ขอบคุณข้อมูลจาก | ดร.โชติสา ขาวสนิท คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา |
---|---|
เผยแพร่ |
ประธานาธิบดีทรัมพ์ ประธานาธิบดีคนที่สี่สิบห้าของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวสุนทรพจน์แห่งชัยชนะที่จุดประกายความหวังด้วยถ้อยคำที่ว่า
ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นชัยชนะแห่งประวัติศาสตร์ ท่วงทำนองที่ชวนให้นึกต่อไปว่า สหรัฐอเมริกาคงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องจดจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของโลก
ความแจ่มจ้าเจิดจรัสนี้ออกจะมาตอนกลางๆ ของสุนทรพจน์ แต่ช่วงต้นๆ ของสุนทรพจน์นี้ เมื่อมองอย่างผาดๆ ไม่ได้เด่นมากนักอีกยังไม่ได้เชื่อมโยงเข้ากับเหตุการณ์หรือบุคคลสำคัญในอดีต ทำให้การยืนยันถึงความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ของอเมริกาขาดความหนักแน่น
กระทั่งการกล่าวคำว่า ยิ่งใหญ่ อยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในคำขวัญในการหาเสียงที่ว่า “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง” ดูจะเป็นคำที่พูดติดปากประธานาธิบดีทรัมพ์มากกว่า
อีกทั้งหลายส่วนหลายตอนเป็นไปตามแบบแผนในการกล่าวสุนทรพจน์แห่งชัยชนะตามปกติ ที่มีการขอบคุณผู้ฟัง ขอบคุณประชาชนผู้ให้การสนับสนุน การกล่าวขอบคุณและชื่นชมผู้สมัครแข่งขันที่พ่ายแพ้ การกล่าวถึงปัญหาของประเทศ และแนวทางแก้ไข และการกล่าวถึงความฝันแบบอเมริกา การเน้นความร่วมมือกันของในประเทศ การแสดงความรักชาติ และการกล่าวถึงความพิเศษของคนอเมริกัน ในด้านนี้มีข้อสังเกตว่า การกล่าวถึงความพิเศษนั้นไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนก็จริง แต่แฝงไว้ให้เห็นจากการพิจารณาถึงความแตกต่างระหว่างการอธิบายลักษณะของคนเอเมริกันกับคนอื่นๆในโลก ที่ว่า คนอเมริกันทุกคนที่มีศักยภาพที่ขยับให้ตนเองมีหน้ามีตาขึ้นมาได้ ขณะที่คนอื่นๆในโลก ที่แม้เขามองเห็นว่ามีศักยภาพเช่นกันแต่ก็เป็นการกล่าวถึงในภาพรวม ไม่ได้ย้ำเน้นว่าเป็นคนทุกคนบนโลก เพราะเขาพูดเพียงแคว่าเขาเห็นว่าคนบนโลกมีศักยภาพ
กล่าวกันถึงความพิเศษของสุนทรพจน์แห่งชัยชนะครั้งนี้ ก็อยู่ที่น้ำเสียงแห่งความมั่นใจที่เรียกพลังและความหวังของอเมริกันชน
การสร้างความมั่นใจยิ่งถูกขับให้เด่นด้วยความเรียบง่ายของถ้อยคำ สาระหลักที่การฟื้นฟูและพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้รับการนำเสนออย่างมีชีวิตชีวา และกระตือรือร้น ซึ่งมาถูกเวลาเข้ากับสภาพจิตใจของคนอเมริกาจำนวนมากที่ขาดความมั่นคงและต้องการความหวัง ด้วยการดำรงอยู่ท่ามกลางการแข่งขันกันที่ช่วงชิงความได้เปรียบในทุกมิติ และทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจ
การที่ประธานาธิบดีทรัมพ์ผู้ประสบความสำเร็จในเวทีธุรกิจระดับโลกชี้ถึงงานบริหารประเทศเพียงแค่ว่า นั่นเป็นงานอันเร่งด่วนที่จะต้องทำ โดยไม่ได้กล่าวว่า เป็นงานอันยิ่งใหญ่ราวกับแบกภาระอันหนักหนาที่ทำให้คนฟังดูเหนื่อยหนัก ประกอบกับการที่เขามีทักษะในการบริหารคนเก่งให้ทำงานให้ได้ดีที่สุดของเขายิ่งทำให้ผู้สนับสนุนเขามองว่านั่นเป็นสุนทรพจน์ที่ฟังแล้วใช้ได้อยู่
