สวามี สมรรถะ แห่งอักกลโกฏ : มหาโยคีผู้ลึกลับ

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

“เมื่อเจ้าได้พบคุรุผู้สูงสุดแล้ว เหล่าผู้แสวงหาทั้งหลาย พึงทำสมาธิถึงคุรุอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ปรนนิบัติท่านด้วยความภักดีและเอาใจใส่อย่างยิ่งต่อคำสอนของท่าน ให้ถึงขนาดว่าทุกถ้อยคำที่ออกจากปากท่านล้วนเป็นมนตราทั้งสิ้น”

สวามี สมรรถะ แห่งอักกลโกฏ

 

ครูบาอาจารย์บางท่านก็เหมือนสายลม คือมาจากแห่งหนตำบลใดไม่มีใครทราบแล้วก็จากไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงพรที่ระลึกถึงครั้งใดก็เย็นสบายอยู่เสมอ

สวามี สมรรถะ นิวาสี อักกลโกฏ หรือที่มักเรียกกันว่า สวามีสมรรถะ (Swami Samarth) และสวามีอักกลโกฏ (Swami Akkolkot) ก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าท่านเป็นใครมาจากไหน มีพ่อแม่นามว่าอะไร เรื่องราวของนักบุญผู้มีชีวิตอยู่ใกล้เคียงกับศตวรรษของเราจนมีรูปถ่ายยืนยันตัวตนท่านนี้ กลับลึกลับดูเป็นตำนานเสียยิ่งกว่าเหล่านักบุญในอดีตเสียอีก

หากใครเดินทางไปยังแคว้นมหาราษฏร์ ท่องเที่ยวอยู่ในเมืองใหญ่อย่างมุมไบหรือปูเน่ ไม่ว่าจะตามร้านรวงบ้านเรือน แผงเล็กแผงน้อยตามถนนหนทาง บนแท็กซี่และสามล้อ จะพบรูปชายชราศีรษะโล้นเลี่ยน นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเล็กๆ นั่งไขว้ขาในท่วงท่าที่เป็นเอกลักษณ์ แววตาดุดันจริงจังแต่แฝงเมตตา

นั่นคือสวามีสมรรถะที่ชาวแคว้นมหาราษฏร์เคารพอย่างสูง

 

เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของท่านสวามีเป็นสิ่งที่ผู้คนร่ำลือ ใครพบประสบปัญหาท่านจะช่วยบำบัดปัดเป่าขอเพียงมีศรัทธาจริงใจ หรือใครต้องการการปกป้อง ท่านสวามีจะปกป้องคุ้มครองสาวกของท่านตลอดเวลา

ที่จริงแม้แต่นามของท่านก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ “สมรรถะ” เป็นเพียงคำยกย่องจากคนอื่นว่าท่านมีความ “สามารถ” หรือพลังทางจิตวิญญาณสูงส่ง เช่นเดียวกับนามของสวามีสมรรถะ รามทาส

ส่วน “อักกลโกฏ” นั้น ก็เป็นเพียงชื่อตำบลหนึ่งในแคว้นมหาราษฏร์ ซึ่งมีพื้นที่ติดกับแคว้นกรรณาฏกะ อันท่านสวามีได้มาพำนักอยู่จนจากโลกนี้ไป

เราทราบเพียงว่า สวามีอักกลโกฏมีชีวิตอยู่ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 และย้ายมาอยู่ที่ตำบลอักกลโกฏในปี ค.ศ.1865 ท่านเป็น “อวธูต” นักบวชผู้ไม่จำกัดตนเองในขนบประเพณีและวัฒนธรรมทางสังคมใด

ท่านมาจากสายปฏิบัติ “คุรุจริต” สายปฏิบัติหนึ่งของ “ทัตตาเตรยะคุรุ” ซึ่งเชื่อว่าเป็นอวตารของพระตรีมูรติ

สาวกยังเชื่อกันอีกว่า ที่จริงตัวสวามีอักกลโกฏเองเป็นอวตารของคุรุทัตตเตรยะองค์ที่สาม ถัดจากสวามีนรสิงหะ สรัสวตี และศรีปาทะศรีวัลลภะ

 

ตํานานเล่าไว้ว่า เมื่อคุรุทัตตะได้อวตารลงมาเป็นสวามีนรสิงหะ สรัสวตีแล้ว (ข้อมูลในทางประวัติศาสตร์ระบุว่าท่านมีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ.1378-1459) ท่านผู้นี้ได้จาริกไปทั่วทั้งอินเดียและต่างประเทศ ทำประโยชน์ด้วยการช่วยเหลือและสั่งสอนผู้คนอยู่นับร้อยปี

