เผยแพร่ |
---|
กรณีของ โจชัว หว่อง ได้ก่อให้เกิด”วิวาทะ”ไม่เพียงแต่ในทางการ เมือง หากแต่ยังไหลลึกไปในทางวัฒนธรรม
ตกลง”เป้าหมาย”คืออะไร
การไม่ยอมให้ โจชัว หว่อง เข้าประเทศเท่ากับเป็น”การตัดไฟแต่ต้นลม”
เหมือนอย่างที่ พ.อ.วินธัย สุวารี ระบุ
”เพื่อลดปัจจัยเสี่ยง คสช.จึงจำเป็นต้องให้ส่งกลับคืนประเทศต้นทาง”
นั่นก็คือ มาจากไหน กลับไปนั่น
”การอนุญาตให้เดินทางเข้า-ออกประเทศต้องเป็นไปตามระเบียบและขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่”
ชอบด้วยหลักการ ชอบด้วยเหตุผล
แต่หากประเมินจากกรณี โจชัว หว่อง ที่กลายเป็นข่าวอึกทึกไปทั่วโลก
ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเป็น”การตัดไฟแต่ต้นลม”
หากถือว่า โจชัว หว่อง เปรียบเหมือน”ไฟ” การกำจัด โจชัว หว่อง ออกไปทำให้เรื่องเงียบหายไปจริงหรือ
ความรับรู้”ร่วม”ก็คือ
การเดินทางมาประเทศไทยก็เพื่อร่วมเป็นองค์ปาฐกในงานรำลึก 6 ตุลาคม ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เห็นได้จาก”แถลงการณ์”ของสภานิสิต
ผลก็คือ งานรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เมื่อ 40 ปีก่อนแทนที่จะดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ
เหมือนกับที่เคยจัดกันเป็นประจำทุกปี
แต่พอมาถึงปี 2559 คสช.กลับมีส่วนช่วยให้การรำลึกถึงวันที่ 6 ตุลาคม กลายเป็นข่าวอึกทึกครึกโครม
มิใช่ระดับชาติ หากแต่เป็นระดับโลก
ยิ่งกว่านั้นทำให้หลายคนเกิดความรำลึกไปถึงสถานการณ์การจัดส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับคืนประเทศจีน
อันนำมาสู่”วินาศกรรม”ที่ศาลท้าวมหาพรหม
เกิดคำถามตามมาถึงสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
ตกลงเราทำกันเอง หรือว่าเป็นไปตามความต้องการของจีน
ตกลงสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับจีนดำเนินไปอย่างเสมอภาค สร้างสรรค์
หรือว่าประเทศ 1 เป็น”พี่” ประเทศ 1 เป็น”น้อง”
หรือว่าประเทศ 1 เป็นเหมือน “ลูกพี่” หรือว่าประเทศ 1 เป้นเหมือน”ลูกน้อง”
แทนที่จะ”ตัดไฟแต่ต้นลม”กลับไม่ใช่
แทนที่จะทำให้ปัญหาอันเนื่องแต่”6 ตุลาคม”ยุติ กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ ประเด็นใหม่ขึ้นมา
เท่ากับเป็นเรื่องประเภท”รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ”
มากกว่าจะเป็น “การตัดไฟแต่ต้นลม” ต่อกรณี โจชัว หว่องอย่างที่หวังตั้งใจไว้