ในฐานะนักธุรกิจ และนักบริหารนั้น ความเชื่อมั่นในตัวเองของเขานั้นก็มีข้อดีในแง่การสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นผู้ชนะที่ปลุกเร้ากำลังใจให้ผู้ที่ร่วมงานกับเขามีพลังฮึกเหิม เมื่อหันไปอ่านคำกล่าวของเขาในนิตยสารนิวยอร์ค เมื่อปี พ.ศ. 2530 ก็จะยืนยันตัวตนของเขาได้เช่นนี้ด้วย โดยเขาได้กล่าวว่า ”
“ในชีวิตของข่าพเจ้า มีสองสิ่งที่ผมพบว่าผมเชี่ยวชาญ นั่นคือ การเอาชนะอุปสรรค และการกระตุ้นให้คนดีทำงานของตนเองให้ออกมาดีที่สุดได้”
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความมั่นใจของประธานาธิบดีทรัมพ์ ก็ดูก้าวร้าวรุนแรงได้ ดังจะเห็นได้จากคำกล่าวของเขาในเฟซบุ๊ก เมื่อปี พ.ศ. 2556 ที่ว่า
“ให้ข้าพเจ้าดูคนที่ไม่มีการยึดมั่นในอัตตาของตน และข้าพเจ้าจะบอกให้เลยว่านั่นคือคนขี้แพ้ — การถือตัวตนอย่างมีสุขภาพดี หรือการมีทัศนะต่อตัวตนของคุณเองที่สูง คือการคิดบวกที่แท้จริงในชีวิต”
อย่างไรก็ดีหากเรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่หนักหนาสาหัส ก็มักจะตอบรับกับความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เชิงรุกกร้าวได้ ในฐานะที่จะเป็นผู้นำที่ผลักดันฝันฝ่ายอุปสรรคต่างๆ ที่เราเชื่อว่าเขาจะมีความพร้อมและพลังมากพอที่นำพาประเทศสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีก
กระนั้นก็ดีในการบริหารประเทศจริงๆ ประธานาธิบดีทรัมพ์จะต้องตระหนักถึงคำกล่าวของนางฮิลลารี คลินตันที่เคยกล่าวไว้ในการโต้วาที ว่าการทำธุรกิจนั้นไม่เหมือนกับการบริหารประเทศ ซึ่งก็จริงเพราะเพราะการบริหารประเทศนั้นมีฝ่ายที่มาร่วมในการใช้อำนาจตัดสินใจมากกว่าจำนวนผู้มีอำนาจในบริษัท อีกทั้งยังต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วนที่ร่วมตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอีกด้วย อย่างไรก็ตามในการบริหารประเทศจริง ประธานาธิบดีทรัมพ์จะแข็งกร้าวดังภาพที่เราเห็นตอนนี้หรือไม่นั้นก็ก็ยังตอบไม่ได้ และต้องคอยติดตามกันดู เพราะเป็นงานใหม่ของประธานาธิบดีทรัมพ์
เป็นไปได้ว่าการสวมหมวกคนละใบ ก็อาจจะมีผลต่อแนวการทำงานที่ต้องต่างไปก็ได้ แต่อย่างน้อย แนวคิดและบุคลิกของประธานาธิบดีทรัมพ์ก็พอจะทำให้เราคาดการณ์ได้คร่าวๆ แม้ไม่อาจมั่นใจผลแห่งการคาดการณ์ลักษณะการทำงานของเขาได้มากนักก็ตามที
สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีทรัมพ์นั้นมีลำดับการนำเสนอประเด็น และเนื้อหาถ้อยความดังนี้
การขอบคุณผู้ฟังเป็นสิ่งแรกที่ประธานาธิบดีทุกคนย่อมไม่ละเลย
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับทุกท่าน ข้าพเจ้าเสียใจที่ทำให้ทุกท่านต้องรอนะครับ กิจการงานซับซ้อนครับ ซับซ้อน ขอบคุณมากครับ”
