tissue culture หรือ MKTC) และในอดีตเคยมีการค้นพบว่า เชื้อไวรัสบางอย่างที่อยู่ในลิง เช่น SV40 ซึ่งเชื่อว่าอาจเป็นตัวทำให้เกิดเนื้องอกในคน ได้หลงเหลือติดมากับวัคซีนที่ผ่านกระบวนการนี้ด้วย (แม้แต่ IPV วัคซีนโปลิโอที่ตายแล้วก็ยังพบเชื้อนี้) เนื่องจากในช่วงทศวรรษ 1950 ที่มีการพัฒนาวัคซีนโปลิโอนั้น ยังไม่มีใครรู้จักไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องในลิง (SIV) จึงไม่มีใครคิดจะป้องกันเรื่องนี้
เคอร์ติสไม่มีหลักฐานยืนยันว่า วัคซีน OPV ของโคพราวสกี้ที่ป้อนให้คนแอฟริกัน มีเชื้อ SIV ติดอยู่ แต่เขาชี้ให้เห็นความตรงกันโดยบังเอิญ ระหว่างประเทศที่ได้รับการป้อนวัคซีน CHAT ในอดีต กับประเทศที่เป็นศูนย์กลางการระบาดของเอดส์ในปัจจุบัน (คองโก, รวันดา, บุรุนดี)
ประเด็นสำคัญที่เคอร์ติสเน้นคือความไม่แน่นอนว่า ตับของลิงประเภทไหนที่ถูกใช้ผลิตวัคซีน CHAT ของโคพราวสกี้ ตัวโคพราวสกี้เองเมื่อถูกเคอร์ติสซักก็ตอบว่าลิงเขียวแอฟริกันบ้าง ลิงเอเชียบ้าง (แต่ที่สำคัญ ไม่ใช่ชิมแปนซี ประเด็นประเภทของลิง สำคัญเพราะ แม้ลิงทุกประเภทจะมีเชื้อ SIV แต่-ดังที่กล่าวข้างต้น-มีเพียงเชื้อนี้ในชิมแปนซี หรือ SIVcpz เท่านั้นที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของ HIV-1 ในคน หรือในกรณีเชื้อ HIV-2 ก็เชื่อว่ามาจากลิงอีกประเภทหนึ่งคือ ซูตี้ แมงกาเบย์ หรือ SIVsm)
หลังจากบทความของเคอร์ติสเผยแพร่ไปแล้ว สถาบันวิสตาร์ได้ตั้งคณะกรรมการอิสระประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งมาพิจารณาเรื่องนี้ ซึ่งคณะกรรมการได้สรุปว่า ทฤษฎี OVP/AIDS ของเคอร์ติส ไม่น่าเป็นไปได้ด้วยเหตุผลว่า เชื้อ SIV/HIV ไม่น่าจะรอดติดเข้ามาในวัคซีน และ การถ่ายทอดเชื้อ SIV/HIV เข้าไปในคนทางปาก ก็มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก (วัคซีน OPV ป้อนทางปาก)
หลังการวินิจฉัยของคณะกรรมการชุดนี้ โคพราวสกี้ฟ้องหมิ่นประมาท Rolling Stone ทำให้ฝ่ายหลังต้องตีพิมพ์ “คำชี้แจง” กึ่งขอโทษ ในเวลาต่อมา ทฤษฎีวัคซีนโปลิโอกับเอดส์ ก็ดูจะเงียบไป จนกระทั่งปลายปี 1999 นี้เอง เมื่อหนังสือเล่มหนึ่งออกวางตลาด และรื้อฟื้นทฤษฎีนี้ขึ้นใหม่ สร้างความสั่นสะเทือนแก่วงการวิจัยเรื่องเอดส์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
หนังสือเล่มที่ว่านี้ชื่อ แม่น้ำ : การเดินทางดั้นด้นสู่ต้นตอของเอชไอวีและเอดส์ (The River : A Journey to the Source of HIV and AIDS) โดย เอ็ดเวิร์ด ฮูเปอร์ (Edward Hooper) อดีตผู้สื่อข่าวบีบีซี
