วิธีคิด-บทสนทนาบนโต๊ะอาหารกับ “ทักษิณ ชินวัตร”เมื่อปี 2548 / ตัวละคร(ลับ) ที่ปัจจุบันสลับขั้ว?

มติชนสุดสัปดาห์ ขอพาท่านผู้อ่านนั่งไทม์แมชชีนไปไม่ไกล(มากนัก) แค่ราวๆ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 ที่ครั้งหนึ่ง สรกล อดุลยานนท์ ได้หยิบเอาเรื่องราวบทสนทนาบนโต๊ะอาหารกับ “ทักษิณ ชินวัตร” “นายกรัฐมนตรี”(ในขณะนั้น) พร้อมด้วยคนใกล้ชิด- ครม. และแกนนำรัฐบาลใน ปี 2548 มาร่วมรับประทานอาหาร โดยถ่ายทอดเรื่องราวนี้ผ่านบทความคอลัมน์”Xคลูซีฟ”

Economy=Politic ต้นฉบับลายมือ ทักษิณ ชินวัตร

ตั้งแต่ได้คุยกันมา ต้องถือว่าครั้งนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” อารมณ์ดีที่สุด

อารมณ์ดีและมีอารมณ์ขันชนิดที่ถ่ายทอดเป็นตัวอักษรทั้งหมดไม่ได้

“ทักษิณ” นัดทีม “มติชน-ข่าวสด-ประชาชาติธุรกิจ-มติชนสุดสัปดาห์” ที่ร้าน TOUR DE FRANCE โรงแรมเอราวัณ

เป็นร้านเดียวกับที่เขานัดคุยกับ “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร เมื่อครั้งก่อน

TOUR DE FRANCE เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสขนาดเล็กอยู่ด้านข้างโรงแรม มีโต๊ะอยู่ประมาณ 6-7 ตัว

ไม่มีห้องพิเศษเป็นสัดส่วน

ทีมของ “ทักษิณ” ที่มาก่อนล่วงหน้า ประกอบด้วย “ภูมิธรรม เวชยชัย” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และ “สุรนันทน์ เวชชาชีวะ” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

พักเดียว ขบวนรถ 4-5 คันก็วิ่งมาจอดที่หน้าร้าน

“ทักษิณ” ควงคู่มากับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” รองนายกรัฐมนตรี และ “ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์” เลขานุการส่วนตัว

อีกพักหนึ่ง “น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็มาถึงเป็นคนสุดท้าย

การสนทนาเริ่มต้นด้วยเรื่องอาหารในร้านนี้

เพิ่งรู้ว่าร้านนี้คือ ร้านโปรดร้านหนึ่งของครอบครัว “ชินวัตร”

เจ้าของร้านเดินมาบอกว่าวันนี้มีอาหารใหม่ 2-3 อย่าง

“เอามาเลย แต่ต้องอร่อยนะ ไม่อร่อยห้ามยกมา” เขาบอกกลั้วเสียงหัวเราะ

ยิงคำถามแรกเรื่อง “น้ำมัน”

“คนค้ากระดาษวันนี้กำไรมากกว่าคนค้าเหงื่อ”

เขาเปรียบเปรยถึงนักเก็งกำไรในตลาดน้ำมันที่ทำกำไรมากกว่าผู้ผลิตน้ำมันตัวจริง

“ตอนนี้ที่ตะวันออกกลางเงินเหลือเยอะมาก แต่เขาไม่ลงทุนในเรียลเซ็กเตอร์ มันกลับไปลงในพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งมีหุ้น บอนด์ และเฮดจ์ฟันด์ ทำให้ประเทศเราเหนื่อย”

“ไม่คิดจะดึงเงินจากประเทศเหล่านี้หรือ” ผมถาม

“ผมให้ ดร.ทนง พิทยะ ไปดูอยู่ ผมต้องการทำระบบการเงินใหม่ ไปปรับโครงสร้างระบบการเงินทั้งระบบให้มั่นคงแข็งแรง เราจะได้โตขึ้นอย่างมั่นคง”

การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ “ทักษิณ” ปรับให้ ดร.ทนงไปดูกระทรวงการคลัง ส่วน “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เป็นรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

“คุณทนงถนัดเรื่องการปรับโครงสร้างการเงิน ส่วนคุณสมคิด เป็นนักวางกลยุทธ์ด้านการตลาด และมาดูเรื่องประสิทธิภาพการแข่งขัน”

“ขณะนี้มีความเห็นแตกต่างกันเรื่องเศรษฐกิจ บางฝ่ายบอกให้รุก บางฝ่ายบอกให้ตั้งรับ ทิศทางของประเทศจริงๆ ควรจะเป็นอย่างไร” คนหนึ่งถาม

