เชิงบันไดทำเนียบฯ : ศึก ตท.8-12 ‘2ตู่’ ตัดพี่ตัดน้อง – จาก ‘บิ๊กบัง’ถึง‘บิ๊กตู่’ ถูกซักแผน รปห.

เป็นการพบกันครั้งแรกในสภาของ ‘บิ๊กตู่’พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม กับพรรคฝ่ายค้าน ที่ยังติดภาษากายเดิมเข้าไปในสภาโดยเฉพาะการชี้นิ้ว ทำให้ฝ่ายค้านประท้วงหลายครั้ง และ ‘ชวน หลีกภัย’ปธ.สภาฯต้องเตือน ‘บิ๊กตู่’ หลายครั้งเช่นกัน ถือเป็นจุดอ่อนของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยากจะ ‘กำจัดจุดอ่อน’ และยิ่งมาเจอสภาวะในสภาที่เปรียบเป็น ‘รับน้องโหด’ จากนักการเมืองในสภา ยิ่งทำให้จุดเดือดของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตบะแตกออกมา โดย พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยอมรับว่าตนเป็นรุ่นน้องและมือใหม่ในสภา

แต่จุดเดือดสำคัญมาอยู่ที่การอภิปรายมวยถูกคู่ระหว่าง ‘2ตู่’ ได้แก่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หน.พรรคเสรีรวมไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ จนทำให้เกิดเรื่องถึงขั้น ‘ตัดพี่ตัดน้องกลางสภา’ แม้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จะระบุว่าที่ผ่านมาไม่มีเรื่องอะไรหรือปมในใจกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตาม ถือเป็นศึกต่างเหล่าของ ตท.8 และ ตท.12 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จบนายร้อย จปร. รุ่น 23 ส่วน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จบ นายร้อย ตร. รุ่น 24 จนสุดท้าย ‘พรเพชร วิชิตชลชัย’ ที่ทำหน้าที่ ปธ.สภา ในขณะนั้น ได้เชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกนอกห้องประชุมสภา

“ผมรู้จักกับท่านมานานแล้วนะครับ แต่งงานก็วันเดียวกัน สมรสพระราชทานมาด้วยกัน เป็นรุ่นพี่ผม แต่วันนี้ถือว่าไม่เป็นรุ่นพี่ผม เพราะท่านไม่เคยให้เกียรติผมเลย ท่านบอกชักปืนยิงผมตั้งกะวันโน้น ถ้าท่านชักปืนยิงวันนั้น ท่านก็ติดคุก เหรียญรามมาลาท่านได้ ผมก็ได้ แต่ผมไม่เคยคุย ไม่เคยไปแอบอ้าง ผลงานต่าง ๆ ผมมีมากมาย ท่านพูดจาหยาบคาย อวดอ้างอำนาจ ท่านไปทบทวนของท่านเอง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกลางสภา
.
“ไม่มี เขารุ่นน้อง แล้วผมก็เห็นฝีมือเขา ตั้งแต่อยู่เมืองชล สมัยผมเป็น ผบ.ตร. และเขาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 มีม็อบหน้าบ้านป๋า ก็เขาทำไม่สำเร็จ จนผมเข้าไปช่วยจัดการเรียบร้อย พูดง่ายๆ คนเราเห็นฝีมือกันมานั่นล่ะ ใครเป็นใคร จะมาหลอกกันไม่ได้หรอก” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงอดีต
.
จบเรื่องนี้ไปก็ยังมีเรื่อง ‘วันมูหะมัดนอร์ มะทา’ หน.พรรคประชาชาติ ออกมาระบุว่า ‘บิ๊กตู่’ วางแผน ‘รัฐประหาร’ มา 3 ปี ช่วงเป็น ผบ.ทบ. โดยย้อนคำพูดที่เกิดขึ้นในห้องเจรจา 7 ฝ่าย ที่สโมสร ทบ. เมื่อวันที่ 22พ.ค.57 ก่อนเกิดการรัฐประหารมาถามในสภา โดย ‘วันนอร์’ แฉว่า พล.อ.ประยุทธ์ ชี้มาที่นักการเมือง พร้อมพูดว่า “ใครอย่าคิดสู้ สู้ก็สู้ไม่ได้ ผมเตรียมการเรื่องนี้มา 3 ปีกว่า” ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมาปฏิเสธ ย้ำว่าตัดสินใจ 22 พ.ค.57 เพียงวันเดียว
.
“ผมฟังมา 2 วันแล้วนะ พูดบอกผมเตรียมการมา 3 ปี กลับไปย้อนฟังใหม่นะ ถามลูกน้องผมก็ได้ ผมพูดถึงว่า เป็น ผบ.ทบ. มา 3 ปีที่ผ่านมา ผมเผชิญสถานการณ์อะไรมาบ้าง สถานการณ์ความขัดแย้ง ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่รู้พวกไหนเหมือนกัน หลังจากนั้นมาแล้ว การทำงานของผมคือการฝึกกำลังพล ให้มีความระมัดระวังปลอดภัย จะดูแลประชาชนได้อย่างไร คือสิ่งที่ผมเตรียมการ
.
ในเมื่อถึงเวลาวันนั้น ก่อนผมเกษียณฯ 6 เดือน เกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย คุณไม่ต้องยิ้มเลย ไอ้พวกนั่งอยู่ทางเนี่ย ยิ้มแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น คนตาย คนเจ็บไปแล้วเท่าไหร่ เพราฉะนั้นผมจึงต้องตัดสินใจ แล้วไม่ได้ตัดสินใจ ก่อนหน้าด้วย อะไรด้วย วันนั้นเท่านั้นเอง ที่คนของท่านบางพวกบอก ก็ไม่ต้องอยู่ อยู่กันแบบนี้ ถ้าทหารไม่ออกมาทำงาน ก็อยู่กันแบบนี้ล่ะครับ งบประมาณทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ รับผิดชอบกันรึเปล่า ตอบมาซิ เพราะฉะนั้นอย่าทำหน้าเยาะเย้ยแบบนี้ ผมไม่ชอบ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ เผชิญในสภาไม่ต่างจากที่ ‘บิ๊กบัง’พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผบ.ทบ. ที่ทำรัฐประหาร 19ก.ย.49 ที่เข้ามาสู่สภาในนามพรรคมาตุภูมิ และมักโดนเสียดสีจากเรื่องการทำรัฐประหารอยู่เสมอ จนครั้งหนึ่งได้เกิดวาทะอมตะ “คำถามบางประการ ตายแล้วก็ตอบไม่ได้” หลัง ‘เสธ.หนั่น’พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ถามว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ 19 ก.ย.49 ที่ถูกถามในงานเสวนางานวิจัยสร้างความปรองดองฯ เมื่อปี55
.
ไม่มีใครรู้แน่ชัด ‘รัฐประหาร 22พ.ค.57’ มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ? อำนาจตัดสินใจครั้งนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กระทำเพียงคนเดียวหรือไม่ ? ไม่มีใครรู้เท่า พล.อ.ประยุทธ์ อีกแล้ว แต่การดำรงอยู่ของ คสช. ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการแก้เกม คมช. สมัยรัฐประหารปี49 ไว้ทั้งหมด การคืนอำนาจให้มีการเลือกตั้งจนเกิดขึ้นเมื่อ ‘ทุกอย่างพร้อม’ แล้ว เพื่อไม่ให้เสียของเช่นในอดีต
.
ถูกปูทางด้วยการวางโครงสร้างในกองทัพที่ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถคุมกองทัพ ผ่านการวางขุนพลต่างๆ ช่วง 5 ปี คสช. ที่ นายกฯ เป็นผู้ตรวจโผทหารครั้งสุดท้าย แม้ในเวลานี้หลายตำแหน่งจะอยู่เหนืออำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตาม พร้อมทั้งการร่าง รธน.60 ขึ้นมา จนมีนักการเมืองคนหนึ่งพูดว่า ‘ดีไซด์มาเพื่อพวกเรา’ รวมทั้งการปรับโครงสร้าง กอ.รมน.ใหม่ เพื่อรองรับภารกิจ คสช. ที่จะต้องสลายไป ด้วยคำสั่งหัวหน้า คสช. 51/2560 และการตั้ง ศปป.1-5 ใน กอ.รมน. ขึ้นมา

รวมทั้งการตั้งพรรคพลังประชารัฐ ที่ ‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรค และได้ไปเป็น ปธ.ปิดสัมมนาพรรค ที่วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตร จะนั่งเป็น ปธ.ยุทธศาสตร์พรรค หรือ ปธ.ที่ปรึกษาพรรค แต่ในเวลานี้ก็ถูกมองแล้วว่าเป็น ‘หน.พรรคตัวจริง’ หลังเป็นที่วิจารณ์มาตลอดว่าเป็น ‘ผู้มีบารมีนอกพรรค’ แม้ พล.อ.ประวิตร จะปฏิเสธเสมอเพราะเกรงเรื่องคนนอกครอบงำพรรค
.
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ระหว่างการตัดสินใจชั่งน้ำหนักต่างๆ หลังส่ง พล.อ.ประวิตร ไปกรุยทางไว้ก่อน ตอกย้ำว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ตั้งมาชั่วคราว เพื่อภารกิจส่ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็น นายกฯ ในครั้งนี้เท่านั้น แต่หวังอยู่ยาว เพราะ พล.อ.ประวิตร กล่าวปิดสัมมนาพรรคพลังประชารัฐว่า จะพยายามทำให้รัฐบาลอยู่ครบวาระ 4 ปี
.
ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ตนจะเข้าไปดูแล สตช. ด้วยตัวเอง ดำเนินการปฏิรูปตำรวจให้ชัดเจน ทั้งเรื่ององค์กร บุคลากร กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม โดยเร็วและดีที่สุด เพื่อทำให้ตำรวจได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทำให้มีการจับตาไปที่ ‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง จะได้นั่ง ประธาน ก.ตร. เช่นเดิมหรือไม่ หลังไม่ได้คุมกองทัพ ในตำแหน่ง รมว.กลาโหม แล้ว

แม้มีการมองว่า พล.อ.ประวิตร เป็น ‘รมว.กลาโหมเงา’ ก็ตาม ที่ยังคงมีส่วนร่วมพิจารณาโผทหารชั้นนายพล ครั้งแรกในสถานการณ์ปกติ ที่มีรัฐบาลเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีความคืบหน้าล็อตแรก ช่วงปลายก.ค.-ต้นส.ค.นี้ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ากระทรวงกลาโหมครั้งแรก ช่วงเช้าตู่ 30ก.ค.นี้ ก่อนไปประชุม ครม.ในช่วงสาย โดยมีปลัดกลาโหม-ผบ.เหล่าทัพต้อนรับ ในเบื้องต้นจะมีการพูดคุยแนวทางการทำงานเบื้องต้นและโผทหารชั้นนายพล
.
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จัดทัพ ครม.ประยุทธ์2/1 เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาจัดขุนพลในกองทัพ ที่จะทำให้เห็นหน้าตากองทัพในระยะ 1-2 ปีนี้ เพื่อเป็น ‘กองหนุน’ และ ‘เอกภาพ’ กับรัฐบาล