วันหนึ่งท่านตัดสินใจที่จะเข้าสู่สมาธิอันลึกซึ้งและประสงค์จะละทิ้งทุกสิ่ง จึงเดินทางเข้าไปยังป่า “กรรทลิวัน” (Kardalivana) ใกล้ศรีไศละ มหาเทวาลัยของพระศิวะ ในแคว้นกรรณาฏกะ

เวลาผ่านไปถึงสามร้อยปี เกิดมีจอมปลวกและต้นไม้ขึ้นมาท่วมร่างของสวามีนรสิงหะ ไม่มีผู้ใดจดจำได้แล้วว่า ตรงจุดนี้เป็นที่ทำสมาธิของคุรุผู้ยิ่งใหญ่

ช่างไม้ผู้หนึ่งผ่านมาประสงค์จะตัดต้นไม้ในบริเวณจอมปลวกนั้น เขาคว้าขวานฟันฉับลงไปที่โคนต้นไม้อันติดแน่นกับจอมปลวก แล้วก็ต้องตกใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นเลือดแดงๆ ติดคมขวาน

ทันใดนั้นเอง ชายรูปร่างสูงใหญ่ก็พังจอมปลวกออกมา ทว่า มิใช่สวามีนรสิงหะ สรัสวตี แต่เป็นสวามีสมรรถะ เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ช่างไม้รีบก้มกราบขออภัยด้วยความกลัว แต่ท่านสวามีตอบเพียงว่า ดีแล้ว นี่คงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการเตือนให้ท่านมาสานต่อภารกิจ

ทว่า มิใช่ในร่างเดิมแต่เป็นร่างใหม่ ส่วนแผลจากคมขวานยังปรากฏเป็นรอยแผลเป็นที่ต้นขาของสวามีสมรรถะ ดังที่ศิษย์ได้เห็นกันทุกคน

ท่านออกเดินทางจากกรรทลีวันไปยังบุญยสถานสำคัญของอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นปุรี พาราณสี ราเมศวรัม และได้พำนักช่วงหนึ่งที่เมืองมงคลเวธ ใกล้กับเมืองปัณฑรปุระ

สุดท้ายเมื่อเดินทางถึงอักกลโกฏ ก็ตั้งใจปักหลักอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต

 

ผู้คนเล่าขานถึงปาฏิหาริย์และพลังวิเศษอันมากมายของท่านสวามี ใครได้มาพบท่านครั้งแรกก็ประทับใจในบุคคลิกลักษณะของชายชราร่างสูงใหญ่ ใบหูกว้างดูราวพร้อมรับฟังความทุกข์ แขนยาวถึงหัวเข่าที่พร้อมจะยื่นออกไปช่วย แววตาจริงจังราวกับจะจ้องไปถึงหัวใจของคนที่อยู่เบื้องหน้า

ท่านมักจะโยนผ้าเตี่ยวทิ้ง จึงปรากฏตัวต่อผู้คนทั้งแบบเปลือยและกึ่งเปลือยโดยไม่มีความกังวลใจหรืออาย ทว่าก็ไม่มีใครติเตียนท่านในเรื่องนี้เลย

ปาฏิหาริย์ที่ลือๆ กันนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องการช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก ตั้งแต่ช่วยเยียวยาความป่วยไข้ที่ไม่อาจรักษาได้แก่ประชาชนทุกชั้นวรรณะ

แก้ปัญหาน้ำขาดแคลนในสระที่มงคลเวธะด้วยการเนรมิตน้ำให้ผุดขึ้นมา

ทำนายทายทักสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแม่นยำ เช่น การเตือนไม่ให้วาสุเทวะ พัฬวันต์ ผัฑเก (Vasudev Balwant Phadke) ผู้นำการเรียกร้องเอกราชทำการรบพุ่งต่อต้านอังกฤษเพราะยังไม่ถึงเวลา และก็เป็นไปดังนั้น

เสียงร่ำลือเหล่านี้ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทว่า สวามีอักกลโกฎยังคงทำตัวตามปกติ หากไม่มีผู้มาพบท่านก็จะใช้เวลาไปกับการภาวนา นั่งสงบใต้ต้นไทรใหญ่

