ชีวิตมี “เขียว” นำ โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

เคยอยากให้ “กองทัพไทย” มีวันสักวันหนึ่งในแต่ละปี รำลึกถึงการประกาศใช้นโยบาย 66/2523

เพราะในประวัติศาสตร์ “ทหารไทย” ยุคใหม่แล้ว

จะมีเกียรติประวัติอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่า การสามารถยุติสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์ลงได้

ประวัติศาสตร์โลกมีแต่บันทึกชัยชนะของ “คอมมิวนิสต์” เหนือรัฐบาลประเทศนั้นประเทศนี้

ไทยเอง ยังถูกมองว่าจะเป็น “โดมิโน” ตัวสุดท้ายของกลุ่มประเทศอินโดจีนที่จะแพ้ด้วย

แต่กลับสามารถพลิกชนะได้ เป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่ทำได้

อาจจะมีการโต้แย้งว่า หากพรรคคอมมิวนิสต์ไทยไม่ขัดแย้งกันเอง และคอมมิวนิสต์สากลไม่แตกคอ เหตุการณ์เช่นนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า นโยบาย 66/2523 เป็นดั่งประตูหรือหน้าต่างที่ถูกนำไปติดตั้งอย่างถูกที่ ถูกเวลา

จึงกลายเป็น “ทางออก” ให้กับผู้ที่ต้องการผละออกจากพรรคคอมมิวนิสต์อันสำคัญ

ถือเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ไทย “แพ้” เร็วขึ้น

ซึ่งการทำเช่นนี้ได้ ไม่ใช่ฟลุคหรือโชคช่วย

หากแต่ “ปัญญาชน” ของกองทัพเป็นผู้ศึกษา เรียนรู้ วิเคราะห์ สรุปบทเรียน อย่างหนัก จนตกผลึกเป็นแผน 66/2523

และผลักดันให้เป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ลงนามโดยนายกรัฐมนตรี เทียบเท่ากับนโยบายของประเทศ

แน่นอนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอาจถูกตีกลับจากฝ่ายอนุรักษ์ จากฝ่ายขวา

หรือแม้แต่กองทัพเอง

อย่าลืมว่า งานสำคัญหนึ่งของกองทัพในแต่ละปีขณะนั้นก็คือ งานพระราชทานเพลิงศพทหารที่เสียชีวิตจากการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ และงานเลี้ยงปลอบขวัญทหารผ่านศึกที่พิการ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า

ทั้งตายและพิการปีหนึ่งหลายร้อย และบางปีพุ่งเป็นพัน กระทบครอบครัว ญาติพี่น้องเป็นหมื่นๆ คน

จู่ๆ ก็มีการชักธงนโยบาย 66/2523 ขึ้นเสา เพื่ออภัย ปรองดอง และเปิดที่ทางให้ “ศัตรู” มาอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน

ศัตรูที่มีเป้าหมายล้ม “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

ศัตรูที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง

ศัตรูที่ก่อสงคราม ปล้น ฆ่า เผาบ้าน เผาเมือง

ศัตรูที่…ฯลฯ

คนที่ผลักดัน เผลอๆ ถูกมองเป็น “แนวร่วม” ของคอมมิวนิสต์เสียเอง ซึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็มีปรากฏให้เห็นแล้วหลายสิบราย

ดังนั้น จึงถือว่าฝ่ายที่ผลักดันให้นำนโยบาย 66/2523 ต้องใจกล้า ใจกว้าง อย่างมาก

และยิ่งคนที่ตัดสินใจให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ยิ่งต้องนับถือใจ

นี่เอง จึงทำให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ได้รับการยกย่องและถูกเชิดชูเป็นรัฐบุรุษ

ถึงได้บอกว่า เคยอยากเสนอให้กองทัพไทย มีวันสักวันในหนึ่งปีเพื่อรำลึกถึงเรื่องนี้

แต่ก็นั่นแหละ เมื่อเวลาผ่านไป อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป

หัวใจของนโยบาย 66/2523 ที่มุ่งไปสู่แนวทางสร้างให้ทุกภาคส่วนเป็น “คนไทยด้วยกัน” ด้วยการให้ “การเมืองนำการทหาร”

สร้างให้สังคมมีความเป็นธรรม-เท่าเทียม-มีเสรีภาพ

ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็คือ “ประชาธิปไตย” นั่นเอง–แต่ทุกอย่างก็เลือนๆ ลงไป

สังคมไทยไม่สามารถพัฒนาไปสู่ “ประชาธิปไตย” อันสมบูรณ์ได้

และวนเวียนอยู่กับ “วงจรอุบาทว์” ของการปฏิวัติรัฐประหารเป็นประเทศกลุ่มท้ายๆ ของโลก

จึงไม่แปลกใจอะไรกับเสียงที่ว่า 66/2523 คือยาที่หมดอายุ

คือสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย

และเริ่มมีเสียงเพี้ยนไปว่า 66/2523 เป็นแนวทาง “ทหารนำการเมือง” เพื่อบดขยี้คอมมิวนิสต์ให้สิ้นซากในขั้นสุดท้ายไปโน่นทีเดียว

จึงถูกปัดทิ้งโดยฝ่ายนำใน พ.ศ.นี้ไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งที่หากถอดบทเรียนเป็นและเข้าใจ จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง

เลยรู้สึกเสียดาย “องค์ความรู้” ที่กำเนิดขึ้นในกองทัพแท้ๆ กลับถูกเมินเฉย

แถมยังบอกว่าเป็นคนละเรื่องอีก อย่ามายุ่ง

ท่าทีแบบนี้แหละ “ทหารนำการเมือง” ของแท้