ผู้เขียน | คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่12 มติชนรายวัน (29/01/60) |
---|---|
เผยแพร่ |
เคยอยากให้ “กองทัพไทย” มีวันสักวันหนึ่งในแต่ละปี รำลึกถึงการประกาศใช้นโยบาย 66/2523
เพราะในประวัติศาสตร์ “ทหารไทย” ยุคใหม่แล้ว
จะมีเกียรติประวัติอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่า การสามารถยุติสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์ลงได้
ประวัติศาสตร์โลกมีแต่บันทึกชัยชนะของ “คอมมิวนิสต์” เหนือรัฐบาลประเทศนั้นประเทศนี้
ไทยเอง ยังถูกมองว่าจะเป็น “โดมิโน” ตัวสุดท้ายของกลุ่มประเทศอินโดจีนที่จะแพ้ด้วย
แต่กลับสามารถพลิกชนะได้ เป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่ทำได้
อาจจะมีการโต้แย้งว่า หากพรรคคอมมิวนิสต์ไทยไม่ขัดแย้งกันเอง และคอมมิวนิสต์สากลไม่แตกคอ เหตุการณ์เช่นนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า นโยบาย 66/2523 เป็นดั่งประตูหรือหน้าต่างที่ถูกนำไปติดตั้งอย่างถูกที่ ถูกเวลา
จึงกลายเป็น “ทางออก” ให้กับผู้ที่ต้องการผละออกจากพรรคคอมมิวนิสต์อันสำคัญ
ถือเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ไทย “แพ้” เร็วขึ้น
ซึ่งการทำเช่นนี้ได้ ไม่ใช่ฟลุคหรือโชคช่วย
หากแต่ “ปัญญาชน” ของกองทัพเป็นผู้ศึกษา เรียนรู้ วิเคราะห์ สรุปบทเรียน อย่างหนัก จนตกผลึกเป็นแผน 66/2523
และผลักดันให้เป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ลงนามโดยนายกรัฐมนตรี เทียบเท่ากับนโยบายของประเทศ
แน่นอนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอาจถูกตีกลับจากฝ่ายอนุรักษ์ จากฝ่ายขวา
หรือแม้แต่กองทัพเอง
อย่าลืมว่า งานสำคัญหนึ่งของกองทัพในแต่ละปีขณะนั้นก็คือ งานพระราชทานเพลิงศพทหารที่เสียชีวิตจากการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ และงานเลี้ยงปลอบขวัญทหารผ่านศึกที่พิการ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
ทั้งตายและพิการปีหนึ่งหลายร้อย และบางปีพุ่งเป็นพัน กระทบครอบครัว ญาติพี่น้องเป็นหมื่นๆ คน
จู่ๆ ก็มีการชักธงนโยบาย 66/2523 ขึ้นเสา เพื่ออภัย ปรองดอง และเปิดที่ทางให้ “ศัตรู” มาอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน
ศัตรูที่มีเป้าหมายล้ม “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
ศัตรูที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง
ศัตรูที่ก่อสงคราม ปล้น ฆ่า เผาบ้าน เผาเมือง
ศัตรูที่…ฯลฯ
คนที่ผลักดัน เผลอๆ ถูกมองเป็น “แนวร่วม” ของคอมมิวนิสต์เสียเอง ซึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็มีปรากฏให้เห็นแล้วหลายสิบราย
ดังนั้น จึงถือว่าฝ่ายที่ผลักดันให้นำนโยบาย 66/2523 ต้องใจกล้า ใจกว้าง อย่างมาก
และยิ่งคนที่ตัดสินใจให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ยิ่งต้องนับถือใจ
นี่เอง จึงทำให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ได้รับการยกย่องและถูกเชิดชูเป็นรัฐบุรุษ
ถึงได้บอกว่า เคยอยากเสนอให้กองทัพไทย มีวันสักวันในหนึ่งปีเพื่อรำลึกถึงเรื่องนี้
แต่ก็นั่นแหละ เมื่อเวลาผ่านไป อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป
หัวใจของนโยบาย 66/2523 ที่มุ่งไปสู่แนวทางสร้างให้ทุกภาคส่วนเป็น “คนไทยด้วยกัน” ด้วยการให้ “การเมืองนำการทหาร”
สร้างให้สังคมมีความเป็นธรรม-เท่าเทียม-มีเสรีภาพ
ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็คือ “ประชาธิปไตย” นั่นเอง–แต่ทุกอย่างก็เลือนๆ ลงไป
สังคมไทยไม่สามารถพัฒนาไปสู่ “ประชาธิปไตย” อันสมบูรณ์ได้
และวนเวียนอยู่กับ “วงจรอุบาทว์” ของการปฏิวัติรัฐประหารเป็นประเทศกลุ่มท้ายๆ ของโลก
จึงไม่แปลกใจอะไรกับเสียงที่ว่า 66/2523 คือยาที่หมดอายุ
คือสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย
และเริ่มมีเสียงเพี้ยนไปว่า 66/2523 เป็นแนวทาง “ทหารนำการเมือง” เพื่อบดขยี้คอมมิวนิสต์ให้สิ้นซากในขั้นสุดท้ายไปโน่นทีเดียว
จึงถูกปัดทิ้งโดยฝ่ายนำใน พ.ศ.นี้ไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งที่หากถอดบทเรียนเป็นและเข้าใจ จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง
เลยรู้สึกเสียดาย “องค์ความรู้” ที่กำเนิดขึ้นในกองทัพแท้ๆ กลับถูกเมินเฉย
แถมยังบอกว่าเป็นคนละเรื่องอีก อย่ามายุ่ง
ท่าทีแบบนี้แหละ “ทหารนำการเมือง” ของแท้