ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มีนาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ผี-พราหมณ์-พุทธ |
ผู้เขียน | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง |
เผยแพร่ |
“โอ้ ใจเอย บอกหน่อยเถิด อะไรเกิดขึ้นกับราวัณ (ทศกัณฐ์) ก็ทั้งราชัยและทุกสิ่งพลันสูญสิ้น ดังนั้นแล พึงสละความนึกคิด (วาสนา) อันบาปร้าย มิฉะนั้นความตายย่อมติดตามไปไม่หยุดยั้ง
โอ้ ใจเอย อย่ามุ่งหวังสิ่งใดนอกเสียจากการพึ่งพิงในองค์ราม ใจเอ๋ยใจ อย่ากระหายใคร่ต่อเกียรติยศในชีวิตอันรู้ตายนี้ นี่คือสิ่งอันบอกไว้ในพระเวท ศาสตร์ และปุราณะอันพึงยกย่อง เพราะหลังจากได้สาธยายเรื่องราวขององค์รามแล้ว ก็มิมีสิ่งใดจักต้องพรรณนาอีก”
มนาเชโศลกของสวามีรามทาส
นักบวชบางรูปสละโลกโดยไม่เคยเหลียวกลับมามอง แต่มีบางรูปกลับมาประกอบกรณียะต่างๆ เพื่อสงเคราะห์โลก หลายครั้งก็หลุดเข้าไปสู่แวดวงแห่งอำนาจ สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าอำนาจนั้นได้กัดกินสภาวะแห่งสมณะจนหมดสิ้นไปหรือไม่
ความรักชาติบ้านเมืองก็เช่นเดียวกัน มีทั้งด้านที่ดูเหมือนจะขัดกับจิตวิญญาณของนักบวช แต่อีกด้านก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักบวชบางคนค้นพบประโยชน์แห่งชีวิตตน ที่มากไปกว่าการบำเพ็ญภาวนาปลีกวิเวกลำพัง
นารายณ์เกิดในเมืองชัมพะ (Jamba) แคว้นมหาราษฏร์ ในปี ค.ศ.1608 เผอิญอย่างยิ่งที่เขาเกิดตรงกับวันรามนวมี หรือวันประสูติของพระราม ซึ่งอาจเป็นนิมิตหมายว่าเด็กชายคนนี้จะกลายเป็นผู้รับใช้ของพระรามในอนาคต
บิดาของเขาเป็นพราหมณ์ผู้นับถือพระสุริยเทพและมีความรู้ทางโหราศาสตร์ดี นั่นทำให้นารายณ์ได้ศึกษาเล่าเรียนพระเวทและศาสตร์ต่างๆ อย่างครบถ้วน
กระนั้น แม้แต่ในวัยเยาว์เขาก็เริ่มสนใจการภาวนาถึงพระเป็นเจ้า โดยเฉพาะองค์พระรามเป็นเจ้า เมื่อเสร็จกิจการงาน เขาก็มักจะปลีกไปสวดภาวนาเงียบๆ เสมอ
จุดเปลี่ยนของชีวิตนารายณ์มาถึงเมื่ออายุได้สิบสองปี ทางบ้านตัดสินใจจับเขาแต่งงานกับหญิงสาวในวัยเดียวกัน ขณะที่พิธีแต่งงานกำลังดำเนินไป เช้าวันหนึ่งพราหมณ์ก็สวดด้วยเสียงอันดังขึ้นว่า “ศุภมํคลํ สาวธานํ” อันมีความหมายว่า จงตั้งใจให้ดี ศุภมงคล (กำลังจะเกิดมีขึ้น) เป็นการบอกบ่าวสาวให้เตรียมตัวที่จะรับสถานภาพใหม่ในชีวิตแต่งงาน
เมื่อนารายณ์ได้ยินคำว่า “สาวธานมฺ” ซึ่งอาจแปลว่า จงตั้งใจ หรือ จงระวัง เขาเกิดรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาในใจ นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการในชีวิตนี้ก็เป็นได้
นารายณ์ตัดสินใจหนีออกจากงานแต่งงานของตนเองทันที
เขาออกบวชเป็นสันยาสี เร่ร่อนถึงเมืองตักลี (บางตำนานว่าเป็นเมืองนาสิก) ที่อยู่ห่างออกไป นอกจากภิกขาจารในยามเช้า นารายณ์ใช้เวลากว่าค่อนวันยืนไม่ไหวติงอยู่ในแม่น้ำโคทาวารี ขณะที่สวดภาวนามนต์ถึงพระราม “ศรี ราม ชัย ราม ชัย ชัย ราม” วนไปมานับหมื่นนับแสนจบทุกวัน
เวลาผ่านไปถึงสิบสองปี บัดนี้นารายณ์พบว่าตนเองได้บรรลุสิทธิอำนาจแห่งมนตราและเข้าถึงความรู้สูงสุดเกี่ยวกับพระเจ้าหรือสัจธรรมแล้ว เขากลายเป็น “รามทาส” (Ramdas) หรือ สมรรถะ รามทาส (Smarth Ramdas) ทาสแห่งองค์รามผู้สามารถนับตั้งแต่นั้น
เมื่อบรรลุธรรม สวามีรามทาสออกเดินทางจาริกไปทั่วอินเดีย ว่ากันว่าท่านเคยได้พบกับคุรุหรโคพินท์ พระศาสดาพระองค์ที่หกแห่งศาสนาซิกข์
รามทาสใช้เวลาอีกสิบสองปีในการยาตรา สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากนักบุญแห่งแคว้นมหาราษฏร์ในเดียวกัน คือท่านเป็นสันยาสีที่มีใจร้อนรนในการต่อสู้เพื่อบ้านเกิดเมืองนอน และรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อจะต่อต้านผู้รุกรานจากต่างชาติ-มุสลิม ในขณะที่นักบุญร่วมสมัยมักพยายามประสานความขัดแย้งแตกต่างระหว่างฮินดูและมุสลิมเข้าด้วยกัน
แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนผู้สละโลกทั่วๆ ไป ผมยาวรุงรัง ร่างกายมีเพียงผ้าเตี่ยวสีส้มหรือ “เกาปิน” พันตัว แต่ภายในใจกลับแตกต่างจากบรรดาสันยาสีอื่นๆ มากมายนัก
การเดินทางไปทั่วอินเดียของสวามีรามทาสจึงไม่เพียงเป็นการจาริกเยี่ยงนักบวชโดยทั่วๆ ไป ทว่า เป็นการเผยแผ่ความคิดเพื่อปลุกเร้าให้ผู้คนกลับมาตระหนักถึงพลังของตนในการต่อต้านต่างชาติ
รามทาสสั่งสอนให้ผู้คนฝึกฝนร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงเพื่อพร้อมจะต่อสู้อยู่เสมอและให้ประกอบกิจการงานด้วยความแข็งขัน
“การงานไว้ในมือ พระรามไว้ในใจ”
นอกจากจะสั่งสอนและเขียนหนังสือ รามทาสใช้ยุทธวิธีสร้างเทวาลัยของพระราม พระเป็นเจ้าผู้ห้าวหาญชาญณรงค์ ไว้ในหลากหลายที่ รวมทั้งเทวาลัยของพระหนุมานทหารเอกของพระรามตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อเป็นตัวอย่างของ “สาวก” ผู้ภักดี ผู้พร้อมจะพลีชีพตนเพื่อพระเจ้าที่เขารัก
สวามีศิวานันทะ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ” ชีวิตแห่งนักบุญ” (LIVES OF SAINTS) กล่าวไว้ว่า อันที่จริงรามทาสไม่เคยเกลียดชังชาติหรือศาสนาใด ท่านเพียงแต่ต้องการเผยแผ่ศาสนาฮินดูไปทั่วทั้งอินเดียเท่านั้น
คำกล่าวนี้จะจริงหรือไม่คงตอบได้ยาก ทว่า ผลงานชิ้นสำคัญของรามทาสกลับไม่ค่อยพบข้อความในเชิงการปลุกเร้าทางการเมือง แต่มีเนื้อความบรรยายถึงสัจธรรมชั้นสูงหรือหลักในการปฏิบัติโยคะและศีลธรรม เช่น “ทาสโพธะ” (Dasbodha) และ โศลกว่าด้วยใจหรือ “มนาเชโศลก” (Manajeshlok) อันมีชื่อเสียง
“ผู้ใดละทิ้งความทระนงตัว ความริษยาและความเห็นแก่ตนได้ ปัญหาในโลกทั้งหลายย่อมไม่แผ้วพาน ผู้ใดเอ่ยวาจาอ่อนหวานด้วยเมตตา เขาย่อมประเสริฐเลิศกว่าสาวกใด และเป็นผู้ได้รับการอวยชัยในโลกา” มนาเชโศลกบทที่ 51
“ในยามเช้าก่อนทำสิ่งใดพึงตั้งจิตถึงพระราม ก่อนเอ่ยวาจาพึงรับรู้ถึงพระองค์ ระลึกถึงพระองค์ก่อนเสมอ แล้วทุกสิ่งที่กระทำย่อมถูกต้องดีงาม อย่าได้ละทิ้ง ‘ความยิ่งใหญ่’ นี้เลย แล้วเธอจักเป็นที่นับถือในท่ามกลางคนทั้งหลาย” มนาเชโศลกบทที่ 3
ว่ากันว่า สวามีรามทาสมีชีวิตร่วมสมัยกับนักบุญตุการามและเคยได้พบกัน แต่เหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตรามทาสคือการที่ศิวาจีมหาราช (Shivaji Maharaj) ผู้ดำรงตำแหน่ง “ฉัตรปติ” (Chatrapati) หรือผู้ครองแคว้นมหาราษฏร์ ได้ยอมรับนับถือสวามีรามทาสเป็นคุรุของตน
สำหรับชาวมาราฐีหรือชาวอินเดียฮินดูโดยทั่วไป ศิวาจีฉัตรปติคือตัวอย่างกษัตริย์ฮินดูผู้กล้าหาญยิ่งใหญ่ ผู้สามารถปลดแอกรัฐมาราฐาจากสุลต่านแห่งพีชะปุระและยืดหยัดต้านจักรพรรดิมุสลิมแห่งมุฆัลหรือโมกุลอย่างเข้มแข็ง อาจกล่าวได้ว่า ศิวาจีเป็นตัวแทนของกษัตริย์ฮินดูในอุดมคติ ผู้สามารถต่อกรกับศัตรูต่างชาติต่างศาสนา และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งชาตินิยมอันหนึ่งของอินเดียในที่สุด
ตำนานกล่าวว่า ศิวาจีได้ขอให้นักบุญตุการามรับตนเองเป็นศิษย์ แต่ท่านตุการามกลับบอกว่าคุรุที่แท้จริงของศิวาจีคือสวามีสมรรถะ รามทาส จงหาคุรุผู้เร่ร่อนนี้ให้พบ
ศิวาจีเดินทางออกค้นหารามทาสอยู่นาน จนในที่สุดก็ได้พบกัน ราชาหนุ่มยอมมอบกายถวายทุกสิ่งแด่คุรุของเขา เขานำปาทุกาหรือรองเท้าของครูประดิษฐานไว้เหนือราชบังลังก์ และยกแผ่นดินมาราฐาให้รามทาสครอบครอง แต่สันยาสีที่ไหนจะสนใจราชัยของกษัตริย์ ท่านสั่งสอนให้ศิวาจีปฏิบัติตาม “ราชธรรม” ให้เลิกคิดที่จะออกบวช และกระทำหน้าที่อย่างกษัตริย์ให้สุดความสามารถ
ศิวาจีจึงใช้ธงแห่งนักบวชฮินดูของรามทาส ธงสีส้มรูปหางนกแซงแซวมาเป็นธงชัยของชาวมาราฐา ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของคุรุและศิษย์ผู้นี้ทำให้ศิลปินในยุคหลังมักวาดภาพทั้งสองอยู่คู่กันเสมอ และเชื่อว่าแนวคิดในการปกครองอย่างฮินดูที่ศิวาจีมีนั้น ก็ได้มาจากจากคุรุรามทาสนี้เอง
ทว่า ในทางตรงกันข้าม นักประวัติศาสตร์อย่างสจวร์ต กอร์ดอน (Stewart Gordon) สรุปไว้ในงานเขียนเรื่อง New cambridge history of india : the marathas 1600-1818 ว่า นักประวัติศาสตร์มาราฐารุ่นเก่าๆ มักเขียนถึงศิวาจีและรามทาสในแง่ความสัมพันธ์อันใกล้ชิด ทว่า ในงานวิจัยยุคหลังๆ มานี้พบว่า ศิวาจีอาจไม่เคยพบหรือรู้จักรามทาสเลยจนถึงช่วงท้ายของชีวิต นอกจากนี้ แนวคิดทางการปกครองของศิวาจีก็มาจากตนเอง มาได้มาจากผู้ใด
ดังนั้น ความนิยมชมชอบทั้งศิวาจีและสวามีรามทาสที่แพร่หลายออกไปนั้น เป็นความพยายามของคนในยุคหลัง นับตั้งแต่ช่วงแห่งการเรียกร้องเอกราชของอินเดียที่ต้องการสร้างตัวแบบสำหรับแนวคิดชาตินิยมและฮินดูนิยมขึ้นมา และยังคงถูกประชาสัมพันธ์อย่างมากในทุกวันนี้ ท่ามกลางกระแสแห่งชาตินิยมและศาสนนิยมที่ถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง
แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้สวามีรามทาสจะมีภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไร แต่มรดกที่ท่านทิ้งไว้ ไม่ว่าจะวัดวาอารามและบรรดาคัมภีร์ต่างๆ ก็ได้ยังประโยชน์แก่ผู้คนไม่น้อย
ที่สำคัญคือบทเพลงอารตีแห่งพระพิฆเนศวร์ “สุขกรตา ทุขหรตา” ซึ่งนิยมขับร้องในเทศกาลคเณศจตุรถีจนทุกวันนี้ ก็เชื่อกันว่าสวามีรามทาสเป็นผู้ประพันธ์ขึ้น
สวามีสมรรถะ รามทาส สิ้นใจในปี ค.ศ.1681 ในขณะกำลังสวดมนตราที่ท่านรัก
“ศรีราม ชัย ราม ชัย ชัย ราม!” •
ผี พราหมณ์ พุทธ | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022