ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 กันยายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | เชิงบันไดทำเนียบ |
ผู้เขียน | ปรัชญา นงนุช |
เผยแพร่ |
ย้อนกลับไปเมื่อ 4ส.ค.61 ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ ประธาน นปช. ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา เมื่อ 20ก.ค.60 ในคดีหมิ่นประมาท ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ อดีตนายกฯ โดย ‘จตุพร’ ได้กล่าวถึงแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองไว้อย่างน่าสนใจในเวลานั้น โดยกล่าวถึง ‘ประวัติศาสตร์การเมือง’ โดยมองว่าทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ประเทศไทยตายก่อนได้แก้ปัญหา จากเหตุการณ์ตั้งแต่ 14ต.ค.16 – พฤษภาทมิฬ 2535 และช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็จะไม่แตกต่างกับอดีต ถ้าจุดเริ่มต้นของบ้านเมืองยังคงเป็นลักษณะอย่างนี้ไปสุดปลายทาง
.
ซึ่งสิ่งสำคัญคือความสามัคคีและความยุติธรรมเพื่อแก้วิฤต อีกทั้งไม่ควรย่ำรอยเดิมผ่าน ‘กงล้อประวัติศาสตร์’ ที่มีให้เห็นตลอดในการสลับขึ้นมามีอำนาจของ ‘นักการเมือง-ผู้ยึดอำนาจ’ ที่ประชาชนก็เป็นประชาชนวันยังค่ำ ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการสร้างภาพปรากฏการณ์ ‘วิกฤติศรัทธา’
อย่างไรก็ตาม ‘จตุพร’ ได้เปิดเผยว่าขณะอยู่ในเรือนจำได้พูดคุยกับ ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ อดีตแกนนำ พธม. และ ‘อดีตพระพุทธะอิสระ’ อดีตแกนนำ กปปส. แน่นอนว่าแนวคิดของกลุ่มเหล่านี้แบ่งเป็น 2 ขั้วชัดเจน เป็นม็อบที่ลงถนนช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดย ‘จตุพร’ ระบุว่า ใครพกความแค้นเข้ามาในคุก ซึ่งในคุกคือสังคมแห่งการอโหสิกรรม ได้เปิดใจคุยกันในเรื่องต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง
.
ล่าสุด 4ก.ย.62 ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ อดีตแกนนำ พธม. หลังได้ทำการปล่อยตัวจากเรือนจำ โดย ‘สนธิ’ ได้เปิดบ้านพระอาทิตย์เล่าถึงชีวิตในเรือนจำถึงความลำบากต่างๆ ที่มีผลต่อสภาพจิตใจและทำให้เห็นถึงความอนิจจังของตัวเอง พร้อมกล่าวถึงการได้รับการปล่อยตัวเปรียบเป็นเรื่อง ‘ปาฏิหาริย์’ หลังมีการเปลี่ยนหลักหลักเกณฑ์ พร้อมกล่าวตอนนึ่งว่า “ผมเข้ามาตามกติกา ออกตามกติกา ไม่มีพิเศษ ที่ตนได้ออกมาครั้งนี้ เหมือนขนมเปี๊ยะหล่นมาจากฟ้า ได้อานิสงฆ์โชคดีแบบไม่รู้เรื่องเลย”
.
ทั้งนี้ ‘สนธิ’ ได้กล่าวถึง ‘บิ๊กตู่’พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม พร้อม ครม. ว่า เปรียบเหมือน ‘เด็กท้องไม่มีพ่อ’ อย่าไปรังเกียจรังงอน พล.อ.ประยุทธ์ โดย ‘สนธิ’ ขยายความว่า เมื่อรับรู้ความจริงแล้ว ก็ต้องยอมรับ แล้วก็ต้องมองไปถึงการเลี้ยงลูกต่อไปในอนาคตให้ดี ปกครองให้ดี จึงหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะทำงานดี เอาส่วนรวมของประเทศมาก่อนลำดับแรก ไม่เอาพวกพ้อง ถ้าเป็นแบบนี้ได้ประเทศก็น่าจะมีอนาคต พร้อมกันนี้ ‘สนธิ’ ยังได้ย้ำว่า ‘หมดยุคการเมืองบนถนน’ แล้ว
“ผมคงไม่ออกมาทำการเมืองบนถนนอีกแล้ว ไม่เอาแล้ว เพราะอายุ 72 แล้ว และมันหมดยุคการเมืองบนท้องถนนแล้ว แต่จะออกมาในเชิงให้ความรู้มากกว่า” นายสนธิ กล่าว
.