ดังที่ได้เห็นแล้วว่าทฤษฎีวัคซีนโปลิโอ/เอดส์ ไม่ใช่ทฤษฎีใหม่ แต่สาเหตุที่ทำให้การเสนอทฤษฎีนี้อีกครั้งใน แม่น้ำ เป็นการท้าทายที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เรื่องเอดส์ก็ไม่อาจเพิกเฉยได้ เพราะระดับปริมาณและคุณภาพของงานวิจัยที่ฮูเปอร์ได้ทำไป เขาใช้เวลาเกือบ 10 ปี ค้นคว้าและเขียน แม่น้ำ ดูราวกับว่าเขาอ่านข้อเขียนทุกชิ้นที่เคยมีการเขียนกันเกี่ยวกับไวรัสวิทยา (virology) เรื่องเอชไอวี-เอดส์ และการคิดค้นวัคซีนโปลิโอ และสัมภาษณ์ทุกคนที่เกี่ยวข้องที่ยังมีชีวิตอยู่ บางครั้งหนังสือเหมือนกับบันทึกการเดินทาง (travelogue) เพราะฮูเปอร์เล่าถึงการเก็บข้อมูลในเมืองต่างๆ นับ 10-20 เมืองในสามทวีป บางครั้งหนังสือเหมือนนิยายนักสืบ (detective story) เพราะฮูเปอร์คอยสืบสาวติดตามทุกร่องรอยไม่ว่าจะเล็กเพียงใดไปจนถึงต้นตอหรือไปจนสุดที่จะติดตามได้ ผลที่ออกมาคือหนังสือซึ่งพิมพ์ด้วยตัวพิมพ์ขนาดเล็กแบบถี่ยิบ ที่มีความหนาถึง 1,100 หน้า ซึ่งรวมเชิงอรรถเกือบ 200 หน้า (กว่า 2,500 เชิงอรรถ)
และที่ชวนให้ทึ่งที่สุดก็คือ การที่ฮูเปอร์ไม่ใช่หมอหรือนักวิทยาศาสตร์ (เขาได้ปริญญาทางวรรณคดีอเมริกัน) แต่สอนตัวเองจนสามารถเขียนหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่ ที่บังคับให้นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในเรื่องนั้นต้องออกมาเถียงด้วย
ถึงที่สุดแล้ว หลักฐานที่ฮูเปอร์รวบรวมมาสนับสนุนทฤษฎี OPV/AIDS ของเขา เป็นหลักฐานแวดล้อม (circumstantial evidence) แต่ก็เป็นหลักฐานแวดล้อมที่แน่นหนาอย่างมาก
ที่สำคัญที่สุดคือ “ความตรงกันโดยบังเอิญ” (coincidence) ของเมืองและหมู่บ้านในแอฟริกาที่มีการป้อนวัคซีนโปลิโอ CHAT ของโคพราวสกี้ระหว่างปี 1957-1959 กับเมืองและหมู่บ้านในอัฟริกาที่มีการแพร่ระบาดของ AIDS เป็นครั้งแรกในโลก (ปี1973)
แม้แต่ตัวอย่างเลือดที่มีเชื้อ HIV ที่เก่าที่สุดในโลก (ปี1959) ก็ตรงอย่างบังเอิญกับเวลาและสถานที่ที่มีการทดลองวัคซีน CHAT
ยิ่งกว่านั้น จนกระทั่งปัจจุบัน ยังไม่มีการค้นพบตัวอย่างการติดเชื้อ HIV ที่เก่ากว่านั้น หรือเก่ากว่าการทดลองวัคซีน CHAT ในปี 1957
ด้วยเหตุนี้ ฮูเปอร์จึงเสนอว่า ตรงข้ามกับการยืนยันของโคพราวสกี้กับคณะ วัคซีน CHAT อาจจะถูกเพาะโดยใช้ชิมแปนซีซึ่งมีเชื้อภูมิคุ้มกันบกพร่องในลิง SIVcpz ทำให้เชื้อนี้กระโดดข้ามจากลิงมาสู่คน กลายเป็นเอชไอวีและเอดส์ได้ในที่สุด
แม่น้ำ สร้างความฮือฮาอย่างมากให้กับวงการวิจัยเอดส์ นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญๆ ของวงการ รวมทั้งโคพราวสกี้และผู้สนับสนุน ได้ทยอยออกมาแสดงความเห็น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปในทางคัดค้านทฤษฎีของฮูเปอร์