จากนั้น การกล่าวถึงผู้สมัครคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันมา ในด้านบวก แสดงถึงความใจกว้าง และความมีไมตรีจิตและสะท้อนให้เห็นถึงสังคมประชาธิปไตยที่เคารพกันและกัน ด้วยการมองเห็นด้านดีและให้เกียรติกับคู่แข่งขันทางการเมืองที่เมื่อการแข่งขันยุติลง จึงต้องจับมือกันในฐานะพลเมืองของประเทศเดียวกัน และจากนั้น ก็กล่าวให้ร่วมมือกัน ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และการแสดงถึงความใจกว้างและถ่อมตนด้วยการเข้าไปหาคำแนะนำและแสวงหาช่วยเหลือจากกลุ่มที่ไม่ได้สนับสนุนเขาในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยเน้นที่การทำงานร่วมกัน และการสร้างชาติให้เป็นกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียว
“ข้าพเจ้าเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากรัฐมนตรีคลินตัน เธอแสดงความยินดีกับพวกเรา การแสดงความยินดีนี้สำหรับพวกเรา ความสำเร็จของเรา และผมแสดงความยินดีกับเธอ และครอบครัวของเธอที่ได้เพียรรณรงค์หาเสียงอย่างหนักหน่วง
ข้าพเจ้าหมายถึง เธอสู้หนักมาก เธอลุยงานมายาวนานและเหนื่อยหนักมาเป็นเวลานาน และเราติดค้างหนี้อันยิ่งใหญ่ที่เธอรับใช้ประเทศของเรา
ข้าพเจ้าหมายความเช่นนั้นอย่างจริงใจที่สุด ตอนนี้ถึงเวลาที่อเมริกาจะสมานแผลแห่งความแตกแยก เราจะต้องร่วมมือร่วมใจกัน ทั้งฝ่ายรีพับลิกันและฝ่ายเดโมแครตและผู้สมัครรับเลือกตั้งอิสระทั่วประเทศ ผมว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะรวมตัวกันเป็นประชาชนที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียว
เวลานี้ ข้าพเจ้าให้คำมั่นสัญญาต่อพลเมืองแห่งผืนแผ่นดินแห่งนี้ว่าผมจักเป็นประธานาธิบดีเพื่อคนอเมริกันทุกคน และสิ่งนี้สำคัญกับข้าพเจ้ามาก
สำหรับผู้ที่ไม่ได้เลือกที่จะสนับสนุนข้าพเจ้าในอดีต ซึ่งเป็นคนจำนวนน้อย ข้าพเจ้ากำลังจะไปหา เพื่อขอคำชี้แนะและความช่วยเหลือ เพื่อให้เราสามารถทำงานร่วมกันและสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับประเทศที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรของเรา“
จากนั้นเขาได้หันกลับมาย้ำถึงชัยชนะของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ไม่ใช่ชัยชนะของเขาหรือฝ่ายที่ดำเนินการรณรงค์หาเสียงของเขาเท่านั้น แต่เป็นความเคลื่อนไหวที่ผนึกกำลังคนอเมริกันทั้งหลายที่ต้องการรัฐบาลที่ทำเพื่อประชาชน
“อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้น ความสำเร็จของเรา ของเราไม่ใช่การรณรงค์หาเสียง แต่เป็นความเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่และเหลือเชื่อ ที่ประกอบก่อขึ้นจากเหล่าชายและหญิงที่ทำงานหนักเป็นล้าน ๆคน ผู้รักชาติบ้านเมืองของพวกเขา และ ต้องการอนาคตที่สดใสและดียิ่งขึ้นเพื่อพวกเขาเองและเพื่อครอบครัวของพวกเขา
นั่นคือความเคลื่อนไหวที่ประกอบขึ้นด้วยคนอเมริกันจากทุกเชื้อชาติ ศาสนา พื้นเพภูมิหลัง และความเชื่อ ผู้ต้องการและคาดหวังให้รัฐบาลของเรารับใช้ประชาชน และรับใช้เจตจำนงของประชาชน“
เขากล่าวต่อไปถึงเป้าหมายหลักเร่งด่วนของชาติซึ่งสะท้อนปัญหาที่ประเทศอเมริกากำลังเผชิญอยู่ และเน้นการทำงานร่วมกัน