ว่ากันว่าท่านชอบสูบยามาก ดังมีภาพถ่ายของท่านกับเตาสูบยาในวัฒนธรรมมุสลิมที่เรียกว่า ฮุกกา (Hukka) ปรากฏอยู่

 

บางครั้งผู้คนก็ไม่ได้มาพบสวามีเพราะอยากเห็นปาฏิหาริย์ เพียงอยากอยู่ใกล้ๆ เพื่อจะได้รับพรและความเมตตาของท่าน ดังมีสตรีผู้หนึ่งนามว่า สขุ เธอเป็นเพียงเกษตรกรยากจน อาศัยที่ดินของผู้อื่นเพาะปลูก แต่โชคไม่ดีที่เจ้าของที่ยึดที่ดินคืนไป เธอจึงต้องกลายเป็นขอทานเร่ร่อน

การนอนกลางดินกินกลางทรายทำให้เธอกลายเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง สขุรู้สึกสิ้นหวังจนได้พบกับโควินทะ ราว ศิษย์คนหนึ่งของสวามีสมรรถะ ชายคนนี้บอกให้เธอไปพบท่านสวามีแล้วจะได้รับการช่วยเหลือ

สขุเดินทางไปถึงอักกลโกฏ ท่านสวามีได้เตรียมที่พักและอาหารไว้ให้เธอด้วยตนเอง แต่เพราะเกรงใจท่าน เธอจึงมิได้บอกความต้องการของตน ทว่า ท่านสวามีล่วงรู้จึงได้มอบก้อนสีขาวเล็กๆ ให้เธอใช้ขัดตัวในยามอาบน้ำ ไม่นานสขุก็หายจากโรค

เธอลาท่านกลับมาถึงบ้านเพื่อจะพบว่า เจ้าที่ดินได้คืนที่ดินให้เธอใช้โดยปราศจากคำอธิบาย!

 

ท่านสวามีสมรรถะมิได้มีผลงานหรือกวีนิพนธ์สำคัญอย่างนักบุญท่านอื่นๆ มีเพียงถ้อยคำที่กล่าวไว้ในหลายวาระโอกาส ซึ่งเป็นคำสอนเรียบง่าย ให้ผู้คนมีศรัทธาในพระเจ้าและมีชีวิตที่มีคุณธรรม “จงมีศรัทธามั่นคงในพระเจ้า เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ดำรงอยู่ในท่ามกลางสิ่งอันมองเห็นได้และไม่ได้ในจักรวาลนี้” และ “จงหาเลี้ยงชีพด้วยความพยายามอย่างจริงใจ” เป็นต้น

แม้ท่านจะเข้ามหาสมาธิหรือสิ้นใจไปแล้วในปี ค.ศ.1878 ทว่า รูปถ่ายของท่านยังคงเป็นสิ่งเคารพสักการะโดยทั่วไป อีกนับร้อยปีจนทุกวันนี้ เชื่อกันว่าแม้แต่รูปถ่ายของท่านก็สามารถอำนวยพรแก่ผู้ที่นับถือศรัทธา และแม้แต่การเกิดขึ้นของรูปถ่ายที่นิยมนี้ก็เป็นตำนานเล่าขานที่ไม่ธรรมดา

ในราวปี 1855 ถึง 1870 บริษัทโกดัก ซึ่งมี George Eastman พยายามที่จะโปรโมตเทคโนโลยีการถ่ายภาพในอินเดีย ด้วยเหตุนั้นจึงแสวงหาบุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นแบบลงในหนังสือพิมพ์

ในเวลานั้นท่านสวามีโด่งดังขึ้นมาแล้ว จอร์จจึงเดินทางไปอักกลโกฏเพื่อถ่ายรูปท่านสวามี แต่ในครั้งแรกเขามิได้ขออนุญาตก่อน เมื่ออัดออกมาปรากฏว่าภาพถ่ายใบเดียวกันแต่ละคนกลับเห็นแตกต่างกันออกไป บ้างก็เห็นเป็นเทพเจ้าต่างๆ ที่ตนนับถือ ส่วนตัวจอร์จเองกลับเห็นเป็นรูปลิงแก่เท่านั้น

ครั้งที่สองเขาจึงขออนุญาตท่านสวามีด้วยความเคารพ ก็ปรากฏสามารถอัดออกมาเป็นภาพท่านสวามีที่ชัดเจนสวยงาม

และกลายเป็นต้นแบบภาพที่ผู้คนสักการะจนทุกวันนี้ •

 

 

ผี พราหมณ์ พุทธ | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง