เผยแพร่ |
---|
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระวโรกาสให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย นำผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าเฝ้า เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการ
วันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2567 เวลา 09.34 น. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลง ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประทานพระวโรกาสให้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นำ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย พร้อมด้วย คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 พร้อมคู่สมรส จำนวน 53 ราย เข้าเฝ้าเนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการ
การนี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระโอวาทใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า “ขออนุโมทนาสาธุการท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ได้มาเยี่ยมเยียนกันในวันนี้ ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสพิเศษที่จะได้แสดงมุทิตาจิตต่อความสำเร็จของการทำงานตามที่ท่านผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกษียณอายุราชการได้สร้างสรรค์มาด้วยดีตามระยะเวลาที่ปฏิบัติราชการที่ผ่านมา ก็เป็นที่น่าอนุโมทนาสาธุการ เหตุที่พูดอย่างนี้ ก็เพราะตั้งแต่มาจำวัดอยู่ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม อาตมภาพไม่เคยได้ยินข่าวร้ายของกระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้ วัตรปฏิบัติที่ได้รับการสั่งสอนจากครูบาอาจารย์เสมอมาจนเติบใหญ่ มีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “เป็นผู้น้อยคอยก้มพนมกร หนักไปก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ” ซึ่งได้ปฏิบัติมาจนเข้าใจคำสอนของครูบาอาจารย์ในทุกวันนี้”
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กราบทูลถวายรายงาน ความสำคัญตอนหนึ่งว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยโดยคณะผู้บริหารระดับสูงและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดล้วนตั้งใจสนองงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน ทำนุบำรุงประเทศชาติ พระพุทธศาสนา รวมถึงศาสนาอื่น ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของปวงชนชาวไทยอย่างเต็มสติกำลังความสามารถ”
นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของมหาเถรสมาคม ซึ่งมีเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นองค์ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ได้โปรดเมตตาให้ กระทรวงมหาดไทยได้สนองงานเข้าร่วมเป็นคณะผู้ร่วมปฏิบัติงานในคณะกรรมการต่าง ๆ ของมหาเถรสมาคม จำนวน 3 คณะ กล่าวคือ 1) โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ร่วมกับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของ วัดและบ้าน ตามหลัก 5 ส. 2) บทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ร่วมกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม และ 3) โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล 5 ขยายผลสู่ หมู่บ้านศีลธรรม” ร่วมกับสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร เพื่อรณรงค์ให้คนมีศีลธรรม ไม่ได้เพียงแค่ศาสนาพุทธ แต่รวมไปถึงศาสนาคริสต์ อิสลาม และทุกศาสนา
“นอกจากนี้ ตนและ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้รับพระเมตตาจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และคณะสงฆ์วัดราชบพิธ และวัดต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรเป็นอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้โปรดเมตตาแต่งตั้งตนเป็นไวยาวัจกรวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และมีพระเมตตาในการไหว้วานให้ความช่วยเหลือคณะสงฆ์ และที่สำคัญที่สุดมีพระเมตตาเอื้อเฟื้อให้ถวายการปรนนิบัติด้วยการปฏิบัติบูชาผ่านการปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย และปฏิบัติหน้าที่นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ตลอดระยะเวลา 3 ปีมาอย่างดียิ่ง และในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ ในนามปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 พร้อมคู่สมรส ขอรับประทานพรจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อความเป็นสิริมงคลสืบไป และขอปวารณาตัวรับใช้พระพุทธศาสนา รับใช้กิจกรรมของคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรไปตลอดกาลนาน” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้าย