“สามัคคี” สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทรงตอกย้ำ ให้คนไทยตระหนัก ในวโรกาส “80 พรรษา”

หมายเหตุ : รายงานพิเศษนี้เผยแพร่ในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2550

ในวโรกาสสำคัญที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา รัฐบาล กองทัพ ข้าราชการ พสกนิกรชาวไทยได้ร่วมกันถวายพระพร

และมีพระราชพิธีสำคัญ 3 พระราชพิธี ถูกจัดขึ้นในช่วงแห่งการเฉลิมฉลองวโรกาสอันเป็นมงคลนี้

ปรากฏว่า ทุกพระราชพิธี เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัส สิ่งตรงกันประการหนึ่งที่ทรงตอกย้ำอย่างน่าสังเกต นั่นก็คือ

“ความสามัคคี”

เป็น ความสามัคคี ที่ทรงกล่าวถึง ขณะที่สถานการณ์ของบ้านเมืองเรายังไม่กลับคืนสู่ปกติ

โดยเฉพาะ “วิกฤตการเมือง”

 

สามัคคีแรก ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส คือ ในพิธีสวนสนามและการถวายสัตย์ปฏิญาณของกองทหารรักษาพระองค์ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2550 ความว่า

“ไทยเรารักษาเอกราชและผืนแผ่นดินให้มั่นคงเป็นปึกแผ่นมาได้ก็เพราะเราทุกคนมีความสำนึก ตระหนักในความเป็นไทย และหน้าที่ที่จะธำรงรักษาชาติ ประเทศไว้ให้เป็นอิสระ มั่นคง

ตามประวัติกาลที่ปรากฏมา คนไทยซึ่งมีจิตใจผูกพัน ปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แยกพวกแยกเหล่า

มีปกติสามัคคีพร้อมเพรียงกันเสมอ

แม้สถานการณ์บ้านเมืองเราทุกวันนี้เป็นที่ทราบแก่ใจของเราทุกคนอยู่แล้วว่าไม่น่าไว้วางใจ เมื่อใดหากคนไทยขาดความสำนึกในชาติ ความสามัคคี ก็อาจจะประสบเคราะห์กรรมกันทั้งชาติ

จึงขอให้ทหารทุกคนและชาวไทยทุกคน ทุกหมู่ ทุกเหล่า ได้พิจารณาตัดสินใจว่าประเทศชาติของเรานั้นสำคัญ ควรที่เราจะรักษาไว้ให้ยั่งยืนต่อไปหรือไม่

ถ้าเห็นว่าสำคัญ มั่นใจ ก็ขอให้สังวร ระวังกาย ใจ ให้ตั้งมั่นอยู่ในความสัตย์ สุจริต พยายามลดอคติ

และสร้างเสริมความเมตตาสามัคคีในกันและกัน

ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด ให้ยึดเอาความมั่นคงปลอดภัยของชาติเป็นที่หมายสูงสุด”

 

สามัคคีที่สอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ในวโรกาสที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี นำคณะบุคคลต่างๆ ทั้งหมด 780 คณะ เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2550 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

ความว่า

“ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่ได้มาเยี่ยมและมาให้พร ทำให้มีกำลังใจ ความจริงการที่ท่านมานี้ เป็นการให้กำลังใจที่บอกว่าดูแข็งแรง ดูดี พลานามัยที่ดี

ความจริงไม่ใช่ความดีของแพทย์

เป็นความดีของเราที่ตั้งใจที่จะให้แข็งแรงเพื่อที่จะต้อนรับท่านทั้งหลาย

ถ้าไม่ได้ตั้งใจที่จะแข็งแรง ที่จะต้อนรับท่าน ก็จะมาต้อนรับท่านไม่ได้

เพราะว่าเดินก็เดินขานำไปข้างหน้าข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งไปข้างหลัง ไม่ค่อยยอมสามัคคี ต้องสามัคคีแล้ว

ก็ได้พูดเมื่อวานซืนนี้ (2 ธันวาคม ) ว่า ทหารก็ตาม พลเรือนก็ตาม ต้องสามัคคี

เหมือนขาของเราที่จะต้องเดินสามัคคีกัน

หมายความว่า ก้าวออกไปข้างหน้า แล้วอีกข้างหนึ่งก็ยันข้างหลัง และเมื่อยันข้างหลังเรียบร้อยแล้วก็ก้าวไปข้างหน้าอีกข้าง

แค่นี้ก็สามารถเดินได้และไม่หกล้ม

ซึ่งถ้าไม่สามัคคีกันก็บอกแล้วว่าประเทศจะประสบหายนะ ไม่ใช่คำว่าหายนะแต่คล้ายๆ กัน ว่าถ้าไม่สามัคคีกันไม่ปรองดองกัน ประเทศชาติล้ม

ถ้าล้มก็ผลของการล้มนั้นมีหลายอย่าง ร่างกายกระดูกหัก และต้องเข้ารักษา บางทีรักษานานๆ ไม่มีสิ้นสุด

ถ้าไม่ระวัง ประเทศชาติก็ล่ม เมื่อล่มเราจะไปอยู่ที่ไหน ล่มก็หมายถึงว่า ลงไปจม ล่มจม

ถ้าเราไม่ระวัง ประเทศชาติล่มจม ล่มจมก็หมายถึงจมลงไปในทะเล เพราะว่าเมืองไทยนี้ก็ติดทะเล ถ้าล่มไปล่มมาก็ลงทะเล

สมัยนี้เขาก็ขู่กันว่า น้ำทะเลจะขึ้นแล้ว ก็เพราะว่าอากาศมันร้อน แต่ทำไปทำมาก็ไม่ได้ร้อนจริง

ตั้งแต่ต้นธันวานี้ คนบ่นว่าอากาศเย็น อากาศหนาว ก็ไม่รู้จะเชื่อใคร ว่าตอนนี้จะหนาวหรือจะร้อน

แต่ว่าคำว่าร้อน ร้อนจริงๆ เดือดออก ร้อน เดือดร้อน จึงเดือดร้อนมากกว่า ทุกคนที่มานั่งอยู่ที่นี่ก็จะเดือดร้อน

ภาษาไทยใช้คำว่าเดือดร้อน ร้อนและเดือด น้ำเดือดมันร้อน อากาศร้อนก็อากาศทำให้เราไม่สบาย ถ้าไม่สบายแล้วอยู่ไม่ค่อยได้

ที่อากาศร้อน ก็เพราะว่าอากาศมันเจอความร้อนของพระอาทิตย์ ซึ่งเมืองไทยก็เคราะห์ดีอยู่เหมือนกัน ว่าอากาศร้อน ไม่ได้เย็น ไม่ได้เย็นเหมือนอเมริกา

เดี๋ยวนี้ที่อเมริกากำลังเดือดร้อนเพราะอากาศเย็น อากาศหิมะตก ซึ่งตามปกติไม่น่าจะตกอย่างนี้ แต่ว่าอเมริกากำลังร้อน เกิดร้อนในความเย็น

เมืองไทยนี้ก็มีห่วงเดือดร้อนด้วยความเย็นเหมือนกัน

แต่ว่าด้วยความเดือดร้อน

และก็พูดถึงว่าเมืองไทย บ่น หรือว่าเดือด จริงๆไม่ได้เดือด แต่คนเดือด ก็เหมือนทำให้คนเดือดร้อน

เวลาเดือดร้อนมันไม่สบาย

น้ำเดือดยังมีประโยชน์ ต้มไข่ได้ แต่ว่าถ้าเดือดเฉยๆ ไม่มีประโยชน์ ทำให้คนเดือดร้อน สิ้นเปลืองเปล่าๆ

และก็เมื่อคนทำให้เดือดร้อน ที่ว่าสิ้นเปลืองเปล่าๆ และก็บ่นว่า ประเทศลุกเป็นไฟ ก็ต้องระวังไม่ให้ลุกเป็นไฟ เพราะว่าจะทำให้ล่มจม

ที่ต่างประเทศบอกว่า เมืองไทยจะล่มจะจม ความจริงยังไม่ล่มและยังไม่จม แต่ถ้าไม่ระวังก็จะล่มจม ฉะนั้น ก็จะต้องระมัดระวัง

ทุกวันนี้ไม่ปรองดองกัน เมื่อไม่ปรองดอง ก็จะล่มจมลงไป…

…พูดถึงบริหาร ฝ่ายที่จะเป็นรัฐบาล รัฐบาลก็คือการบริหาร แต่ว่าบริหารนี้มีทุกอย่าง บริหารโครงการ บริหารกิจการต่างๆ บริหารการเงินต่างๆ ทุกอย่างต้องบริหารให้ดี ถ้าไม่บริหารก็ล่มจม

แต่คนที่ไม่ได้เป็นฝ่ายบริหาร มีแต่ตำหนิติเตียนว่าไม่ทำ

ที่จริงฝ่ายบริหารก็ทำ คนที่ติเตียนนั้น ก็เป็นคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ตรงข้ามมีแต่ทำลาย

ฉะนั้น ที่มาเมื่อ 2-3 วันนี้ ถ้ากลุ้มใจที่ฟังวิทยุ ที่พูดว่าเมืองไทยนี้ไม่ทำงานอะไร แต่ความจริงก็ก้าวหน้า ถ้าไม่ทำอะไรเลยป่านนี้ก็ล่มจมแล้ว ถ้าไม่ทำก็ล่มจม เหมือนเรือน้ำท่วม ล่มจม”

 

สามัคคีที่สาม ที่ทรงมีพระราชดำรัส เป็นพระบรมราโชวาท ในพระราชพิธีที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออกมุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี ข้าราชการทุกหมู่เหล่า และประชาชน เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม

ความว่า

“ข้าพเจ้ามีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านทั้งหลายพรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด ขอขอบพระทัยและขอบใจในคำอวยพร ที่เปี่ยมไปด้วยไมตรีจิต และความหวังดี

ขอทุกท่านคงได้รับพรและไมตรีของข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน

บ้านเมืองจะมีความมั่นคง เป็นปกติสุขอยู่ได้ ก็ด้วยนานาสถาบันอันเป็นหลักของประเทศ และคนไทยทุกหมู่เหล่า มีความสมัครสมานปรองดองกันดี รู้จักปฏิบัติหน้าที่ให้ประสานส่งเสริมกัน

ความพร้อมเพรียงของทุกฝ่าย ทุกคน ที่มีความสำนึกแน่ชัดในหน้าที่ความรับผิดชอบ และตั้งใจปฏิบัติตน ปฏิบัติงานดี ให้ประสานสอดคล้องกันดี จัดเป็นความสามัคคีอย่างหนึ่ง

ซึ่งความสามัคคีในชาติ ถ้าทุกคนในชาติ จะได้ตั้งตนตั้งใจให้อยู่ในความสามัคคีดังกล่าว ประโยชน์และความสุข ก็จะบังเกิดพร้อมทั้งแก่ส่วนตัวและสวนรวม ประเทศชาติของเราก็จะสามารถรักษาความปกติ มั่นคง พร้อมทั้งพัฒนาให้รุดหน้าไปได้ดังปรารถนา”