“เราจะเริ่มต้นงานอันเร่งด่วนในการสร้างชาติของเราใหม่และฟื้นฟูความฝันแบบอเมริกันขึ้นมา ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตทั้งหมดของข้าพเจ้ามากับธุรกิจ และมองเห็นถึง ศักยภาพที่ยังไม่ได้ถูกดึงออกมาใช้ที่แฝงอยู่ในโครงการและในประชาชนทั่วทั้งโลก”
ต่อไป เขาได้กล่าวถึงหนทางข้างหน้าในการขับเคลื่อนประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งใหญ่ ในการฟื้นฟูชาติและฟื้นความฝันแบบอเมริกาให้มีชีวิตชีวาขึ้นอีก ที่สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาภายในประเทศ เพราะประธานาธิบดีทรัมพ์ได้เลือกกล่าวประเด็นนี้ขึ้นมาก่อน ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การสร้างความมั่นใจว่าตนเองมีประสบการณ์ความเป็นนักธุรกิจ และการเรียนรู้ถึงศักยภาพและปัญหาของคนอเมริกามากมายในช่วงของการรณรงค์หาเสียง และชี้ว่าตนเองความสามารถในการแก้ปัญหาและการเสนอแนวทางแก้ปัญหา ว่าต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากคนอเมริกัน และกล่าวถึงลักษณะเด่นของความเป็นนักธุรกิจระดับโลกที่ตนเองเป็นคือความสามารถในการมองเห็นและการเฟ้นหาศักยภาพของโครงการและผู้คนทั่วโลก และหันมาชี้ถึงอเมริกาว่ามีศักยภาพอย่างมหาศาลที่เขาอยากดึงออกมาเพื่อให้สร้างความเจริญให้กับอเมริกา และกล่าวเป็นนัยว่าคนอเมริกันทุกคนล้วนมีศักยภาพในตนเอง และเขาจะสร้างโอกาสให้คนอเมริกันทุกคนได้ตระหนักถึงศักยภาพที่แฝงเร้นอยู่ในตัวได้ และสามารถใช้ความสามารถที่ตัวเองค้นพบแล้วได้อย่างโดดเด่นให้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน
“นั่นคือตอนนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้าประสงค์จะทำเพื่อประเทศของเขา ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าได้รู้จักประเทศของเราดีว่าเป็นเช่นนั้น ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ นั่นจะต้องเป็นสิ่งที่สวยงาม คนอเมริกันทุกคนจะมีโอกาสที่จะตระหนักถึงศักยภาพอันเต็มที่ของเขาและเธอเอง ชายและหญิงที่ถูกลืมในประเทศของเรานั้นก็จะไม่ถูกลืมอีกต่อไป”
จากนั้นประธานาธิบดีทรัมพ์ได้กล่าวถึงหนทางพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม และ การกล่าวยกย่องทหารผ่านศึก
“เรากำลังจะแก้ไข ย่านเสื่อมโทรมในตัวเมืองใหญ่และ สร้างทางหลวง สะพาน อุโมงค์ สนามบิน โรงเรียน โรงพยาบาลใหม่ ซึ่งก็จะไม่เป็นที่สองรองใคร และเมื่อเราสร้างสิ่งเหล่านี้ใหม่ เราจะสร้างงานให้กับคนอเมริกันนับเป็นล้านๆ คน ท้ายที่สุด เราจะดูแลทหารผ่านศึกผู้ยิ่งใหญ่ของเราผู้ภักดีต่อชาติบ้านเมือง และผมรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากในช่วงการเดินทางเป็นเวลาสิบแปดเดือนนี้ เวลาที่ผมอยู่กับเหล่าทหารผ่านศึกในช่วงการรณรงค์หาเสียงครั้งนี้เป็นเกียรติอันสูงส่งที่สุดประการหนึ่งที่ผมได้มี ทหารผ่านศึกของพวกเรานั้นน่าทึ่ง”
จากนั้นจึงมีการกล่าวถึงแนวทางเศรษฐกิจของประเทศ และเน้นความร่วมมือระหว่างประเทศ การวาดภาพอนาคตของอเมริกา การประกาศต่อชุมชนโลกว่าจะแสวงหาความร่วมมือ และจากนั้นก็กล่าวถึงชัยชนะครั้งนี้ของเขาว่าเป็นชัยชนะที่เป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งบอกเป็นนัยว่า ประธานาธิบดีทรัมพ์ต้องการนำพาประเทศสู่ความยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ
“เราจะเริ่มต้นโครงการสร้างความเจริญและการฟื้นฟูชาติบ้านเมือง ผมจะนำความสามารถพิเศษเชิงความคิดสร้างสรรค์ ของประชาชนของเราและเราจะเรียกใช้คนที่เก่งและเฉียบแหลมที่สุดเพื่อนำความสามารถพิเศษที่ยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ของทุกคน นี่กำลังจะเกิดขึ้น เรามีแผนเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่
เราจะสร้างการเติบโตของประเทศของเราให้เพิ่มขึ้นสองเท่าตัวและมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดกว่าที่ใดใดในโลก ในขณะเดียวกัน เราจะร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ทั้งหมด ที่เต็มใจจะร่วมมือกับเรา เราจะทำเช่นนั้น
เราจะมีความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ เราคาดหวังที่จะมีความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ไม่มีความฝันที่ใหญ่จนเกินไป ไม่มีการท้าทายไหนที่ยิ่งใหญ่จนเกินไป ไม่มีสิ่งใดที่เราต้องการสำหรับอนาคตของเราที่เกินการเอื้อมถึงของเรา
อเมริกาจะไม่ทำสิ่งที่ด้อยกว่าสิ่งที่ดีที่สุด เราจะต้องคว้า ชะตากำหนดของ ประเทศเราให้คืนมา และวาดฝันที่ใหญ่ แกร่งกล้า และท้าทาย เราจะต้องทำเช่นนั้น เรากำลังจะฝันถึงสิ่งต่างๆ สำหรับประเทศของเรา และ สิ่งต่างๆ สวยงาม และสิ่งต่างๆ นั้นก็จะสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง
ผมใคร่จะบอกกับชุมชนโลกว่า ขณะที่เราให้ผลประโยชน์ของอเมริกามาเป็นอันดับแรก เราจะปฏิบัติอย่างเป็นธรรมกับทุกคน กับทุกๆ คน
ประชาชนทั้งหมด และชาติอื่นๆ ทั้งหมดครับ เราจะแสวงหาจุดร่วม ไม่ใช่ความเป็นปรปักษ์ เราจะแสวงหาความเป็นหุ้นส่วน ไม่ใช่ความขัดแย้ง และตอนนี้ ผมอยากใช้ชั่วขณะนี้ในการขอบคุณประชาชนบางคนที่ช่วยผมจริง ๆ ให้ได้มีสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นเรียกขานค่ำคืนนี้ว่าเป็น ชัยชนะแห่งประวัติศาสตร์ที่แท้จริง อย่างแท้จริง“
หลังจากนั้น เขาได้กล่าวว่า เขาจะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นได้จริงๆ ด้วยการทำงานอันทรงเกียรติในตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และคงมิใช่แต่คนอเมริกาเท่านั้นที่รับรู้ถึงคำประกาศการเปลี่ยนแปลง แต่คนทั่วโลกก็เฝ้ามองด้วยเช่นกัน
แต่เอ๊ะนั่น ไม่ได้ต่างอะไรกับคำขวัญของอดีตประธานาธิบดีโอบามาครั้งรณรงค์หาเสียงด้วยคำขวัญที่ว่า “การเปลี่ยนแปลง” ฉะนั้น ทุกท่านคะ โปรดติดตามกันต่อไปคะว่า ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา เขาจะเปลี่ยนอะไร เปลี่ยนทำไม และเปลี่ยนอย่างไร และเปลี่ยนได้จริงแค่ไหน เพราะในฐานะประเทศมหาอำนาจ ความเคลื่อนไหวของผู้นำประเทศย่อมสร้างแรงกระทบ กระเพื่อมไปทั่วโลกได้จริงๆ