“คุณเห็นฟุตบอลไหม นำอยู่ 3 : 0 เปลี่ยนมาตั้งรับเลยแพ้ 4 : 3 ได้” เขายกตัวอย่างฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนลีกครั้งที่ผ่านมาที่ “เอซีมิลาน” นำ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล 3 : 0 ในครึ่งแรกก่อนถูก “หงส์แดง” พลิกเอาชนะได้ในครึ่งหลัง

“มันตั้งรับไม่ได้ ทุกสถานการณ์ห้ามตั้งรับ แต่ตั้งหลักได้ ตั้งหลัก-ตั้งสติได้ แต่ห้ามตั้งรับ”

เขาเริ่ม “คำคม”

“ทักษิณ” บอกว่าโครงการขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจ็คต์ ต้องเดินหน้าต่อไป แต่ต้องปรับฐานหนี้ใหม่ให้เหมาะสม เหมือนร่างกายที่มีคอเลสเตอรอลแตะที่ 210 ไม่ถึง 230 แม้จะยังไม่อันตราย แต่หมออยากให้อยู่ที่ 200

วิธีการก็คือ “ต้องรีบลดไขมัน รีบออกกำลังกาย จนลดลงมาถึง 200 ค่อยวิ่งใหม่ ค่อยลุยใหม่”

“กรกฎาคมนี้ตัวเลขขาดดุลการค้าเหลือนิดเดียว เหลือไม่ถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ”

ถามถึงเรื่องการเจรจาเอฟทีเอกับญี่ปุ่น

“ทักษิณ” เล่าบรรยากาศการเจรจาที่เมืองไทยอย่างสนุก

ทีมงานของไทยเจรจากับตัวแทนญี่ปุ่น โดยมีข้อตกลงว่าหากเจรจาไม่จบ ฝ่ายไทยจะไม่พาตัวแทนญี่ปุ่นมาพบ “ทักษิณ”

วันสุดท้ายการเจรจาก็ไม่เป็นผล

“ทักษิณ” เชิญ “ทนง” มาพบเพื่อถามถึงประเด็นที่ติดขัดซึ่งเป็นเรื่องของภาษาในเอกสาร

“ผมดูแล้วมันไม่มีการบังคับใช้ทางกฎหมาย เป็นเพียงแค่คำแสดงท่าที ผมถามว่าใครมีปัญหา เขาก็บอกว่าทางเรามีปัญหาอยากให้แก้ไข”

แม้การเจรจายังไม่เสร็จสิ้น “ทักษิณ” ก็บอกว่าเขาจะให้ตัวแทนญี่ปุ่นเข้าพบ

เมื่อตัวแทนจากญี่ปุ่นเดินเข้ามาที่ห้อง หน้าตาของเขาเครียดมาก “ทนง” ก็เครียด

“สมคิดก็เครียด แต่รายนี้ตามปกติก็หน้าเครียดอยู่แล้ว” เขาแซว “ขุนพลเศรษฐกิจ” คู่กายที่ไม่ได้มาในวันนี้

“ทักษิณ” คลี่คลายบรรยากาศด้วยการถามว่า “ไทยกับญี่ปุ่นเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ ผมกับนายกฯ ของญี่ปุ่นเจอกันทีไรก็หัวเราะกันทุกที นายกฯ เจอกับนายกฯ ทำไมหัวเราะ แต่รัฐมนตรีเจอกับรัฐมนตรีทำไมถึงเครียดนัก”

ฝั่งญี่ปุ่นเริ่มหัวเราะ บรรยากาศในห้องจึงผ่อนคลายลง

“ผมถามเขาว่าจะกลับญี่ปุ่นวันไหน เขาบอกว่าเย็นนี้ ผมก็บอกว่าผมจะทำให้คุณนอนหลับสบายบนเครื่องบิน และขอให้กลับไปเจรจากันใหม่ ให้ใช้หัวใจของเพื่อนกับเพื่อนคุยกัน”

ก่อน 2 ฝ่ายจะกลับไปเจรจากันใหม่ เขาก็หยอดอีกว่า “ห้องที่คุยห้องนี้มีอาถรรพ์ ตอนที่คุยเรื่องเอฟทีเอกับออสเตรเลียก็มีปัญหา แต่พอมาคุยที่ห้องนี้ก็เรียบร้อย”

หลังจากนั้น ทางญี่ปุ่นที่เจรจาเรื่องเกษตรกรรมเสร็จไปก่อนล่วงหน้าแล้วซึ่งตามปกติจะไม่ยอมวนกลับไปคุยใหม่ ก็ยอมแก้ไขผ่อนปรนให้สิทธิพิเศษแก่สินค้าเกษตรของไทย

“ทักษิณ” เล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน ดูเหมือนว่าเขาค่อนข้างภูมิใจในเรื่องฝีมือการเจรจาต่อรองกับต่างประเทศ

ยุทธศาสตร์ของไทยวันนี้คือการผูกมิตรกับจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และรัสเซีย

“เรื่องจีน ถ้าเรามีความสัมพันธ์ส่วนตัวดี ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น”

เขาเล่าว่าตอนไปเยือนจีนได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี มีข่าวออกเกือบทั้งวัน

“กับ จา พนม ใครดังกว่ากัน” ผมถาม

“จา พนม กับทักษิณ ต้องมาวัดกันหน่อยว่าใครเป็นที่รู้จักในจีนมากกว่ากัน” เขาหัวเราะ

“ตอนนี้เรายังทำหน้าที่เป็นกาวใจให้กับมหาอำนาจ” หมอพรหมินทร์เปิดประเด็นขึ้นมา

เมื่อหันไปถาม “ทักษิณ” เขาก็บอกว่าเมื่อครั้งที่ “ไรซ์” รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกามาเมืองไทย

“ผมบอกเธอว่าจีนนั้นเรื่องหน้าตาเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไปกดดันเขามากจนเขารู้สึกเสียหน้า จะกดดันแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางยอม ไรซ์บอกว่าเหรอ-เหรอ เดี๋ยวจะไปบอกประธานาธิบดีบุชให้”

“ทักษิณ” นั้นมีโปรแกรมที่จะต้องไปประชุมสหประชาชาติ ซึ่งตามโปรแกรมเดิมเขาจะไม่ได้พบ “บุช” เพราะทางสหรัฐอเมริกาแจ้งมาว่ามีผู้นำประเทศต่างๆ ขอเข้าพบ “บุช” เป็นจำนวนมาก

แต่เมื่อไม่กี่วัน ทางสหรัฐอเมริกาแจ้งมาว่าวันที่ 22 พอมีเวลาว่างให้เข้าพบได้

“ผมบอกไปว่าผมไม่ว่างเพราะต้องรออีกหลายวัน ทางสหรัฐก็เลยบอกว่าวันที่ 19 ก็ได้ มีคิวว่างพอดี”

เป็นลีลาการต่อรองแบบ “ทักษิณ”

วันนี้ดูเหมือนว่า “ทักษิณ” จะให้ความสำคัญกับ “สุวัจน์” เป็นพิเศษ

ก่อนจะชวนมาทานอาหารเย็นวันนี้ เมื่อวานเขาเพิ่งไปทานอาหารเย็นที่บ้าน “สุวัจน์” มา

“โหย…อิ่มมาถึงวันนี้เลย”

“ทักษิณ” บอกว่าตอนนี้คุณหญิงพจมานไม่อยู่ ไปดูแลลูกที่อังกฤษ

“ผมเลยต้องไปหาข้าวกินนอกบ้าน”

ช่วงหนึ่งของการสนทนา เขาบอกว่าตอนนี้เข้าใจอารมณ์คนมากขึ้น

“ตอนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ผมพูดทับศัพท์ พูดภาษาสูงมากจนมีคนว่าผม ผมก็พูดดีขึ้น ตอนแรกผมเป็นเอฟ 16 อยู่ข้างบน ได้ยินเสียงแต่มองไม่เห็น ไม่รู้เรื่อง ตอนหลังมาเป็นเฮลิคอปเตอร์ มองเห็นแต่เมื่อยคอ ตอนนี้มาเป็นสิบล้อดีกว่า คันใหญ่เบ้อเริ่ม เห็นชัดเจน”

“ทักษิณ” เปรียบเปรย

“ต้องเขียนด้านข้างรถว่า ส.เทียนทอง หรือเปล่า” คนหนึ่งแซว เพราะ “เสนาะ เทียนทอง” เป็นเจ้าของกิจการรถสิบล้อในชื่อ “ส.เทียนทอง”

“ทักษิณ” หัวเราะดังลั่น

“มีคนชมเรื่องการปรับ ครม. ครั้งนี้ที่ไม่ปลด คุณอุไรวรรณ เทียนทอง ได้ใจเยอะเลย” ผมบอก

“เก่งมากเรื่องนี้” อีกคนหนึ่งชม

“เขาบอกว่าผมไม่เก่งทางการเมืองไง ก็เลยไม่แก้แบบการเมือง” ทักษิณพูดยิ้มๆ

“มีคนบอกว่าให้ผมปลดป้าอุ แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมถือหลักของประธานาธิบดีเคนเนดี้ เขาบอกว่า Forgive Your enemy but don”t forget them”

แปลเป็นไทยว่า “จงให้อภัยศัตรู แต่อย่าลืม”

ทั้งวงหัวเราะเสียงดัง

“พล.อ.ชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยคมนาคม รู้จักมานานหรือยัง” คนหนึ่งเปลี่ยนประเด็น

“ทักษิณ” บอกว่ารู้จักเมื่อครั้งที่ตามไปทัวร์นกขมิ้น

“ผมสั่งงานปั๊บเขาทำปุ๊บ สั่งให้แก้ปัญหาของชาวบ้าน ปรากฏว่างานเร็ว คุณภาพดี ต้นทุนต่ำ และตรวจสอบแล้วไม่มีเงินหล่นหายเลย”

ก่อนหน้านี้ “ทักษิณ” คิดไว้แล้วว่าการใช้เครื่องมือของทหารจะทำงานได้ในต้นทุนที่ต่ำ

“ผมบอกรัฐมนตรีคมนาคมแล้วว่าให้เขาคุมงานก่อสร้างเลย พล.อ.ชัยนันท์มีประสบการณ์ เขาอยู่ในโลกของราคาถูกมาตลอด จะปล่อยให้โครงการมีราคาแพงมันยาก”

“มอบงานให้คุณจาตุรนต์ทั้งกระทรวงศึกษาธิการและภาคใต้” คนหนึ่งถาม

“ต้องมอบงานให้เยอะหน่อย เพราะสื่อเชียร์เยอะมาก ก็เลยให้ทำงานหนักหน่อย” ทักษิณได้ทีแซวกลับ

ดูเหมือนว่า “จาตุรนต์” จะเป็นคนเดียวที่ได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อทุกแขนงว่า “ทักษิณ” วางตัวได้ถูกต้อง

ถามเรื่องการแต่งตั้ง “หมอเลี้ยบ” น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นโฆษกรัฐบาล

“ฝีมือคนนี้” เขาชี้ไปที่ “หมอมิ้ง” น.พ.พรหมินทร์

“หมอกับหมอคุยกันรู้เรื่อง” เขาบอกก่อนหยอก

“แต่ทั้งสองคนนี้ ผมไม่ยอมให้รักษาผม”

เรียกเสียงเฮได้อีกครั้ง

“การเมืองก็คล้ายๆ กับน้ำในแก้วนี้” เขาจับแก้วน้ำชาด้านหน้า

“ต้องกระเพื่อมบ้าง ถ้าปล่อยนิ่งแล้วน้ำจะเน่า ตอนแรกผมก็ทำเป็นน้ำพุเพิ่มออกซิเจนในน้ำ แต่ต่อมาก็ต้องเพิ่มกังหันชัยพัฒนาเข้าไป ออกซิเจนพอเพียง ปลาถึงจะว่ายได้”

เขาเปรียบเปรยแบบมีนัยยะ โดยเฉพาะคำว่า “กังหันชัยพัฒนา” ที่เป็นอุปกรณ์กำจัดน้ำเสียรูปแบบหนึ่ง

“เรื่องการเมืองจริงๆ แล้วก็เหมือนเรื่องเศรษฐกิจ” ทักษิณเปิดประเด็นใหม่

“มา ผมจะเขียนให้ดู”

“ทักษิณ” หยิบปากกาและตีตารางในกระดาษเมนูอาหารของร้าน แบ่งเป็น 2 ช่อง คือ ฝั่ง ECONOMY และ POLITIC

ฝั่งเศรษฐกิจ เป็นระบบทุนนิยม

ฝั่งการเมือง คือ ระบอบประชาธิปไตย

จากระบบทุนนิยม ก็เข้าสู่เรื่องธุรกิจ ส่วนการเมืองก็คือ พรรคการเมืองหรือรัฐบาล

ในทางธุรกิจ ปลาใหญ่มักจะกินปลาเล็ก จะมีการควบรวมกิจการกันเป็นส่วนใหญ่

“ไทยรักไทยทำก่อนเลย”

เขาหมายถึงการดึงพรรคเสรีธรรม ความหวังใหม่ และชาติพัฒนาเข้ามาอยู่ในพรรคไทยรักไทย

ธุรกิจนั้นจะมีกลยุทธ์ต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่อง ความได้เปรียบทางขนาด หรือ Economy of scale หรือความได้เปรียบเรื่องความเร็ว Economy of speed

ในเชิงการบริหารของรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลนี้ก็มีกลยุทธ์ต่างๆ มากมาย เช่น เรื่องการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ

นั่นคือ คำเปรียบเทียบเรื่องเศรษฐกิจกับการเมืองของ “ทักษิณ”

“เอฟทีเอ” นั้นเป็นกลยุทธ์ที่จะทำให้ไทยมีเสน่ห์ในการลงทุนมากขึ้น

เพราะเมื่อเกิดประตูเชื่อมกับประเทศต่างๆ อย่างเสรี ไทยก็จะไม่ใช่แค่ฐานการลงทุนสำหรับประชากรแค่ 60 ล้านคนในประเทศ แต่หมายถึงความได้เปรียบในการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ

ด้วยความเร็วในการเจรจา จะทำให้ประเทศเล็กๆ กลายเป็นประเทศที่ได้เปรียบด้าน “ขนาด” ในทันที

เพื่อความสมบูรณ์ของทฤษฎี

“ทักษิณ” ลงนามกำกับ พร้อมวันที่ที่ด้านล่างของกระดาษ

กลับไปที่เรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

“ต้องเอานิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย” ทักษิณบอก

เขายกตัวอย่างการจับกุมผู้ต้องหาคนล่าสุดที่เป็นการแกะรอย “ดีเอ็นเอ” จากวัสดุบางอย่างที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุการวางระเบิด

ส่วนปัญหาความขัดแย้งระหว่างตำรวจกับ หมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ นั้น “ทักษิณ” บอกว่ามาจากคดี นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ เป็นหลัก

“ตำรวจผู้ใหญ่ไม่มีใครรู้เรื่องพัฒนาการด้านนิติวิทยาศาสตร์ ยังคิดว่าหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มีเพียงเกลียวกระสุนปืน และลายนิ้วมือ ไม่รู้เรื่องดีเอ็นเอ”

ดูเหมือนว่าการนำนิติวิทยาศาสตร์ไปใช้แก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ทักษิณ” จะเปิดไฟเขียวเต็มที่

“ข่าวสด น่ารักมากเลย”

อยู่ดีๆ “ทักษิณ” ก็เอ่ยชมขึ้นมา

“ลงข่าวน้องเต้าส่วน ทำให้ผมเบาไปตั้งหลายวัน” เขาแซว

เป็นการล้อว่ากระแสกดดันทางการเมืองลดลงเพราะคนเปลี่ยนไปสนใจข่าวน้องเต้าส่วน

“ภรรยาผมยังบอกเลยว่าหน้าเหมือนมาก ผมก็บอกว่าโชคดีที่เต้าส่วนอายุแค่ขวบกว่า เพราะผมทำหมันมาเป็น 10 ปีแล้ว ถ้าอายุ 12 ล่ะก็ยุ่งเลย ต้องไปตรวจดีเอ็นเอแน่”

หัวเราะกันกลิ้งอีกครั้ง

“วันที่เจอผม เห็นหน้าแล้วตกใจ หน้าเหมือนมาก วันนั้นใครอุ้มก็ไม่ให้อุ้ม พอผมอุ้ม กอดแน่นเลย”

“…ยังดีที่ไม่ร้องว่าพ่อ…พ่อ” คนหนึ่งแซว

คราวนี้เสียงหัวเราะขยับเดซิเบลขึ้นอีก

วกมาเรื่องการปรับ ครม. อีก 2-3 คำถาม

“ทักษิณ” ก็บอกว่าผมอยากเป็นพี่เบิร์ด

“เบิร์ดรักทุกคน” เขาทำเสียงและชูนิ้วสัญลักษณ์ “ผมรักคุณ”

“วันที่ 3 กันยายน ผมจะไปดูคอนเสิร์ตเบิร์ด คอยดูนะถ้าวันนั้นมีข่าวการเมืองเยอะมาก ผมจะลุกขึ้นดิ้นกับหมอพรทิพย์ ให้เป็นข่าวใหญ่ไปเลย”

ถือเป็นการครีเอทีฟแบบการ “ชิงพื้นที่ข่าว” แบบ “เก๋า” ทางการเมือง

ยิ่งดึกนายกฯ ทักษิณยิ่งอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“แต่พรุ่งนี้ใครชวนไปไหนก็ไม่ไป เพราะเมียกลับมาจากอังกฤษ ต้องไปเสนอหน้าสักหน่อย”

เป็นอารมณ์ขันทิ้งท้าย ก่อนอำลาจากกัน