เผยแพร่ |
---|
ถึงแม้สถานการณ์อันเกี่ยวกับ “วัดพระธรรมกาย” เป็นเรื่องของกบิลบ้านเป็นเรื่องของกบิลเมือง
ดังที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล กล่าวเสมอ
ไม่ว่าเมือตอนทีมีการรุกเข้าไปตาม”หมายค้น”เมื่อเดือนมิถุนายน ไม่ว่าเมื่อตอนที่มีการรุกเข้าไปยังประตูบางประตูเมื่อเช้ามืดของวันที่ 27 ธันวาคม
กระนั้น กระบวนการของ “การเคลื่อนไหว” ก็ดำเนินไปในแบบของ “การสู้รบ”
ภายใต้กติกาแห่ง “กฎหมาย” เท่านั้นเอง
จึงไม่ว่านายกรัฐมนตรี จึงไม่ว่ารองนายกรัฐมนตรี จึงไม่ว่ารัฐ มนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต่างยืนยัน
“ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย”
กระนั้น ภายในกระบวนการแห่ง”กฎหมาย”ก็ดำเนินไปในโครงสร้างแห่ง “สงคราม”
นั่นก็คือ ปิดล้อม ตรวจค้น ก่อน”ยึดครอง”
กระบวนการ”ปิดล้อม”เริ่มต้นจากกฎหมายแรกสุด คือ คดีความอันเกี่ยวกับการรับของโจร เกี่ยวกับการฟอกเงิน
ทำให้”ดีเอสไอ”ได้ “หมายจับ”
จากนั้น “หมายจับ” ก็พัฒนาไปสู่ “หมายค้น”และความพยายามเมื่อเดือนมิถุนายน
แต่ล้มเหลว
กระบวนการ”ปิดล้อม”ในทางกฎหมายจึงเดินหน้าต่อไปกลายเป็น “คดีรุกป่า” ที่จังหวัดเลย จังหวัดนครราชสีมา
ส่งผลให้ “ตำรวจ” ได้”หมายจับ”อีก 2 ใบ
การได้”หมายค้น”โดย”ดีเอสไอ”นำไปสู่ความพยายามอย่างเคร่งเครียดตลอด 4 วันจากวันที่ 13 จนสิ้นสุดกำหนดตาม”หมายค้น”ในวันที่ 16 ธันวาคม
ต้องยอมรับว่า “ล้มเหลว”เหมือนเมื่อเดือนมิถุนายน
จากนั้น “ตำรวจ”ก็เร่งกระบวนการ”ปิดล้อม”อย่างเข้มข้นกระทั่งมีคดีที่พุ่งตรงเข้าใส่”วัดพระธรรมกาย”จำนวนมากกว่า 150 กว่าคดี
ในที่สุด ก็พัฒนาไปสู่กระบวนการ”ปิดล้อม”จริงๆ
ปฏิบัติการในตอนรุ่งสางของวันที่ 27 ธันวาคม คือพัฒนาการการปิดล้อมจาก”กฎหมาย”เป็นการใช้”กำลัง”
เคลื่อนไป”ประชิด”บริเวณ”แพง”และ”ประตู”
หากศึกษาจากปริมาณของกำลังพล 5 กองร้อยจากทั้งหมด 15 กองร้อยแน่ชัดว่ามิได้ต้องการเข้าไปในวัด
จึงใช้คำว่า “ขอคืนพื้นที่”
เป็นพื้นที่บางส่วนบริเวณประตูของวัดพระธรรมกาย และที่ล้อมอยู่โดยรอบ
เป็นพื้นที่ “สาธารณะ”
มีความเป็นไปได้ว่า กระบวนการ”ขอคืนพั้นที่”จักต้องมี”พัฒนาการ”
จาก”หน้า”ประตู รุกคืบเข้าไป”ภายใน”
ตรวจสอบ หยั่งเชิง “กำลัง”และ”แนวต้าน”ของอีกฝ่าย