เชิงบันไดทำเนียบ : เตือนแล้วนะ !! จับนัยยะ ‘ปฏิวัติ-รบ.เฉพาะกาล’ แผนตีคู่ ?

สถานการณ์ทางการเมืองในอนาคต ถูกตั้งคำถามไม่น้อยจะมีการ ‘ปฏิวัติ’ อีกครั้งหรือไม่ ด้วยเหตุปัจจัยทางการเมือง ที่อาจ ‘ปลุกเร้า’ ให้เกิดเช่นในอดีต จนเป็นที่มาของการ ‘รัฐประหาร’ ถึง 2 ครั้งทั้งสมัย คมช. นำโดย ‘บิ๊กบัง’พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ปี 2549 และ คสช. นำโดย ‘บิ๊กตู่’พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อ 4 ปีก่อน แต่ทั้งคู่จะ ‘ลงหลังเสือ’ และอนาคตทางการเมืองเหมือนกันหรือไม่ เป็นสิ่งที่ไม่เกิดคาดการณ์
.
หลัง ‘บิ๊กตู่’ ประกาศ “ผมสนใจงานการเมือง” และเป็น ‘ตู่ดิจิทัล’ เปิดเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และ อินตราแกรม พูดคุยกับ ‘กองหนุน’ และ ‘กองต้าน’ ในโซเชียลฯ
.
ที่สำคัญมีการมองถึง อนาคตของรัฐบาลหน้าจะมีอายุสั้น โดยมีเหตุปัจจัยทำให้ ‘รัฐบาลชุดหน้า’ ไม่ราบรื่น โดยเฉพาะหากเป็น ‘รัฐบาล’ จากขั้วต้านคสช. กลับมามีอำนาจอีกครั้ง จะซ้ำรอยปี2549-57 หรือไม่ ? ซึ่งรัฐประหารที่ผ่านมา 2 ครั้งล้วนมี ‘ม็อบการเมือง’ ปูทางทั้งสิ้น อีกทั้งเกิดการ ‘เผชิญหน้า’ ของม็อบ 2 ขั้วเช่นกัน จึงเป็นอีกเหตุในการ ‘ปฏิวัติ-รัฐประหาร’
.
แต่มีการมองไปอีกว่าจะมี ‘รัฐบาลเฉพาะกาล’ เกิดขึ้นหรือไม่ และนำมาสู่การตั้ง ‘นายกฯคนกลาง’ ขึ้น เพื่อมากำหนดกติกาเลือกตั้งขึ้นใหม่ โดยใช้ระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้ได้ ‘กติกา’ ที่เป็นที่ยอมรับของแต่ละฝ่าย ซึ่งการจะเกิดเหตุการณ์นี้ได้ หนึ่งในปัจจัยคือการหาคนมาเป็น นายกฯ ไม่ได้นั่นเอง แม้ ‘บิ๊กตู่’ ชื่อยังเป็นอันดับหนึ่งในโพล แต่คู่แข่งก็คะแนนเพิ่มขึ้นและมีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน

อีกทั้งในขั้วกลุ่มต้านคสช.และกลุ่มคนเสื้อแดงก็มีการพูดถึงทางออกสำคัญ หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งอันดับหนึ่ง แต่ชนะไม่ขาด แล้วตั้งรัฐบาลไม่ได้ขึ้นมา จะทำอย่างไร ?
.
เรื่อยมาจนถึงกรณี ‘บิ๊กจิ๋ว’พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ อดีตนายกฯ และ ‘ตู่’จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. ตั้งโต๊ะแถลงเสนอให้มีการยื่นฎีกาตั้ง ‘รัฐบาลเฉพาะกาล’ และให้ คสช. พ้นจากอำนาจ และมีกลุ่มคนรับลูก รวม 5 คน ไปที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ เพื่อยื่นฎีกา แต่ทหารได้นำตัวทั้งหมด ไปพูดคุยที่ มทบ.11 ก่อนปล่อยตัวออกมา
.
“การหมิ่นที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง การก้าวล่วงหลายครั้งเกิดจากคนสติไม่สมประกอบ ยกตัวอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่อยากเอ่ยชื่อ ไปยื่นถวายฎีกา พอไปจับเข้าเอาแพทย์มาตรวจ ป่วยเป็นโรคจิต ตำรวจส่งศรีธัญญาไปแล้ว” พล.อ.อภิรัชต์ ผบ.ทบ. กล่าว
.
แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้ ‘จตุพร’ เคยเสนอให้แต่ละฝ่ายถอดหัวโขนและรวมกันเพื่อไปต่อรองผู้มีอำนาจอย่าง คสช. เพื่อให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล
.
ต่อมามีกระแสข่าวจับมือกับ ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ อดีตแกนนำพันธมิตร ตั้งพรรคเพื่อชาติขึ้น ซึ่ง ‘จตุพร’ ได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องนี้กับ ‘สนธิ’ แต่ช่วงที่อยู่ในเรือนจำได้พูดคุยเพียงเรื่องการ ‘ถอดบทเรียน’ การเมืองไทย เพราะต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะทั้งคู่คือ ‘ขั้วตรงข้าม’ มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
.
จึงทำให้ทั้ง ‘สนธิ – จตุพร’ ถูกจับตาไม่น้อยถึงบทบาทที่ ‘โลว์โปร์ไฟล์’ ลงไปในช่วงหลังนี้ ว่าได้รับ ‘สัญญาณ’ ใดมาหรือไม่ ? แต่ก็เป็นภาพฉายอนาคตได้ไม่น้อยทางการเมือง

แต่สิ่งหนึ่งที่ถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง คือ กระแสการ ‘ปฏิวัติ-รัฐประหาร’ หลัง ‘บิ๊กแดง’พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ไม่รับกระกันว่าจะมีการปฏิวัติหรือไม่ แต่ชี้ว่าสาเหตุการปฏิวัติอยู่ที่การเกิดเหตุจลาจลและการเมืองเป็นสาเหตุ และ ‘บิ๊กต่าย’พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผบ.ทอ. ระบุว่าหากทำตามกติกาก็จะไม่มีการปฏิวัติ ซึ่งทหารเองก็ไม่อยากทำปฏิวัติเช่นกัน
.
“ผมมั่นใจว่า ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจล ถ้ามันไม่เกิด มันก็ไม่มีอะไร อยู่ๆ มาบอกว่า ประเทศไทยเคยมีปฏิวัติมากว่า 10 ครั้ง มันไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว สมัยหลังๆ มันเกิดขึ้นเพราะเรื่องการเมืองทั้งสิ้น” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
.
“ผมเชื่อว่าทหาร หรือทุกๆคนเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ในรัฐบาลประชาชนทั่วไปหรือทหาร ไม่อยากปฏิวัติอยู่แล้ว เรามีหน้าที่รักษาความสงบและเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงถ้าทุกคนร่วมใจกันอยู่ในกติกาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่องของอนาคตและเชื่อว่าไม่มีใครอยากทำ” พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ กล่าว
.
ทำให้ 2 ผบ.เหล่าทัพ ขึ้นหน้าหนึ่ง นสพ. และเป็นข่าวหลักไปถึง 2 วันติด และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ จากฝั่งต้านคสช.ทันที โดยเฉพาะกับ ‘บิ๊กแดง’
.
“เป็นเรื่องธรรมดา” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวสั้นๆ
.
แต่กระแสทุกอย่างทุก ‘สยบลง’ โดย ‘บิ๊กกบ’พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.สูงสุด ที่ย้ำว่ายังไม่มีนัยยะของความวุ่นวายทางการเมืองและความขัดแย้ง อีกทั้งมองว่า ‘บิ๊กแดง’ และ ‘บิ๊กต่าย’ พูดด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา

“ท่านพูดด้วยประสบการณ์ นั้นคือแผนเผชิญเหตุสุดท้าย แต่ขณะที่กลไกกฎระเบียบของบ้านเมืองยังใช้บังคับได้ และผู้คนยังเคารพกฎหมาย ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ผมก็ยังไม่เห็นปรากฏว่ามีนัยยะสำคัญ จนถึงขนาดที่ต้องน่ากังวล ผมว่าการที่เราด่วนไปพูดถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น และยังไม่มีทีท่าว่าจะเกิด จะทำให้สังคมเกิดความกังวลได้” พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าว
.
แม้เข้าเดือนต.ค.มาเพียง 3 สัปดาห์ และครบ 1 เดือน หลัง ‘คสช.คลายล็อคพรรค’ หากมีการ ‘ปลดล็อคใหญ่’ กลางธ.ค.นี้ สถานการณ์ทางการเมืองยิ่งระอุมากขึ้น ซึ่ง คสช. จะต้องควบคุมสถานการณ์ให้มีความสงบ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งช่วงต้นปี62 ซึ่ง ‘กองทัพ’ ก็จะต้องจัดแถวกำลังพลให้ ‘เป็นกลาง’ และ ‘ไม่เอนเอียง’ ทางการเมือง เพื่อไม่ให้ตกเป็น ‘เครื่องมือ-ฉวยโอกาส’ ของฝ่ายการเมืองได้

แต่สถานการณ์ ‘หลังเลือกตั้ง’ ถือเป็นสิ่งที่ ไม่มีใคร ‘พยากรณ์’ ได้ชัด แต่ว่ากันว่าเรื่องราว ‘ทางการเมือง’ หลายอย่างที่เคยเกิดขึ้น ก็ล้วนไม่ใช่เรื่อง ‘บังเอิญ’ !!