เช่น ทีมนักวิทยาศาสตร์แห่งห้องทดลองลอสอลาโม (ห้องทดลองที่เป็นต้นกำเนิดระเบิดปรมาณู) ได้อาศัย
ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก (ชื่อ “นิรวาน”) คำนวณการแปรพันธุ์ของไวรัส HIV จากปัจจุบันย้อนหลังขึ้นไป ได้ผลออกมาว่าบรรพบุรุษที่เก่าที่สุดของ HIV-1 น่าจะมีอยู่ในราวปี 1930 บวกลบ 20 ปี เท่ากับระหว่าง 1910-1950 คือก่อนการทดลอง CHAT หลายปี เป็นต้น
ในที่สุด ฮูเปอร์, ผู้วิจารณ์เขา และนักวิทยาศาสตร์เรื่องเอดส์ชั้นนำของโลกหลายคน ได้ตกลงเข้าร่วมสัมมนาที่ราชบัณฑิตยสถานแห่งลอนดอนในต้นเดือนกันยายน ปี 2000 เพื่อวิวาทะต้นกำเนิดของเอดส์ที่ แม่น้ำ ได้จุดกระแสขึ้น พร้อมๆ กับการสัมมนา สถาบันวิสตาร์ ของโคพราวสกี้ได้ยอมปล่อยตัวอย่างวัคซีนโปลิโอ CHAT ของทศวรรษ 1950 และ 1960 บางส่วนที่เก็บไว้ ให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระทดสอบเป็นครั้งแรก
ผลปรากฏว่า ไม่พบเชื้อ SIV, HIV หรือ DNA ของชิมแปนซีเลย
ผู้สนับสนุนโคพราวสกี้ (และสื่อมวลชนส่วนใหญ่) เชื่อว่านี่เป็นจุดจบของทฤษฎี OPV/AIDS แต่ฮูเปอร์ยังยืนกรานว่า ผลการทดสอบไม่ได้ล้มล้างทฤษฎีของเขา เพราะตัวอย่างที่สถาบันวิสตาร์ยอมให้ทดสอบนั้นเป็นเพียงบางหมู่ (batch) ของวัคซีน CHAT ที่ใช้ในช่วง 1957-1960 เท่านั้น ยังมีหมู่อื่นอีก และยังอ้างหลักฐานแวดล้อมเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่า ลิงชิมแปนซีน่าจะถูกใช้ในการทำวัคซีนบางส่วน (ผู้สนใจ ขอให้ดูเว็ปไซต์ที่รวบรวมเอกสารสำคัญๆ ของวิวาทะเรื่องนี้ไว้อย่างครบถ้วนที่ http://www.uow.edu.au/arts/sts/bmartin/dissent/documents/AIDS/)
ในความเห็นของผม แม้ว่า แม่น้ำ อาจจะไม่สามารถทำให้เชื่อได้สนิทว่าวัคซีนโปลิโอ CHAT ทำให้เกิดเอดส์ แต่ภาพบางด้านของวิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่ที่หนังสือเล่มหนานี้สะท้อนออกมา ก็ชวนให้คิดหนัก เช่น เพียงเพื่อวิเคราะห์จำแนกประเภทไวรัสโปลิโอ (มีอยู่ 3 ประเภท) นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ (ฆ่า) ลิงทดลองไปสามหมื่นกว่าตัว ไม่นับการใช้ลิงเพื่อทดลองและเพาะวัคซีนอีกปีละเป็นพันตัว, ไปจนถึงการทดลองวัคซีนกับคนจริงๆ โดยใช้ “อาสาสมัคร” ประเภท เด็กปัญญาอ่อน หรือชาวแอฟริกันผิวดำ
เหนืออื่นใด ความเป็นไปได้ที่ว่าเอดส์อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจจากการแพทย์สมัยใหม่เอง น่าจะเป็นเรื่องเตือนสติ (cautionary tale) ถึงลักษณะ “ดาบสองคม” ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี