นิธิ เอียวศรีวงศ์ : นมแอร์และศักดิ์ศรีผู้หญิง

นิธิ เอียวศรีวงศ์

เชื่อไหมครับ นมผู้หญิงจะถูกละเมิดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่า เธออยู่ในอาชีพอะไรด้วย

อาชีพแอร์ (โฮสเตส) เป็นอาชีพหนึ่งที่นำเอานมไปเสี่ยงกับการถูกละเมิดมากกว่าอีกหลายอาอชีพอื่น เช่นกระเป๋ารถเมล์หรือเสมียนพิมพ์ดีดหรือพนักงานแปล และแน่นอนว่าเสี่ยงมากกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายเท่าตัว เพราะนมของอาจารย์มหาวิทยาลัยนั้นได้รับการปกป้องจาก “ศักดิ์และสิทธิ์” สูงเป็นพิเศษ

แน่นอนว่าอาชีพอะไรจะทำให้นมตกอยู่ในอันตรายมากกว่ากันนั้นวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนด ที่ผมพูดมาข้างต้นนั้นพูดจากวัฒนธรรมไทย ไม่รับประกันว่านมของอาจารย์มหาวิทยาลัยอเมริกันจะปลอดภัยเท่าอาจารย์ไทยนะครับ อาจจะปลอดภัยมากกว่า หรือน้อยกว่า ผมไม่ทราบ

แต่น่าประหลาดที่นมแอร์มักตกอยู่ในอันตรายตรงกันในหลายวัฒนธรรม ผมอยากเดาว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะธุรกิจการบินครึ่งโลกลอกประเพณีการบินของอเมริกันมาใช้ เพราะเขาบุกเบิกธุรกิจนี้ก่อน และประสบความสำเร็จก่อน

การเดินทางด้วยการบินไม่เคยเป็นการเดินทางที่แพร่หลายในคนหมู่มากมาก่อน จนหลังสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ในระยะแรก ปัญหาใหญ่สุดของธุรกิจการบินก็คือ คนทั่วไปไม่อยากเสี่ยงกับการเดินทางแบบนี้ ฉะนั้นธุรกิจการบินต้องทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสบายและปลอดภัยจนกระทั่งบินแล้วก็ยังกล้าบินอีก รวมทั้งโฆษณาให้คนอื่นบินตามด้วย

ประเพณีการบินทั้งหมดที่เราเห็นเป็นปกติในทุกวันนี้ ล้วนเกิดในสมัยเริ่มแรกของธุรกิจทั้งนั้น ด้วยจุดมุ่งหมายเพียงประการเดียว…ไม่ใช่ความปลอดภัยของผู้โดยสารนะครับ…คือทำให้ผู้โดยสารลืมตาย หรือลืมกลัวตาย

การเสิร์ฟอาหารก็เพื่อให้ผู้โดยสารมัวกินกันด้วยความเมามันจนลืมตาย อย่าลืมนะครับว่าในระยะเริ่มแรก เครื่องบินโดยสารก็บินไกลไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น เลี้ยงอาหารตามจุดพักเครื่องก็ยังได้ นอกจากนี้มีหนังฉายให้ดู เพื่อจะได้สนุกจนลืมตาย หรือมีเพลงเปิดให้ฟังเพลินจนลืมตายเหมือนกัน

ในวิธีการสร้างอารมณ์ลืมตายเหล่านี้ แอร์ก็เป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญมากเสียด้วย เขาจึงต้องเลือกคนสวยอัธยาศัยดี (แปลว่าผู้โดยสารลวนลามด้วยสายตา, คำพูด และท่าทางแล้วไม่โกรธ แถมยังตอบสนองได้พองามด้วย)

ในระยะแรกการฝึกแอร์จะเน้นส่วนนี้แหละครับ คือทำให้ผู้โดยสารลืมตาย แต่ต้องทำอย่างมีรสนิยม มีศิลปะ และให้เกียรติผู้โดยสาร

คนเราลืมตายเพราะอะไร? ตอบให้เหลือสั้นๆ แบบชาวพุทธก็เพราะมัวเมาในกินกามเกียรติสิครับ เครื่องบินโดยสารจึงบำเรอผู้โดยสารด้วยกินกันอย่างอิ่มหมีพีมัน ได้รับการต้อนรับจากพนักงานประหนึ่งเป็นเทวดา และท้ายสุดก็คือบรรยากาศเสียวๆ ที่ส่อไปทางกาม

และในกิน-กาม-เกียรติ นั้น ผมคิดว่าคนเราโน้มเอียงไปทางมัวเมากามได้มากที่สุด แอร์จึงมีความสำคัญมากในการทำให้ผู้โดยสารลืมตาย

ผมคิดว่าในวัฒนธรรมไทย ผู้หญิงจะอยู่ในสถานะสูงส่งเสมอตราบเท่าที่เธอไม่มีบทบาทที่ส่อไปทางกาม ถ้าเป็นอย่างนั้นเมื่อไร ดูเหมือนจะเกิดสิทธิขึ้นในหมู่ผู้ชายไทยที่จะปฏิบัติต่อเธอในฐานะวัตถุทางเพศได้อย่างเสรี

ผู้หญิงที่อยู่ในอาชีพบริการบางอย่างจะถูกล่วงละเมิดร่างกายจาก “แขก” ได้ทันที ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำสัญญาซื้อ-ขายกัน และโสเภณีที่ถูกข่มขืนจึงมักไม่ค่อยได้รับความเอาใจใส่จากร้อยเวรที่รับแจ้งความ ก็มันเป็นสิทธิ์ของผู้ชายอยู่แล้วนี่ครับ

ผมคิดว่า แม้แต่ผู้หญิงที่แต่งกาย “ล่อแหลม” มักถูกล่วงละเมิดได้ง่ายในวัฒนธรรมไทยก็เหมือนกัน ไม่ใช่ความ “ล่อแหลม” ปลุกเร้าสัญชาตญาณทางเพศของผู้ชายจนเกินกว่าจะระงับได้ อย่างทีพูดกันประหนึ่งว่าเป็นธรรมชาติมนุษย์นะครับ แต่เป็นเพราะการแต่งกาย “ล่อแหลม” เปลี่ยนสถานะของผู้แต่งกายจากผู้หญิงซึ่งควรได้รับเกียรติและความเคารพ ไปเป็นวัตถุทางเพศในวัฒนธรรมไทยต่างหาก เพราะส่อไปทางกาม

พูดอีกอย่างหนึ่งคือ นี่เป็นเรื่องวัฒนธรรมไม่ใช่เรื่องธรรมชาติของเพศชาย…แปลว่าแก้ได้ครับ

ผมคิดถึงเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ เมื่อได้อ่านข่าวว่าพนักงานต้อนรับของบริษัทเดินอากาศไทยถูกละเมิดทางเพศจากผู้โดยสารบ่อยมาก รวมทั้งแอร์คนหนึ่งซึ่งกล้าหาญชาญชัยอย่างน่าสรรเสริญที่ฝ่าอำนาจมืดของบริษัท แจ้งความเอาเรื่องผู้โดยสารคนหนึ่งที่จับนมเธอ จนกระทั่งศาลพิพากษาลงโทษไป

นักเคลื่อนไหวสิทธิสตรีออกมาเรียกร้องอะไรต่อมิอะไรหลังจากนั้นอีกหลายอย่าง ซึ่งผมเห็นด้วยทั้งนั้น เพียงแต่อยากเตือนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า อะไรก็ตามที่เป็นวัฒนธรรม จะเปลี่ยนแปลงมันได้ต้องรอบด้านหนึ่ง และต้องกล้าเปลี่ยนอีกหนึ่ง กล้าเปลี่ยนก็เพราะจะต้องเผชิญแรงเสียดทานสูงมาก

สิทธิของผู้ชายในวัฒนธรรมไทยที่จะละเมิดผู้หญิงที่อยู่ในสถานะก้ำกึ่งกับกามารมณ์เป็นวัฒนธรรมที่อยู่ลึกมาก ลึกแค่ไหนก็ดูได้จากคำสัมภาษณ์ของประธานบอร์ดการบินไทย

นักข่าวถามว่า แอร์ถูกลวนลามอยู่บ่อยๆ จะทำไงดี ท่านตอบว่าคงเป็นเพราะแอร์ของบริษัทสวยกระมัง แล้วทุกฝ่ายคือทั้งตัวท่านและนักข่าวก็รู้สึกว่าปัญหาได้แก้ไปแล้ว แม้แต่คนอ่านข่าวทีวีก็ยังรู้สึกอย่างเดียวกัน เพราะหยอดท้ายข่าวว่าแอร์การบินไทยคงชื่นใจที่ประธานชม (แม้ว่าจะเจ็บหน้าอกบ้าง)

ผมเชื่อว่าทั้งประธานและนักข่าวคงไม่ได้คิดว่า ความสวยของผู้หญิงคือการรับรองสิทธิแก่ผู้ชายที่จะจับนมเธอได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะกระดี๊กระด๊าให้ประกวดนางงามจักรวาลในเมืองไทยได้อย่างไร แต่สิ่งที่อยู่หลังสมองของคนเหล่านั้นก็คือ ก็อยู่ในอาชีพนั้น แถมมีนมน่าจับเสียอีก จะรอดไปได้อย่างไร เป็นธรรมชาติของงานเหมือนเป็นแอร์ก็ต้องทำงานกลางอากาศชัวร์

ตั้งแต่อ่านข่าว ผมก็จ้องที่จะได้คุยกับแอร์ผู้หญิง แล้ววันหนึ่งโอกาสหนึ่งก็มาถึง ผมไม่ได้จ้องจับนมเธอหรอกครับ แต่อยากถามว่าระเบียบของบริษัทวางไว้ให้แอร์ทำอย่างไรบ้างถ้ารู้สึกตัวว่าถูกลวนลามทางเพศ เธอตอบว่าไม่มีเลย เป็นเรื่องต่างคนต่างตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไร

ฉะนั้น พูดอีกอย่างหนึ่ง ท่านประธานก็พูดถูกแล้ว คือบริษัทเจตนาจะเสนอนมแอร์เป็นอีกส่วนหนึ่งของบริการที่ราบรื่นประดุจเส้นไหม

แต่ก็อย่างที่พูดไว้แล้วแหละครับว่า แอร์มักถูกลวนลามทางเพศในหลายวัฒนธรรม ฉะนั้นภัยคุกคามอย่างนี้จึงเกิดกับพนักงานของบริษัทการบินอื่นๆ อีกมากนอกจากการบินไทย

และส่วนใหญ่บริษัทการบินทั้งหลายย่อมถือว่า การคุกคามพนักงานต้อนรับของบริษัทเช่นนี้เป็นภัยคุกคามบริษัทด้วยเหมือนกัน เขาจึงไม่ทิ้งขว้างนมแอร์ไปเผชิญกับมือผู้โดยสารตามลำพังอย่างนี้

เขามีระเบียบและการฝึกแอร์เพื่อเผชิญกับการคุกคามทางเพศ ที่ต้องฝึกก็เพราะมีวิธีอีกหลายอย่างที่แอร์จะสามารถจัดการกับการคุกคามนั้นได้กับผู้โดยสารส่วนใหญ่ นอกจากนี้แอร์ต้องแน่ใจว่าที่ถูกล่วงละเมิดนั้นเป็นการกระทำโดยจงใจ ไม่ใช่บังเอิญ

ส่วนใหญ่ของผู้โดยสารที่ละเมิด เมื่อเผชิญการตอบโต้จากน้อยไปหามากของแอร์ก็มักจะหยุด

ถ้าไม่หยุดบริษัทก็มีระเบียบชัดแจ้งว่า แอร์ต้องรายงานใครและคนที่ได้รับรายงานจะต้องทำอะไรบ้าง จนถึงที่สุดบริษัทเองนั่นแหละที่จะเป็นเจ้าทุกข์แจ้งความ โดยมีแอร์ถูกล่วงละเมิดเป็นพยาน

บางประเทศกัปตันสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจบนอากาศเลย ซึ่งเขาจะส่งตำรวจมารับผู้โดยสารคนนั้นไปดำเนินคดีทันทีที่เครื่องลงจอด แม้ว่าไม่ใช่ปลายทางที่ผู้โดยสารคนนั้นตั้งใจจะไปก็ตาม

ถ้าพิจารณาความลึกของวัฒนธรรมไทย ซึ่งอนุญาตให้ละเมิดทางเพศแก่ผู้หญิงในสภาวะที่เกี่ยวโยงไปกับกามารมณ์ ผมคิดว่าจำเป็นที่จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดอย่างนั้น เพื่อให้ผู้ชายไทยเริ่มเรียนรู้ว่า ไม่ว่าผู้หญิงจะอยู่ในอาชีพอะไร (แม้แต่ขายบริการทางเพศโดยตรง) คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปจับนมเขาเล่นอย่างนั้นได้

ต้องเลิกทัศนคติแบบประธานบอร์ดการบินไทย ที่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ แค่เฮๆ ฮาๆ ไปวันๆ ปัญหาก็หมดไปเอง ผมเห็นว่าทัศนคติที่ยอมปล่อยให้พนักงานของตัวถูกจับนมในที่สาธารณะเพื่อจะทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจได้สูงเช่นนี้ เป็นอันตรายเสียยิ่งกว่าข้าราชการบำนาญคนที่ลงมือจับนมจริงๆ เข้าอีก

เพราะถึงอย่างไร เราก็คงหลีกไม่พ้นที่จะต้องมีสมาชิกบางคนของสังคมที่ป่วยทางจิต หรือมีทัศนคติเกี่ยวกับสิทธิสตรีอย่างผิดๆ

แต่สิ่งที่เราหลีกพ้นได้คือทัศนคติที่เห็นศักดิ์ศรีของแอร์มีความสำคัญน้อยกว่ากำไรบริษัท ปล่อยให้เธอถูกทำอนาจารโดยไม่ไยดี