เผยแพร่ |
---|
ย้อนประวัติศาสตร์ ดูบทบาทรัฐไทยในรอบ 1 ทศวรรษ กับผลงานการร่วมเป็นพันธมิตรอาเซียน กดปราบ-ส่งตัวกลับ “ผู้ลี้ภัยข้ามชาติ”
จากกรณี นายลิม กิมยา อดีตสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านสัญชาติกัมพูชา-ฝรั่งเศส ถูกมือปืนยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 กลางเมืองหลวงของไทย ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งในสังคมการเมืองไทยและต่างประเทศ
เหตุเกิดขึ้น หลังจากที่นายลิมเดินทางจากเมืองเสียมเรียบในกัมพูชามาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถบัส พร้อมภรรยาของเขา เมื่อลงจากรถก็ถูกดักยิงเสียชีวิตอย่างแม่นยำ ท่ามกลางข้อสันนิษฐานเรื่องการถูกชี้เป้า ผู้ต้องสงสัยเป็นอดีตทหารนาวิกโยธินไทย ถูกจับกุมได้ที่ประเทศกัมพูชาไม่นานหลังก่อเหตุ ต่อมาถูกส่งตัวกลับมาประเทศไทย
แม้จะมีความเห็นในแง่ว่าไม่ควรสรุปเหมารวมชี้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ หรือไม่ควรสรุปก่อนแต่แรกว่ามีปัจจัยทางการเมืองเกี่ยวข้องก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่า ปัญหาการคุกคามฝ่ายค้านในประเทศพันธมิตรอาเซียนอย่างไทย ลาว พม่า และกัมพูชา มีสถิติสูงขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา และลาว บุคคลสำคัญฝ่ายค้าน นักกิจกรรม และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่พยายามลี้ภัยต้องเผชิญกับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัว การบังคับให้สูญหาย การสังหาร หรือการส่งตัวกลับไปยังประเทศที่พวกเขาอาจถูกประหัตประหารและเผชิญการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง
ทั้งนี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับข่าวเกี่ยวกับปัญหาทางการเมือง สิทธิของผู้ลี้ภัย นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นปัญหาที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะในประเทศไทย ก็นับว่ามีปัญหาด้านนี้ไม่น้อยไปกว่าใคร
ย้อนกลับไปสำรวจข่าวดังรอบ 1ทศวรรษที่ผ่านมา ที่ทางการไทยจับกุมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง จนถึงการส่งกลับผู้ชี้ภัย นักเคลื่อนไหวทางการเมืองกลับไปยังประเทศต้นทางที่เป็นข่าวดัง ก็มีด้วยกันหลายครั้งหลายครา ดังนี้
- 9 กรกฎาคม 2558 ไทยบังคับส่งกลับชาวอุยกูร์อย่างน้อย 90 คนไปยังประเทศจีน ท่ามกลางการทักท้วงของกลุ่มสิทธิมนุษยชน ว่าการส่งกลับดังกล่าว จะทำให้ชาวอุยกูร์ต้องเผชิญกับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม รัฐบาลไทยให้เหตุผลของการส่งกลับว่า ได้ผ่านการตรวจพิสูจน์สัญชาติจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลุ่มที่ตรวจสอบมี 170 คนที่ระบุว่า มีสัญชาติตุรกี ได้ส่งกลับประเทศตุรกี ส่วนที่ตรวจพิสูจน์แล้วว่า มีสัญชาติจีนได้ส่งกลับประเทศจีน ซึ่งคือ จำนวนประมาณ 100 คนที่ส่งกลับไปรอบนี้ เหลือประมาณ 50 คนที่รอการตรวจพิสูจน์สัญชาติ
การบังคับส่งกลับชาวอุยกูร์ - 17 ตุลาคม 2558 กุ้ย หมิ่นไห่ คนขายหนังสือร้านหนังสืออิสระคอสเวย์ เบย์ บุกส์ สัญชาติสวีเดน และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ตีพิมพ์เผยแพร่หนังสือที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีน หายตัวไปหลังจากออกจากห้องพักที่พัทยา ประเทศไทย หลังจากนั้นมีข้อมูลว่า เขาถูกควบคุมตัวอยู่ที่ประเทศจีนโดยปราศจากความช่วยเหลือจากทนายความและการเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ทูต ต่อมาเดือนมกราคม 2559 ทางการจีนได้ยอมรับว่า มีการควบคุมตัวกุ้ย หมิ่นไห่ไว้ เรื่องนี้สร้างความบาดหมางอย่างหนักระหว่างจีนกับสวีเดน
- 17 พฤศจิกายน 2558 เจ้าหน้าที่ไทยจับนักกิจกรรมชาวจีน ตง กวงปิง (Dong Guangping) และเจียง เยเฟย (Jiang Yefei) และบุคคลสัญชาติจีนอีก 3 ราย เมื่อ 28 ต.ค. และส่งกลับประเทศจีนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 พ.ย.) โดย 2 รายแรกเป็นนักกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลจีนและยังถือสถานะเป็นผู้แสวงหาที่ลี้ภัยโดยอยู่ภายใต้กระบวนการของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ต่อมาวันที่ 18 พ.ย.วิเวียน ตัน โฆษกประจำภูมิภาคเอเชียของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหภาพประชาชาติ (UNHCR) ให้สัมภาษณ์คัดค้านการตัดสินใจดังกล่าว เหตุการณ์ครั้งนั้นได้สร้างภาวะความกลัวขึ้นในหมู่นักกิจกรรมและผู้ลี้ภัยชาวจีนที่ยังอยู่ในประเทศไทยขณะนั้นอย่างมาก
- 5 ตุลาคม 2559 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกักตัวนาย “โจชัว หว่อง” นักเคลื่อนไหวทางการเมืองรุ่นเยาว์ของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ไม่ให้เข้าประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม 40 ปี 6 ตุลาคม ของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ ตามที่ทางการจีนร้องขอ
- 8 กุมภาพันธ์ 2561 ทางการไทยส่งตัว Sam Sokha หญิงชาวกัมพูชาที่ปารองเท้าใส่รูปของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ของกัมพูชา ถูกทางการกัมพูชาแจ้งข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานและยุยงปลุกปั่น ทั้งที่ Sam Sokha ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างมากนั้น

- 27 พฤศจิกายน 2561 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ได้ทำการ ควบคุมตัว ฮาคีม อัล โอไรบี นักฟุตบอล ชาวบาห์เรน ที่ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากประเทศออสเตรเลีย ขณะเดินทางมาฮันนีมูนที่ประเทศไทยพร้อมกับภรรยา ซึ่งนับเป็นการออกนอกประเทศออสเตรเลียครั้งแรก หลังจากขอเป็นผู้ลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลียตั้งแต่ปี 2560 ทางการไทยเตรียมส่ง ฮาคีม อัล โอไรบี กลับไปยังบาห์เรน นายกฯไทยในขณะนั้นยังยืนยันที่จะไม่ส่งตัวกลับไปยังออสเตรเลียแม้มีสถานะผู้ลี้ภัย เรื่องนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียถึงกลับต้องส่งหนังสือถึงรัฐบาลไทยเรียกร้องให้ปล่อยตัว แม้แต่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ก็ยังส่งหนังสือมาขอให้ช่วย ซึ่งระหว่างที่นาย ฮาคีม อัล โอไรบี ถูกจำคุกในไทยนานกว่า 2 เดือนได้ก่อให้เกิดแรงกดดันและการประณามจากนานาชาติ และแรงกดดันอย่างหนักทางการทูตต่อบาห์เรน ทำให้ในที่สุดบาห์เรนก็ยินยอมถอนคำร้องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในไทย นาย ฮาคีม อัล โอไรบี จึงถูกปล่อยตัว
- 12 ธันวาคม 2561 ทางการไทยส่งตัว นายรวต รุท มุนี (Rath Rott Mony) อายุ 47 ปี นักกิจกรรมแรงงานชาวกัมพูชา ผู้ผลิตสารคดีค้าประเวณี ให้กับรัฐบาลกัมพูชา หลังเข้ามาไทยเพื่อเตรียมลี้ภัยไปประเทศที่ 3 ตามหมายจับของรัฐบาลกัมพูชา ในความผิดฐานยุยงส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกในกัมพูชา แม้นายมุนีจะได้ลงทะเบียนกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR เป็น “บุคคลในความห่วงใย” ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในกระบวนการตัดสินของ UNHCR ว่าควรจะได้รับสถานะผู้ลี้ภัย (refugee) หรือไม่ ก็ตาม

- 6 มกราคม 2562 ทางการไทย ควบคุมตัว ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด มุตลัค อัลคูนัน หญิงสาวชาวซาอุดีอาระเบีย วัย 18 ปี ที่พยายามหลบหนีจากครอบครัวของเธอเพื่อลี้ภัยไปประเทศออสเตรเลีย โดยทางการไทยปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ และเตรียมส่งกลับซาอุฯ แต่เจ้าตัวได้ทวิตข้อความขอความช่วยเหลือคนทั้งโลก ถ่ายทอดเป็นข้อความและคลิปวิดีโอที่สร้างความสนใจจากอย่างมาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศไทยถูกจับตามองและตั้งคำถามอย่างหนัก กระทั่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอชซีอาร์ เข้ามาร่วมคลี่คลายสถานการณ์และให้สถานะผู้ลี้ภัยกับราฮาฟในที่สุด
- 26 สิงหาคม 2562 อ๊อด ไชยวงศ์ อายุ 34 ปี นักรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยและการผลักดันสิทธิแรงงานข้ามชาติจากลาว หายตัวไปจากบ้านพักย่านบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ซึ่งเขาเข้ามาอยู่อาศัยชั่วคราวระหว่างรอลี้ภัยไปยังประเทศที่สาม ทั้งนี้ นายอ๊อดถูกลงทะเบียนเป็นบุคคลในความห่วงใย (person of concern) โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) จากกิจกรรมการเคลื่อนไหววิพากษฺวิจารณ์รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ลาว
“อ็อด ไชยวงศ์” นักเคลื่อนไหวชาวลาววัย 34 ปี หายตัวไปจากบ้านในประเทศไทยเมื่อปี 2562 - 8 พฤศจิกายน 2564 เวือน เวียสนา เวือง สมนาง และ ฐาวรี ลันห์ นักกิจกรรมทางการเมืองและเป็นสมาชิกพรรค Cambodia National Rescue Party (CNRP) พรรคฝ่ายค้านที่กำลังได้รับความนิยมจากประชาชนกัมพูชา ลี้ภัยมาที่ประเทศไทยหลังจากถูกรัฐบาลกัมพูชาออกหมายจับในข้อหายุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในสังคม ต่อมาถูกทางการไทยจับกุมและส่งกลับกัมพูชา แม้จะเป็นผู้ลี้ภัยที่ได้รับการรับรองจากยูเอ็นเอชซีอาร์
- 23 พฤศจิกายน 2564 เรดิโอฟรีเอเชีย รายงานว่า เม็ก เฮียง สมาชิกพรรคกู้ชาติกัมพูชาที่ปิดไปแล้ว ถูกจับกุมในประเทศไทย พร้อมกับคนงานกัมพูชาอีกสองคน ถูกควบคุมตัวที่ศูนย์กักกันในกรุงเทพฯ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ออกแถลงการณ์แสดงการคัดค้านการส่งตัวดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลไทย ชี้แจงว่าเป็นการดำเนินการตามหลักการด้านการต่างประเทศและคำนึงถึงผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ
- 4 เมษายน 2565 เรดิโอฟรีเอเชีย รายงาน หนึ่งในสมาชิกสามรายของกลุ่มกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ถูกสังหารในระหว่างที่ทางการไทยได้ส่งตัวพวกเขาให้แก่รัฐบาลทหารในเมียนมา เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ พรรคสามัญชน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของไทยออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทยที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลทหารเมียนมา
- 11 กรกฏาคม 2566 โธล ซัมนัง (Thol Samnang) นักกิจกรรมและสมาชิกพรรคแสงเทียน (Candlelight Party) ที่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านในกัมพูชา ถูกจับกุมช่วงเช้ามืดที่กรุงเทพฯ ขณะเดินทางจากที่พักไปยังสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)

- 25 สิงหาคม 2566 พร พันนา นักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านกัมพูชาที่ลี้ภัยในไทย ถูกชายแปลกหน้า 3 คนที่พูดภาษาเขมรทุบตีที่ จ.ระยอง บาดเจ็บที่หน้าและหน้าอก สำหรับนายพร สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติได้ให้สถานะผู้ลี้ภัยกับเขาแล้ว
- 29 ธันวาคม 2566 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจสันติบาลไทยบุกจับนักกิจกรรมชาวกัมพูชา 10 คน ขณะร่วมอบรมสิทธิมนุษยชนในพื้นที่รังสิต โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยที่ UNHCR รับรอง ซึ่งต่อมา UNHCR ได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ
- 4 กุมภาพันธ์ 2567 ชาวกัมพูชา 3 คนถูกควบคุมตัวในไทยก่อนผู้นำเขมรเยือน เลม สุขะ และกง ไรยา ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวในกรุงเทพฯ และ นาย ผา พะยา สมาชิกเครือข่ายเยาวชนกัมพูชา ถูกควบคุมตัวที่ จ.ระยอง ทั้ง 3 คน ถูกนำตัวไปควบคุมที่ศูนย์กักตัว ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่สวนพลู ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ การควบคุมตัวนักเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชาจะเดินทางเยือนไทย ในวันที่ 7 ก.พ. โดยในคดีนี้น่าสนใจว่า เป็นครั้งแรกๆที่ทางการไทยออกมายืนยันว่าจะไม่ส่งตัวกลับให้กัมพูชา โดยให้เหตผล UNHCR เข้ามาดูแล
- 11 มิถุนายน 2567 อี ควิน เบอดั้บนักกิจกรรมหลบหนีจากเวียดนาม ที่ลี้ภัยทางการเมืองมายังประเทศไทย โดยทางการเวียดนามได้ทำเรื่องขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งทางการไทยก็เตรียมดำเนินการส่งตัวให้ แม้บุคคลดังกล่าวอยู่ระหว่างการขอลี้ภัยไปยังประเทศที่สาม และอยู่ในความคุ้มครองของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ต่อมา จอห์น ซิฟตัน ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “รัฐบาลไทยไม่ควรช่วยเหลือเวียดนามในการปราบปรามนักกิจกรรม และควรอนุญาตให้เขาเดินทางไปพำนักในประเทศที่สาม” เช่นเดียวกับ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ออกแถลงการณ์

- 24 พฤศจิกายน 2567 เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยที่จังหวัดปทุมธานีจับกุมนักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายค้านชาวกัมพูชา 6 คน รวมทั้งหลานชายอายุห้าขวบของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง 1 คน ที่ลี้ภัยมาไทยด้วยข้อกล่าวหา ก่อกบฏทรยศชาติจากการวิจารณ์รัฐบาลบนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก โดยทางการไทยตั้งข้อกล่าวหา พำนักอาศัยในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย และได้บังคับส่งกลับพวกเขาไปกัมพูชาในวันต่อมา คดีนี้ อีเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์ ออกแถลงการณ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างหนักว่า “ไม่ควรร่วมมือกับปฏิบัติการของรัฐบาลกัมพูชาที่มุ่งประหัตประหารข้ามชาติต่อนักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน”
- 7 มกราคม 2568 เกิดเหตุยิงนายลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา บริเวณตรงข้ามวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร แขวงวัดบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยกรณีนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ของไทย ออกมาชี้แจงผลการสอบสวนว่าเป็นความขัดแย้งส่วนตัว ไม่เกี่ยวการเมือง
ทั้งหมดคือตัวอย่างจากข่าวดัง ชี้ให้เห็นว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมาของภูมิภาคอาเซียน มีความร่วมมือระหว่างรัฐ เช่น ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในการปราบปรามผู้ลี้ภัยการเมือง โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารในไทยปี 2014 มีรายงานว่ามีผู้ลี้ภัยการเมืองที่ถูกคุกคามรวมกันมากกว่า 150 คน
การจะนำมาประเทศไทยพ้นไปจากปัญหานี้ รัฐบาลไทยควรดำเนินการเพื่อคุ้มครองผู้ลี้ภัยและรับมือกับการกดปราบข้ามชาติ เริ่มจากการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล การไม่ส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศที่อาจเผชิญอันตราย และการสร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง