ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ผี-พราหมณ์-พุทธ |
ผู้เขียน | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง |
เผยแพร่ |
แด่มารดาธรรมชาติผู้ไร้นาม
ช่วงนี้ผมคิดถึงแม่ผู้ล่วงลับบ่อยๆ
ความอ่อนไหวทางอารมณ์นี้มีเหตุมาจากหลายอย่าง
ใหญ่สุดคือเรื่องการเมืองนั่นแหละครับ
เวลาที่ผมเห็นข่าวคุณแม่ของนักกิจกรรมทั้งหลายอย่างรุ้ง เพนกวิน ไมค์ ไผ่ ฯลฯ ที่ออกไปต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับลูก ร้องไห้เมื่อลูกทุกข์ และต้องเผชิญความอยุติธรรม ผมสะเทือนใจทุกครั้ง
นึกถึงแม่ของตัวทุกครั้ง
มีแต่ผู้จิตใจเลวทรามต่ำช้าหรือโง่เขลาเกินจะเยียวยาเท่านั้นที่จะเยาะเย้ยถากถางคุณแม่เหล่านี้ หรือเห็นว่าเป็นเรื่องที่ลูกๆ หาเหาใส่หัวทำให้แม่ตัวเองเดือดร้อน
คนพวกนี้อคติปิดตาปิดใจ ไม่รู้ว่ารากเหง้าของความทุกข์ยากทั้งหมดนี้มันมาจากอะไรกันแน่ ทั้งที่มันแทบจะทิ่มตาอยู่แล้ว
คุณแม่หลายคนรวมทั้งคุณแม่ของผมด้วย ย่อมไม่อยากจะให้เราลำบากเดือดร้อนไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น
ผมนึกถึงสมัยก่อน เวลาผมเขียนเรื่องการเมืองหรือมีคนด่าเพราะแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แม่ก็จะแอบส่งความเป็นห่วงมาให้เสมอๆ แต่ก็ไม่ห้ามอะไร เพราะก็เชื่อว่าลูกทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เป็นสิ่งที่ลูกเลือกเอง
หัวใจด้านหนึ่งของแม่ก็ย่อมอยากให้ลูกสบายที่สุด อยู่กับเราด้วยความสุข
แต่หัวใจอีกด้านก็รู้ว่าลูกมีจิตวิญญาณของตัวเอง แม้ไม่เห็นด้วยก็ต้องยอมรับ ทั้งยังคอยเกื้อกูล ประคับประคอง รองรับไว้เมื่อร่วงหล่น
เพราะความรักเช่นนี้ เมื่อคุณแม่ของผมเสียชีวิตนั้น ผมถึงรู้สึกว่าที่ใจมีรูโหว่ใหญ่โตดำมืด ถมอะไรลงไปก็ ไม่เต็ม จะเพลิดเพลินกับโลกก็แค่ทำให้ลืมทุกข์ไปบ้าง หัวเราะก็ไม่เต็มเสียง
จนกระทั่งมิตรรักคนหนึ่งพูดคติธรรมสมเป็นมหายานิกชนขึ้นมาว่า จะถมช่องโหว่ในใจนั้นได้ ก็มีแต่จะต้องขนเอาสรรพสัตว์ทั้งปวงบรรจุลงไปเท่านั้นแหละ ผมเต็มตื้นสาธุกับคำสอนนั้นน้อมรับใส่เกล้าใส่ใจ
ทว่าทุกวันนี้ก็ยังทำไม่ได้ครับ ไม่ได้แม้สักนิด แต่ก็หวังใจว่าสักวันจะได้บรรจุอะไรลงไปในใจบ้าง
ผมรำพึงเรื่องแม่มาแต่ต้น เพื่อจะขอเล่าถึงบางสิ่งที่ได้ทำมาเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งเกี่ยวพันกับความเชื่อและความรักของผู้คน
ความเป็นแม่นี่เป็นสภาวะที่แปลกประหลาดนะครับ ราวกับเป็นสภาวะสากล เมื่อเราสัมผัสกับความเป็นแม่คนหนึ่ง ก็เหมือนได้สัมผัสกับแม่ทุกๆ คนในโลกนี้ และยังแผ่ออกไปถึงสภาวะแห่งความเป็นแม่ที่มีอยู่ในโลกธรรมชาติทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ ผมเข้าใจว่า คนโบราณในสมัยพระเวทจึงได้ประมวลเอาสภาวะแห่งความเป็นแม่ กำหนดหมายให้กลายเป็นเทวีองค์หนึ่ง คือ “อทิติ”
พระนางคือสภาวะแห่งความเป็นแม่ของสรรพสิ่ง เป็นการสร้างบุคลาธิษฐานจากนามธรรมแรกในอรุณสมัยของฮินดู
ต่อมาในยุคเรืองเทวตำนาน อทิติจะกลายเป็นชายาของพระประชาบดีผู้สรรค์สร้าง เธอจึงเป็น “เทพมารดร” ของทวยเทพและอสูร สมตามบทบาทเดิมในยุคก่อนหน้า
ความรู้สึกผูกพันกับแม่ในหลายสภาวะคือรากฐานของศาสนาโบราณดึกดำบรรพ์ เราผูกพันกับแม่ผู้ให้ชีวิต แต่ชีวิตของเรายังถูกบำรุงเลี้ยงด้วย “แม่” อีกมากมาย ทั้งแม่บรรพชน แม่ธรรมชาติและแม่ทวยเทพ มิฉะนั้นเราก็ตายเสียแต่เยาว์วัย
ผมเคยไปกัลกัตต้า (ปัจจุบันเรียกโกลกาต้า) ที่นั่นเป็นย่านผู้นับถือพระเทวีกาลี คำศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏอยู่ทั่วไปกลับไม่ใช่ “โอมฺ” อย่างที่เราคุ้นเคย
แต่เป็นคำว่า “มา” ซึ่งแปลว่า “แม่” ในภาษาถิ่น
บางครั้งเมื่อเราใช้ชีวิตในเมืองมากเข้า เราก็หลงลืมแม่อื่นๆ เหล่านี้ไป บางครั้งแม้แต่แม่ที่เป็นคนของเราและแม่ของผู้ทุกข์ทนเรายังลืมได้ นับประสาอะไรกับแม่ธรรมชาติ หรือแม่ทวยเทพเทวี
กระนั้นก็มีกลุ่มคนบ้าๆ บอๆ เป็นฮิปปี้หลงยุค เป็นอิสรชน เป็นเหล่าโยคีและโยคินี เป็นมหาสิทธาหรือจะเรียกอะไรก็ตามอยู่กลุ่มหนึ่ง คนเหล่านี้ยังคงแสวงหาความหมายของชีวิต ยังรักในเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ ยังฝันเห็นโลกและสังคมที่ดีกว่าเดิม ยังอยากจะพบแม่ในสภาวะอื่นๆ
คนกลุ่มนี้เขาจัดงานรวมตัวกันทุกปีครับ ชื่องาน “Sacred Mountain” (ซึ่งหมายถึงดอยหลวงเชียงดาว) เพื่อเฉลิมฉลองให้กับชีวิตและค้นหาความศักดิ์สิทธิ์ในตนเอง ในเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ ดังผมได้เคยเล่าถึงงานนี้ไปบ้างแล้ว
ปีแรกของงานผมถูกชักชวนจากวิจักขณ์ พานิช ผู้จัด ให้ทำพิธีตั้งศาลนาค ปีถัดมาก็มีพิธีขอให้เจ้าหลวงคำแดงมาเป็นพระธรรมบาลผู้อุปถัมภ์ของงาน (อ่านได้ในฉบับเก่าๆ ครับ)
มาปีนี้เป็นปีที่สาม ซึ่งเขาย้ายกันไปจัดที่เกาะพะงัน วิจักขณ์ก็มาปรึกษาว่า ปีนี้จะทำพิธีอะไรดี เพราะเห็นว่าพิธีกรรมเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารและตอกย้ำความศักดิ์สิทธิ์สามประการนั้น
แต่ความยากคือ พิธีที่เราจัดจะต้องสามารถสื่อกับคนรุ่นใหม่ได้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่พิธีที่มีแต่รูปแบบกับความศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ความหมาย
ทั้งยังควรมีประเด็นร่วมสมัยสอดแทรก แต่ก็สามารถสืบรากเหง้าย้อนไปเชื่อมโยงกับท้องถิ่น ตำนาน และความเชื่อของผู้คนในที่นั้นได้ด้วย
ผมอยากเล่าเรื่องการออกแบบพิธีคราวนี้แหละครับ
พอผมได้รับโจทย์ โดยที่ไม่สามารถไปร่วมงานได้ ผมจึงถามวิจักขณ์ทันทีว่า รู้สึกถึง “สภาวะ” ของความศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นอย่างไร “ทวยเทพ” ของที่นั่นมีลักษณะแบบไหน เพราะผมสืบค้นตำนานพื้นบ้านไม่เจอ ก็ต้องเอาจากที่คนไปที่นั่นรู้สึก แล้วก็มั่นใจในความรู้สึกของเพื่อนต่อเรื่องพวกนี้
ถามกันตรงๆ แบบนี้แหละครับ ใครจะว่าบ้า พวกผมก็คงบ้าจริงๆ แต่อย่างน้อยก็มีคนโบราณเป็นเพื่อนบ้ากับพวกผมด้วย เพราะเขาก็คงทำอะไรกันแบบนี้เหมือนกัน รวมทั้งพ่อมดหมอผีอะไรอีกมาก