ย้อนกลับไปที่ ‘จตุพร’ ได้ขึ้นมามีบทบาทนำในการทำพรรคเพื่อชาติขึ้นมา พร้อมกับอุดมการณ์ของพรรคที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจของ คสช. ต่อมาหลังเลือกตั้งได้ไม่นาน ‘จตุพร’ ก็ได้ประกาศยุติบทบาทในพรรคเพื่อชาติ และจะทำหน้าที่ประธาน นปช. เพียงตำแหน่งเดียว ท่ามกลางกระแสข่าวความไม่เป็นเอกภาพภายในพรรค
.
อีกหนึ่งแกนนำม็อบ ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’ หลังจากนำกลุ่ม กปปส. ชุมนุม จนนำมาสู่เหตุการณ์รัฐประหาร 22พ.ค.57 โดย คสช. บทบาทของ ‘สุเทพ’ ก็ชัดเจนในการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมกับได้ตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทยขึ้นมา แม้จะเคยประกาศไม่เล่นการเมืองแล้วก็ตาม โดยจุดยืนพรรคชัดเจนพร้อมหนุน ‘บิ๊กตู่’ เป็น นายกฯ อีกครั้ง หากย้อยความสัมพันธ์ในอดีต พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ปี2553 สมัย รบ.อภิสิทธิ์ โดย ‘สุเทพ’ เป็น รองนายกฯ และ ‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร เป็น รมว.กลาโหม ยุคนั้น
ล่าสุด ‘สุเทพ’ ได้พบกับ ‘บิ๊กตู่’ อย่างเป็นทางการหลังรัฐประหาร 22พ.ค.57 ในการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ เยี่ยมชมวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่ ‘สุเทพ’ เป็น ปธ.กรรมการบริหารฯ โดยมีอดีตแกนนำ กปปส. บริหารงานวิทยาลัยฯ มาต้อนรับด้วย โดย นายกฯ ได้กล่าวกับ นศ. ของวิทยาลัยส่งท้ายว่า “ขอให้รักลุงสุเทพให้มากๆ เพราะเขาดูแลเรา”
.
ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ หลีกเลี่ยงการพบกับ ‘สุเทพ’ อยู่ตลอด เพราะม็อบ กปปส. ถูกมองว่าถูกตั้งเพื่อปูทางให้มีการ รปห. ขึ้นมา แม้จะมีการเจรจา 7 ฝ่าย หลังมีการออกกฎอัยการศึกก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะทุกฝ่ายไม่ยอมถอย จึงเป็นที่มาของการ ‘ยึดอำนาจ’ ต่อมา
.
ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงการ ‘เดินเข้าระบบพรรค’ ของอดีตแกนนำม็อบ และชี้ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนทางการเมืองผ่าน ‘นัยสำคัญ’ คำพูดของอดีตแกนนำม็อบ โดยเฉพาะ ‘จตุพร – สนธิ’ ที่เคยพูดคุยกันในเรือนจำ เมื่อออกจากเรือนจำต่าง ‘ส่งสัญญาณ’ ไปในทิศทางเดียวกัน เล่าถึงอดีตที่ไม่ควรเกิดขึ้นและมองไปยังอนาคตของบ้านเมือง รวมทั้งการ ‘โลว์โปร์ไฟล์’ ของอดีตแกนนำม็อบเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมา
.
ซึ่งอดีตแกนนำม็อบเหล่านี้ต่างทราบดีถึง ‘ทิศทางลม’ ของบ้านเมือง รวมทั้งปรากฏการณ์การเมืองที่สำคัญในปีนี้หลายๆเรื่องก็เป็นชัดเจนของสังคมอยู่แล้ว ที่อดีตแกนนำม็อบเหล่านี้ย่อมมองเห็นไกลกว่าคนทั่วไปแน่นอน ถือเป็น ‘สัญญาณสำคัญ’ ทางการเมืองช่วง 1 ปีที่ผ่านมา