เปิดคลาสเรียน “ความรัก” คืออะไร ? คุยกับอาจารย์ ผู้สอนวิชา “ปรัชญาความรัก” ในทุกมิติ

ความรักคืออะไร ? หลายคนคงนิยามแตกต่างกันออกไป ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือที่หลายคนรู้จักว่าเป็น “วันวาเลนไทน์” หรือ วันแห่งความรัก ที่หลายคู่นิยมแสดงออก และมอบความพิเศษให้กับคนรักของตัวเอง กันอย่างถ้วนหน้า วันนี้ มติชนสุดสัปดาห์ เลยอยากพาไป สนทนาเข้าห้องเรียน กับ ดร.เพชรวิภา คงอ่ำ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้เปิดสอนวิชาปรัชญาความรัก เพื่อทำความเข้าใจในนิยาม และ ภาพรวมของความรักในแวดวงปรัชญา

ความรักมุมมองของอาจารย์คืออะไร
ความรักมันก็เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง จะว่าไปก็หาคำจำกัดความเกี่ยวกับมันค่อนข้างยาก แต่ถ้าจะให้นึกๆดู ก็คิดว่าสำหรับตัวเองแล้ว ความรักก็คือการที่เรามี Passion เกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ซึ่งในที่นี้อาจจะไม่ใช่ระหว่างคนกับคนเท่านั้นนะคะ แต่เป็นการมี Passion เกี่ยวกับสิ่งอื่นๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็นดนตรี กวี ศิลป์ต่างๆ การสอนหนังสือ การกินการอยู่ สัตว์เลี้ยงหรือแม้แต่สิ่งแวดล้อม มันเหมือนเป็น Life Force หรือ Driving Force ที่จะไม่ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยอย่างไร้เป้าหมาย หาความสุขไม่เจอและบางครั้งมันก็อาจจะเหมือนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวหรือเยียวยาจิตใจในวันที่เราเหนื่อยๆ เครียดๆ ได้เช่นกันค่ะ

ปรัชญาความรัก หมายถึง ?
ในที่นี้มันคือบทสนทนาของเพลโต เรื่อง Symposium ค่ะ ซึ่งในเรื่องนี้ก็จะมีการพูดสรรเสริญเกี่ยวกับความรัก โดยมีการแบ่งเป็นสุนทรพจน์ของผู้พูดแต่ละคนที่จะมาอธิบายว่าสำหรับตนเองแล้ว ความรักคืออะไร  ซึ่งผู้กล่าวสุนทรพจน์จะประกอบไปด้วย เฟดรัส  พอไซเนียส  อรีซีมากัส  อริสโตเฟนีส  อกาธอน  และโสเครตีสค่ะ

แนวคิดไหนที่สะท้อนความเป็นตัวเอง
อาจจะไม่เชิงว่าเป็นตัวเองขนาดนั้นนะคะ แต่ถ้าจะบอกว่าชอบอันไหนมากสุดก็คงเป็นของอกาธอนค่ะ ที่บอกว่าความรักคือ ต้นกำเนิดของสิ่งที่สวยงามที่สุด สิ่งที่ดีที่สุด เพราะคิดว่ามันก็เป็นแบบนั้น เช่น ถ้าโมสาร์ทไม่รักในเสียงดนตรี เขาก็คงจะไม่สามารถประพันธ์บทเพลงที่มีความงดงามที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้  ถ้า Leonardo da Vinci ไม่รักในการวาดภาพ เขาก็คงไม่สามารถจะถ่ายทอดภาพต่างๆ ออกมาได้และกลายมาเป็นมรดกของมนุษยชาติในปัจจุบันด้วยเช่นกัน ถ้าจะถามว่ามันสะท้อนตัวเองหรือไม่ โดยส่วนตัวแล้วชอบศิลปะและดนตรีคลาสสิคมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปสร้างงานศิลป์หรือไปแต่งเพลงซะเอง แต่ที่ชอบทำก็คือศึกษาเกี่ยวกับตัวศิลปินและงานของศิลปินที่เราชื่นชอบ ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็อาจจะก่อให้เกิดความงอกงาม ความงดงามทางปัญญาให้ตัวเองได้ค่ะ

อาจารย์คิดว่าความรักจะตามหาเราหรือเราต้องตามหาความรัก
คิดว่าไม่ทั้งคู่นะคะ “ความรัก (V.)” มันเป็น Concept ที่ค่อนข้างนามธรรม ไม่ได้มีตัวตน ไม่ได้มีชีวิตจิตใจที่จะมาวิ่งตามหาเราได้หรือเราเองมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องตามหา ความรู้สึกนี้เราอาจกล่าวได้ว่ามันอยู่ในตัวบุคคลอยู่เเล้ว เพราะความรักมันก็เป็นความรู้สึกเเบบหนึ่งซึ่งมันต้องมี Subject หรือจะเรียกว่า Carrier หรือ Bearer ก็ได้ คือ ผู้มีความรู้สึกนั้นๆ เราคงบอกไม่ได้ว่าความรักเกิดขึ้นโดยไม่มีตัว Subject ที่เป็นผู้มีความรู้สึกหรือเป็น Carrier ของความรู้สึกนั้น เพียงเเต่เราจะตระหนักรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเองว่าเรากำลังมีความรู้สึกนี้ เช่น รักที่จะหาความรู้  รักในชีวิตตัวเองและทำทุกวิถีทางไม่ให้ใครมาเอาชีวิตเรา เป็นต้นค่ะ

เปรียบความรักกับอะไรบางอย่างอาจารย์คิดว่ามันจะคืออะไร?
ไม่แน่ใจว่าจะเปรียบเทียบกับอะไรได้หรือไม่นะคะ เพราะความคิดเห็นส่วนตัวมันก็เป็นความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นนามธรรม ไม่รู้จะเอาไปเปรียบเทียบกับสิ่งรูปธรรมใดได้ แต่ครูคิดว่ามันเป็นความรู้สึกหนึ่งที่เหมือนความเป็นอนิจจัง มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเราก็รักในสิ่งๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะคน สัตว์ หรือสิ่งของ เเต่ในชั่วขณะต่อมาเราก็อาจจะเริ่มเบื่อ หรือเริ่มโกรธ ทำให้ความรักมันเริ่มลดลงเเล้วความรักมันก็อาจจะมลายหายไปและเดี๋ยวมันก็กลับมาอีกเช่น ตอนเราหายโกรธ หายเบื่อ เเล้วก็วนกันไปเเบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

อาจารย์คิดว่าคนเราสามารถดำรงอยู่โดยปราศจากความรักได้หรือไม่ อย่างไร
หากเรามองความรักในทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นความรักเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง หากมนุษย์อยู่โดยปราศจากความรักคิดว่าไม่ได้ เพราะเราเกิดมาก็อาจมีความผูกพันธ์กับผู้ที่เลี้ยงดูหรือพ่อแม่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่เกิดความรัก เราอาจจะไม่ใช่พระอรหันต์ ความรักอาจจะอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่แค่ความรักแบบคู่รักเท่านั้น ซึ่งจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้ตัวเรามีแรงผลักดันในการทำสิ่งต่างๆและดำเนินชีวิตต่อ ตราบใดที่มนุษย์ยังมีลมหายใจครูคิดว่าความรักเป็นหนึ่งตัวขับเคลื่อนในร่างกายเราค่ะ

ทำไมความรักถึงอยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น เพลง ภาพยนตร์ หนังสือ ในหลายๆรูปแบบ
ในแง่นี้มันอาจจะมีเยอะ เพราะว่า มันก็เป็นความรักมันเป็นความรู้สึกดีๆ ถ้าไม่ได้รักแบบไปแย่งเขามาหรือริษยา ก็เป็นความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นในตัวมนุษย์ ความรู้สึกผูกพันธ์ ความรู้สึกบวก ตราบใดที่มนุษย์ก็มีความความรู้สึกเพราะฉะนั้นก็หนีไม่พ้นหรอกที่ไม่ว่าจะเป็นหนัง เพลง ที่จะพูดถึงความรักในรูปแบบต่างๆหรืออาจจะเหมือนกับที่บางคนคิดว่ามันคือการปลูกฝังความรู้สึกเหล่านี้ ความรักให้จิตใจมนุษย์มีความอ่อนโยนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนังที่เกี่ยวกับมนุษย์ เกี่ยวกับสัตว์ มนุษย์กับโลกธรรมชาติ เกี่ยวเพลง เกี่ยวกับหนังสือ เกี่ยวกับมนุษย์ ต้นไม้ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว ในแง่หนึ่งที่อาจทำให้มนุษย์อ่อนโยนขึ้นและทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งอื่นที่อยู่คนละสปีชีส์กันหรือทำให้มองเห็นว่าเพื่อนร่วมโลกของเราก็มีความสำคัญ สัตว์ต่างๆ ก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เราก็สามารถให้ความรักกับเขาได้และสัตว์ก็ให้ความรักกับเราได้เช่นเดียวกัน

ทำไมบางยุคบางสมัยเพลงถึงเกี่ยวกับความรักและทำไมบางยุคสมัยเพลงถึงไม่มีความรักเข้าไปเกี่ยวเลย
บางยุคบางสมัยไม่มีเรื่องความรักเข้ามาเกี่ยวกัน แต่บางยุคที่มีมาจะมีเรื่องความรักที่แตกต่าง เช่น เพลงป่าลั่น ก็จะเกี่ยวกับธรรมชาติ หรือในปัจจุบันก็จะเป็นความรักของหนุ่มสาวค่ะ ทำไมถึงเกี่ยวกับความรักส่วนตัวคิดว่า เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกและเรื่องใกล้ตัว เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ถ่ายทอดเกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัวอาจจะทำให้คนอื่นอินไปกับเรื่องราวได้ง่าย แต่ละยุคสมัยอาจจะแสดงความรักที่ต่างกัน เพลงป่าลั่น เพลงของคาราบาวที่เกี่ยวกับธรรมชาติก็อาจอยู่ในยุคที่เขาให้ความสำคัญกับธรรมชาติมากขึ้น เน้นในเรื่องของธรรมชาติ อนุรักษ์ป่าไม้ ในยุคนี้อาจจะเน้นในเรื่องความรู้สึกของตนเอง หากมองในเชิงธุรกิจก็ทำให้สามารถสร้างเงินได้ คนเข้าถึงง่าย ในปัจจุบันก็อาจจะส่งผลให้เพลงเกี่ยวกับความรักถูกทำออกมาเยอะ ในแง่หนึ่งบางยุคเพลงที่ไม่ได้เกี่ยวกับความรัก

ในแง่ความรักเชิงหนุ่มสาวจะมีเพลงบรรเลงบางเพลงทีไม่ได้แต่งขึ้นมาเพื่อฉันกับเธอ แต่ถูกขึ้นมาเฉยๆหรือมีคนจ้างแต่งเท่านั้น ตั้งแต่ในยุคคลาสสิก ยุคบาโรก เป็นต้น แต่ว่าหากมองในอีกมิติหนึ่งต่อให้เขาไม่ได้แต่งเพลงเพื่อที่จะแบบแสดงความรักฉันหนุ่มสาวหรือความรักต่อธรรมชาติหรืออะไรก็ตาม หากมองในอีกมิติหนึ่ง คือ ถ้ามองตามความหมายความรักอย่างหนึ่งของอกาธอนที่บอกว่าความรัก คือ จุดกำเนิดของสิ่งที่ดีงามทั้งหลายทั้งปวงสิ่งที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นการแต่งเพลงในอีกแง่หนึ่งก็ถ้าเขาไม่ได้รักในดนตรีไม่ได้เสียงเพลงเขาก็คงจะไม่สามารถคอมโพสเซอร์คงไม่สามารถที่จะแต่งเพลงออกมาได้เป็น บทเพลงที่เป็นมรดกของมนุษยชาติได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นอาจจะมีความรักแฝงอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่งแต่ไม่ใช่ความรักที่เหมือนกับเพลงทุกวันนี้ที่ฉันรักเธอหรือฉันผิดหวัง อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นแต่มันคือการแสดงออกซึ่งความรักในดนตรีก็เลยออกมาเป็นตัวเพลงตัวบทเพลง อาจจะเป็นการแสดงความรักได้เหมือนกันตัวบทเพลงนี้อาจจะเป็นการแสดงความรักที่มีต่อเสียงดนตรี เช่น เพลงโมสาร์ท เป็นต้น

อาจารย์คิดว่ารักแท้มีอยู่จริง ? หรือเป็นเพียงแค่อุดมคติ
ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลค่ะ แต่ละคนมีมุมมองความรักที่แตกต่างกัน เพราะว่ารักแท้ของแต่ละคนมีที่มาที่ไปที่ไม่เหมือนกัน ถามว่ามีอยู่จริงมั้ยครูคิดว่าขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความหมายมันยังไงแล้วเราไปสัมผัสมันมาหรือยัง ถ้าเราได้ไปเจอมาแล้วสัมผัสมาแล้ว นั่นอาจจะเป็นรักแท้ที่มีอยู่จริงสำหรับเราแม้ว่าคนอื่นคิดว่าไม่จริงหรือไม่ได้เชื่อแบบเราก็ตาม จึงอยู่ที่เราให้นิยามคำว่ารักแท้ว่าอย่างไรค่ะ

อาจารย์คิดว่าจะมีจุดสิ้นสุดของความรัก ?
อย่างที่เปรียบเทียบไว้กับความเป็นอนิจจัง จุดสิ้นสุดก็อาจจะมีในแง่ของความเบื่อหน่าย เเต่เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นอีกค่ะ เพราะมันเป็นความรู้สึกของมนุษย์ ตราบใดที่มนุษย์ยังคงมีความรู้สึกนึกคิดต่างๆ  ความรู้สึกรักมันก็คงไม่หายไปไหนค่ะ

ถ้าไม่มีความรักเราจะสามารถอยู่ได้หรือไม่ 
สามารถดำรงอยู่ได้ค่ะ ในประเด็นแรก หากไม่มีความรักแบบหนุ่มสาว ก่อนที่เราจะเคยมีแฟนคนแรกเราก็อยู่คนเดียวมาก่อนเหมือนกัน หลังจากมีแฟนแล้วเลิกกับแฟนไป เราก็ต้องอยู่ได้ค่ะ แล้วอยู่ได้ดีมั้ยมันก็อาจจะขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่เขาจะมีทัศนคติต่อโลกนี้อย่างไร หากถามว่าคนที่เขามีแฟนแล้วเลิกกับแฟนก็ฟูมฟาย ครูเข้าใจและคิดว่าความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกค่ะ ยิ่งยึดติด ทุ่มเทไปเยอะก็เสียใจมากเป็นเรื่องปกติ อย่างที่ในทฤษฎีความรัก มีหนึ่งสุนทรพจน์ที่เขาบอกว่าความรักมันอาจจะก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสีย ทำให้เกิดความแข็งแรงของร่างกายก็ได้หรือก่อให้เกิดผลร้ายกับร่างกาย ซึ่งตรงนี้อาจก่อนให้เกิดผลร้ายต่อร่างกายเพราะเราอาจจะสุดโต่งไปในทางหนึ่ง คือ สุนทรพจน์ของอรีซีมากัส ซึ่งไม่บาลานซ์กัน การที่เราไปเสียใจขนาดนั้นมีโมเมนต์ให้เสียใจได้แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเสียใจทั้งชีวิตหรือไม่จำเป็นต้องสู้ต่อไม่ได้ ลุกขึ้นไม่ไหว จนกระทั่งกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยค่ะ หากเรามองแง่หนึ่งจะเห็นว่าความรักมันก็อาจเป็นความสุดโต่ง ความรักที่มันกลายเป็นผลร้ายต่อสุขภาพที่เราไม่บาลานซ์มันให้ดี รักไว้ก็สามารถหมดรักได้ เราก็เผื่อใจไว้ได้หรืออะไรไว้มันก็ให้มันอยู่ในทางสายกลางค่ะ แต่อีกคำถามว่าอยู่ได้ไหมประเด็นสำคัญ อยู่ได้ เราไม่มีความรักในแบบเดียวอะไม่ได้รักแค่แฟนแบบเดียวค่ะเรามี คุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา หรือบางคนอาจจะมีสัตว์เลี้ยงหรือบางคนรักในกิจกรรม มันก็มีความรักในหลายรูปแบบในโลกต่อให้ไม่มีความรักฉันหนุ่มสาว ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีความรักแบบอื่นไม่ได้

พระสันตะปาปาตำหนิคนที่เลี้ยงสัตว์แทนการมีลูกว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว อาจารย์คิดอย่างไรกับเรื่องนี้คะ
คิดว่าต้องดูว่าพูดในบริบทไหนหากพูดในมิติที่ประชากรจะลดลง ในแง่ของภาพใหญ่ พระสันตะปาปา อาจเป็นห่วงโลกใบนี้ พลเมือง ประชากรอาจจะหายไปหมด จนไม่มีใครมาดูแลรักษาโลกเอาไว้ เพราะว่าทุกคนก็หันไปเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงต้นไม้ ในแง่หนึ่ง แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง ถ้ามีลูกแล้วไม่ดูแลลูกให้ดี เห็นแก่ตัวมากกว่า คิดว่าไม่น่าใช่เหตุผลที่ไม่มีลูกแล้วจะเห็นแก่ตัว สมมติว่าถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยกับพระสันตะปาปา เราอาจจะต้องศึกษาให้ลึกว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ ต้องมองในภาพใหญ่อาจตะเป็นห่วงโลกในอนาคต ถ้าทุกคนไม่ทีลูกเลยจะเกิดอะไรขึ้น ในสังคมอาจจะมีแต่ผู้สูงวัย อาจจะไม่พัฒนาไปมากเท่าที่ควร หากมองในมิติเล็กๆของเรา ครูคิดว่าเห็นแก่ตัวมั้ย คิดว่าไม่เห็นแก่ตัว ที่จะไปเลี้ยงสัตว์แทนการเลี้ยงลูก ส่วนตัวครูคิดว่าการเห็นแก่ตัวคือการมีลูกแล้วปล่อยเขาทิ้งๆขว้างๆให้เขาไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสมกับที่เขาควรจะได้รับหรือถูกทารุณกรรมหรือมีลูกตอนไม่พร้อมแล้วทิ้งไป ครูมองว่าอันนี้เห็นแก่ตัวมากกว่า หากมองใน 100 – 200 ปี อาจจะมองว่าเห็นแก่ตัว

การที่เราเข้าใจปรัชญาความรัก จะช่วยให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น ?
ปรัชญาความรักที่โดดเด่นมี 6 สุนทรพจน์ เฟตรัส อรีซีมากัส พอไซเนียส อริสโตเฟเนียส อกาธอน โสเครตีส ทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้นก็ทำให้มองเห็นมุมมองความรัก มีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้มองเห็นว่าแง่มุมของความรักแล้วมันไม่ได้มีเฉพาะแค่หนุ่มสาว ความรักจะเป็นการเสียสละก็ได้ถ้ามองแบบเฟตรัส หรือความรักจะเป็นการสรรค์สร้างสิ่งที่สวยงามก็ได้ถ้ามองตามแบบอกาธอน หรือความรักใหม่จะเกิดขึ้นกับ ไม่ใช่แค่มนุษย์กับมนุษย์ สัตว์กับสัตว์ก็อาจจะมีความรักให้ซึ้งกันและกันถ้ามองตามจากสุนทรพจน์ของอรีซีกากัส เป็นต้น

ทำให้เรามองเห็นมุมมองของความรักได้กว้างขึ้นแล้วก็ทำให้มีความเข้าใจความรักในมิติต่างๆ ค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราพิจารณาแบบโสเครตีส เราจะเห็นว่าโสเครตีสจะบอกว่าการมีลูก การมีบุตร การสืบทอดความเป็นตัวเอง ความเป็นนิรันดร์ของตัวเอง อาจจะทำได้จากการมีลูกทางกายก็คือการมีลูกซันดอเทอร์หรือการมีลูกทางปัญญาซึ่งมันอาจจะก่อให้เกิดความเป็นนิรันดร์สืบต่อสืบทอดตัวเองต่อไปดีกว่าการมีลูกทางกายก็ได้ อันนี้ก็เป็นมิติที่น่าสนใจที่เขาพูดเอาไว้ ลูกทางปัญญาผลผลิตทางปัญญาแบบรุ่นต่อรุ่น มันก็มีการได้รับยกย่องได้รับการรักษาไว้ก็น่าสนใจดีค่ะ

คิดว่าวันวาเลนไทน์มีความสำคัญหรือไม่?
โดยส่วนตัว สมัยเด็กๆคิดว่าวันวาเลนไทน์คือวันที่แลกสติ๊กเกอร์ วันแปะสติ๊กเกอร์หัวใจกัน เป็นวันที่น่ารักดีตอนสมัยเราเด็กๆ แต่พอโตขึ้นวันวาเลนไทน์คือวันอะไร ส่วนคิดคิดว่าเป็นวันธรรมดาไม่ได้คิดว่าเป็นวันแห่งความรักของคนสองคน เพราะว่าความรักมันมีให้กันได้ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องวาเลนไทน์ แล้วก็ทำให้ดอกไม้ราคาสูงขึ้น และเป็นเพียงแค่ค่านิยม ไม่ได้หมายความว่าวันอื่นจะบอกรีกกันไม่ได้ ไม่ว่าจะใครก็ตามพ่อแม่พี่น้องหรือคนรักหรือเพื่อน คิดว่าทุกวันสำคัญเหมือนกันหมดในการมอบความรักให้แก่กัน แก่มนุษยชาติ แก่สัตว์เลี้ยงที่บ้าน แก่ต้นไม้ ที่เรารักและคิดว่าเป็นเพียงแค่วันนี่เป็นวันที่เขารำลึกถึง “เซนต์วาเลนไทน์” มากกว่า

“เซนต์วาเลนไทน์ – นักบุญวาเลนไทน์” หรือที่เรารู้จักกันในนามของ เซนต์วาเลนไทน์ เป็นนักบุญชาวคริสเตียน ชื่อ “วาเลนตินุส” อยู่ที่กรุงโรม ในช่วงศตวรรษที่ 3 ซึ่งตอนนั้น กรุงโรมถูกปกครองโดยจักรพรรดิที่ชื่อว่า “คลอดิอุส” มีการตั้งกฎหมายว่าห้ามมีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะพระองค์ต้องการให้ผู้ชายทุกคนในเมืองต้องไปเป็นทหารในการทำสงคราม เซนต์วาเลนไทน์รู้สึกเห็นใจผู้ชายและผู้หญิงที่มีความรัก เซนต์วาเลนไทน์จึงแอบทำพิธีแต่งงานให้กับผู้ชายผู้หญิงที่มีความรักอย่างลับๆ โดยภายในงานมีเพียง เจ้าสาว เจ้าบ่าว และบาทหลวงเท่านั้น พวกเขาจึงต้องกระซิบคำสาบานและการอธิษฐานในการแต่งงาน ในที่สุด ทหารของพระเจ้าคลอดิอุสก็ได้มาเห็นพิธีพอดี แล้วเรื่องราวก็ไปถึงพระเจ้าคลอดิอุส เซนต์วาเลนไทน์จึงถูกจำคุกและถูกลงโทษอย่างหนักและแสนสาหัส แต่คนที่ถูกทำพิธีแต่งงานโดยเซนต์วาเลนไทน์มักแอบมาเยี่ยมเซนต์วาเลนไทน์ที่คุกอยู่เสมอ ต่อมาผู้คุมคุกของเซนต์วาเลนไทน์ชื่อแอสทีเรียส เขามีลูกสาวที่ตาบอด จึงขอให้เซนต์วาเลนไทน์ช่วยรักษา แล้วลูกสาวของแอสทีเรียสก็กลับมามองเห็นได้เหมือนเดิม ลูกสาวของแอสทีเรียสจึงมาเยี่ยมเซนต์วาเลนไทน์ที่คุกอยู่เสมอเช่นเดียวกัน จนกระทั่งถึงวันประหารชีวิตเซนต์วาเลนไทน์ ก่อนเขาเสียชีวิตเขาก็เขียนจดหมายถึงลูกสาวของแอสทีเรียสและลงท้ายด้วยคำว่า “From your valentine” แล้วเซนต์วาเลนไทน์ก็ถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269