วิจักขณ์บอกว่า ความรู้สึกที่มีต่อธรรมชาติและความศักดิ์สิทธิ์ของเกาะพะงันนั้นรู้สึกได้รับการโอบอุ้ม มีสภาวะแบบอิสตรี ลึกลับ เก่าแก่ นิ่งสงบ ซ่อนเร้นอยู่ใต้ผืนดินผืนน้ำ และรู้สึกว่าธรรมชาติที่ถูกทำลายกำลังฟื้นฟูตนเอง
ผมรับคำตอบมาแต่ก็ยังไม่รู้จะทำพิธีอะไร จึงปล่อยให้ตัวเองอยู่ในความนิ่งสงบ เลิกคิด แล้วจินตนาการถึงสิ่งที่เพื่อนเล่าให้ฟัง
จู่ๆ คำว่า “แม่” ก็ผุดพรายขึ้นมาในใจ ความรู้สึกต่อแม่ก็ท่วมท้น รับรู้ถึงแม่ของทุกๆ คนดังที่เล่าไว้ข้างต้น
จากนั้นก็ตระหนักว่า ที่เขาเล่ามากับที่รู้สึกคือสภาวะแห่งความเป็นแม่ของโลกนี่นา จะเรียกว่าแม่ธรณี อทิติ เทพีไกอา หรืออะไรก็ตามแต่ ทว่าสภาวะแม่นี้เก่าแก่โบราณ
และด้วยความโบราณนี้เอง จึง “ไร้นาม” เพราะก่อกำเนิดก่อนอัตตาของมนุษย์

ผมจึงลงมือแต่ง “บทร่ำวิงวอนมารดาธรรมชาติผู้ไร้นาม” ใช้ภาษาง่ายๆ หลั่งไหลออกมาเองจากใจ พิธีกรรมมีเพียงนำคนไปรวมตัว ณ ที่ผืนดินผืนน้ำใกล้กัน แล้วอ่านบทร่ำวิงวอนนี้ด้วยความรู้สึกท่วมท้น ด้วยความปรารถนาจะ “เชื่อมต่อ” กับแม่ธรรมชาติอีกครั้ง ดุจมนุษย์ยุคบุพกาล เหมือนคนป่า ด้วยความรู้สึกเหมือนลูกผู้เดินทางไกลแล้วเพิ่งได้กลับมาบ้าน
พอแต่งจบ ผมมานั่งคิดว่า นี่กูกลายเป็นพ่อมดหมอผีไปละเหรอ นับวันยิ่งประหลาดพิสดาร หลุดจากโลกของความคิดไปสู่โลกแห่งสิ่งที่ไม่รู้เป็นครั้งคราว แต่เออ ก็สนุกดี เผื่อแก่ตัวไปจะบรรลุอะไรกับเขาบ้าง หรือได้ทำประโยชน์นิดๆ หน่อยๆ เช่น เป่าเสกแก่ผู้อื่นตามควรก็ยังดี
หวังว่าผู้อ่านจะไม่ถือสาที่ผมใช้พื้นที่นี้เล่าเรื่องบ้าๆ บอๆ ของตัวเอง ถ้าท่านเห็นดีด้วยผมก็ขออนุโมทนา ถ้าท่านขำ อย่างน้อยก็เป็นกุศลแก่ผมที่ได้สร้างความสำราญแก่ผู้ไม่รู้จัก
แม้บทภาวนาของผมไม่ได้ดีเด่อะไร ออกจะรู้สึกน่าอายด้วยซ้ำ แต่อยากจะขอนำบางส่วนของบทร่ำวิงวอนมารดาธรรมชาติผู้ไร้นามมาปิดท้ายบทความนี้ เพื่ออุทิศแด่มารดาทุกๆ คน รวมทั้งมารดาของนักกิจกรรมที่กำลังใช้ความรักต่อสู้กับความอยุติธรรมดำมืดในบ้านเมืองเราเวลานี้
และขอให้ความรักของแม่มีชัยต่ออำนาจเลวทรามและความอยุติธรรมตลอดไป!
บางส่วนของบทร่ำวิงวอนแด่มารดาธรรมชาติผู้ไร้นาม
“เราพากันฉีกทึ้งกระชาก ทำลายธรรมชาติอย่าบ้าคลั่ง ทุบตีมารดาผู้น่าสงสารที่ยังรักเราไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยความโกรธเกลียด เราเข่นฆ่าทำลายกันเอง ความอำมหิตจึงแผ่ซ่านไปทั่ว จิตมืดดำชั่วร้ายดั่งควันคลุ้งปิดคลุม มองไปทางใดก็ไม่อาจเห็นดวงหน้าของแม่ได้อีกเลย
โอ้มารดาที่รัก โปรดสื่อสารกับเราอีกครั้ง ให้ลูกได้เห็นรอยยิ้มของแม่ผ่านแมกไม้และสายธาร รับลูกผู้เหน็ดเหนื่อยคนนี้ไว้ในอ้อมกอด
ลูกจะขอแช่กายลงในมหาสมุทรน้ำนมของแม่
ลูกผู้หิวโหยขอดื่มกินอาหารจากผืนดินและสายน้ำของแม่
ลูกจะขอนอนทอดกายลงบนชายหาด ดุจนอนบนตักแม่
ลูกจะขอให้แม่ขับกล่อมด้วยสายลมอ่อนโยน
ให้แม่ชุบเลี้ยงด้วยพลังอบอุ่นของแสงแดด
เพื่อที่ลูกจะได้นำพรแห่งความรักจากแม่
กลับไปมอบให้เพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย”