เผยแพร่ |
---|
ปลัดมหาดไทยเปิดอบรมหลักสูตร MOI SMART Agent for CAST เน้นย้ำ “เวลาไม่ใช่ข้อจำกัดของการทำงาน” และการเป็น Smart Agent ต้องทำงานเป็นทีม แผ่รังสีความรักและปรารถนาดี สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับประชาชน
วันนี้ (5 มิ.ย. 66) เวลา 10:00 น. ที่ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครนายก จ.นครนายก นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาและเสริมสร้างบุคลากรกระทรวงมหาดไทยเพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้บริหารที่มีสมรรถนะสูง (MOI SMART Agent for CAST) และบรรยายพิเศษ “ทำไมต้อง CAST” โดยมี นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล อ.คณิต ธนูธรรมเจริญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และผู้เข้ารับการอบรม จำนวน 75 คน ซึ่งเป็นข้าราชการระดับชำนาญการพิเศษจากกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมรับฟัง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอบคุณข้าราชการผู้เข้ารับการอบรมทุกคนที่มาเป็นตัวแทนของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทั้งประเทศ เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรที่เรียกโดยย่อว่า “MOI SMART Agent for CAST” ซึ่งคำว่า SMART ในที่นี้นั้น คือ การที่พวกเราได้ไตร่ตรองและครุ่นคิดถึงกระบวนการทำงานว่าจะทำอย่างไรให้เป็นที่ถูกใจของพี่น้องประชาชน ทำให้อำนาจหน้าที่ (Function) ของแต่ละกรมประสบความสำเร็จไม่ใช่ทำพอเสร็จเฉพาะหน้า และต้องเป็นความสำเร็จที่ยั่งยืน ยังผลให้งานบำบัดทุกข์ บำรุงสุของค์รวม ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยการทำงานแบบมีประสิทธิผลนั้น คือ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เวลาและงบประมาณ” ส่วนการทำงานแบบมีประสิทธิภาพ คือ ทำงานให้ได้ประสิทธิผลดีในเวลาที่กำหนดหรือน้อยกว่าที่กำหนด ซึ่งเมื่อทำทั้งสองส่วนได้ผลดี จะทำให้เกิดประสิทธิผลมาก ประสิทธิภาพสูง จึงขอให้ทุกคนพึงระลึกเสมอว่า ต้องเป็นนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนแปลงของกระทรวงมหาดไทย หรือที่เรียกโดยย่อว่า CAST (Change Agent for Strategic Transformation) โดยนำความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้รับจากการฝึกอบรม ไปต่อยอด ขยายผล แก่เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดจนภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาพื้นที่ของท่านต่อไป
“ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกคนต้องทำงาน 24 ชั่วโมง แม้แต่คนที่จะเกษียณอายุราชการ ที่มักกล่าวกันว่าเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน แต่แท้จริงแล้ว เวลาราชการหมดเวลาที่ 24.00 น. ดังนั้น 30 กันยายน ข้าราชการยังไม่เกษียณอายุ ยังคงอยู่ในตำแหน่ง และจะเกษียณอายุราชการอย่างแท้จริงในเวลา 00.01 น. คือวันที่ 1 ตุลาคม แต่ทว่า กระบวนการสื่อสารมีนัยให้เห็นว่า ข้าราชการเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่รู้หน้าที่มากขึ้น เฉกเช่นเวลาทำงานของข้าราชการที่ยังเข้าใจว่า เวลาราชการสิ้นสุดที่ 16.30 น. พ้นจากนั้นไม่ใช่เวลาราชการ ซึ่งแท้จริงแล้ว คนมหาดไทยไม่เคยถูกปลูกฝังว่าให้ทำงานในเวลาราชการ เพราะเงินเดือนเขาไม่ได้หัก ถึงหักเราก็ไม่สามารถละเว้นหน้าที่ในการเป็นข้าราชการตลอด 24 ชั่วโมง เช่น เมื่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอได้รับรายงานจากผู้ใหญ่บ้านว่ากำลังจะมีการลักลอบขนยาเสพติดในเวลา 01.00 น. นายอำเภอและปลัดอำเภอก็ต้องลงพื้นที่สอดแนมตั้งแต่ 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม เพื่อปราบปรามจับกุม หรือแม้แต่ได้รับแจ้งว่าจะมีน้ำป่าไหลหลากอย่างรุนแรง ที่ต้องเผชิญสถานการณ์ตลอด 1 – 2 วัน ก็ต้องทำหน้าที่ ดังนั้น “เวลาไม่ใช่ข้อจำกัดของการเป็นข้าราชการที่ดี” แต่การเป็นข้าราชการที่ดีนั้น เราต้องมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มกำลัง ทำให้ภาคีเครือข่ายมีความเลื่อมใสศรัทธา เคารพนับถือนับหน้าถือตา ทำให้เราทำงานให้ประชาชนได้ผลดีด้วยความรักสนิทสนมทำให้ประชาชนทุกคนมีความสำคัญเหมือนญาติ ดังพุทธศาสนสุภาษิต “วิสฺสาสปรมา ญาตี : ความคุ้นเคย เป็นญาติอย่างยิ่ง”” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น
นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวต่ออีกว่า การฝึกอบรมในครั้งนี้จะทำให้เกิด Socialization ทำให้พวกเราได้ทำหน้าที่เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการหมั่นลงพื้นที่ไปหาประชาชน ไม่ใช่ทำงานเป็นมนุษย์ออฟฟิศ ดังที่สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานพระโอวาทว่า “ต้องรองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด” หมั่นไปเยี่ยม ไปตรวจ ไปติดตาม ไปหาข้อมูล และต้องเตือนใจอยู่เสมอว่า “งานเสร็จ ไม่ใช่งานสำเร็จ” และจะทำงานคนเดียว กลุ่มเดียว หน่วยเดียว กรมเดียวไม่ได้ โดยต้องมี “ทีม” และจะมีทีมแค่ข้าราชการในหน่วยเดียวกันไม่ได้ ต้องเป็นทีมจาก 7 ภาคีเครือข่าย คือ ภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน อันเป็นการน้อมนำหลักการทรงงาน “บวร” คือ บ้าน วัด (ทุกศาสนา) และราชการ ที่เป็นหลักในการสร้างสันติสุข สร้างความผาสุกให้กับสังคมไทย ดัง MOU โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ซึ่งได้รับเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ความร่วมแรงร่วมใจกันของวัด ชุมชน และภาคีเครือข่ายในท้องถิ่นด้วยอุดมการณ์ร่วมกัน คือ ศรัทธาปสาทะในบวรพระพุทธศาสนา และทำให้วัดเป็นสถานที่สัปปายะแก่ผู้เข้ามาพึ่งพาบำบัดทุกข์และเสริมสร้างความสุขทั้งแก่กายและใจ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาการ disruption ทางความคิด วิถีชีวิต และสังคม ของสังคมปัจจุบัน ด้วยการหนุนเสริมวัดและศาสนสถานให้เป็นแหล่งเรียนรู้สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เป็น “ครู คลัง ช่าง หมอ” รวมถึง MOU บทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม ที่มุ่งส่งเสริมความร่วมมือภาคีเครือข่ายและโครงการสาธารณสงเคราะห์เพื่อสังคมที่ยั่งยืน ตามหลักการสงเคราะห์ เกื้อกูล พัฒนา และบูรณาการ และ MOU การพัฒนาจังหวัดที่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมเชิงพื้นที่กับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เพื่อมุ่งวางแนวทางพัฒนาให้มีจุดเน้น ลดความเหลื่อมล้ำของการเติบโตในแต่ละพื้นที่ เป็นการประสานความร่วมมือภาคีเครือข่ายภาควิชาการและกระทรวงมหาดไทยอย่างไร้รอยต่อ
“ปัจจุบันเราอยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง แต่ทว่าเป็นโชคดีของคนไทยทุกคนที่เมื่อปี พ.ศ. 2547 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทาน ส.ค.ส. ให้แก่ประชาชนไทย มีภาพแผนที่ประเทศไทยที่รอบ ๆ มีระเบิดอยู่ 4 ลูก มีความหมายว่าประเทศไทยอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงของภัยพิบัติธรรมชาติ โรคระบาด วิกฤตเศรษฐกิจ และสงคราม และใน ส.ค.ส. พระราชทาน ได้เขียนตัวอักษรบนแผนที่ประเทศไทย “สามัคคีเป็นพลัง ค้ำจุนแผ่นดินไทย” และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานพระราชเสาวนีย์และแนวพระราชดำริเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาทักษะอาชีพของสตรีไทยและประชาชนชาวไทย ซึ่งนับเป็นความโชคดีของพวกเราที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานอันแรงกล้าดังพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” และพระบรมราชโองการ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานโครงการพระราชดำริที่ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด เช่น พระราชดำริการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร เป็นต้น และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานโครงการพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” และ “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” ดังนั้น เมื่อเราทุกคนมาเป็นข้าราชการแล้วต้องมีอุดมการณ์อยากเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มุ่งทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน ทำงานสนองพระเดชพระคุณ โน้มตัวลงหาประชาชนดังเครื่องแบบสีกากีที่เป็นสีของดิน มีครุฑที่หมวก และเข็มขัด มีราชสีห์ที่คอ อันเป็นเครื่องหมายที่ว่า ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยต้องเป็นผู้นำในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน ต้องรองรับความทุกข์ยาก เพิ่มพูนความสุขให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน และต้องป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาใหม่อย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอยู่ที่ “คน” โดย คนมหาดไทยทุกคนต้องมีทัศนคติที่ดี มองโลกในแง่ดี ดึงเอาพลังจิต พลังใจ Passion และ Attitude ของตนเองที่อยากบำบัดทุกข์ บำรุงสุข มาผนวกกับ Knowledge และ Ability เพื่อให้เกิดพลังการทำงาน ซึ่งเมื่อเราทำได้แล้ว รังสีความปรารถนาดี ความเมตตา ความกรุณา ความปรารถนาดีที่อยากให้ประเทศชาติมีความมั่นคง อยากให้พี่น้องประชาชนมีความสุขมันจะแผ่ออกมาส่งผลไปถึงคนรอบข้างให้เขารู้สึกว่า “ข้าราชการคนนี้ดี” ซึ่งรังสีจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากจิตใจของเรา และ Passion อันแรงกล้ามารวมกันทำให้เรามีกำลังใจในการ Change for Good ให้สำนักงาน ครอบครัว และชุมชน ดังประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืนกับสหประชาชาติประจำประเทศไทย ที่มุ่งทำให้ประเทศไทยได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs ทั้ง 17 ข้อ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่องค์การสหประชาชาติได้น้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สะท้อนผ่าน 4,741 โครงการ มาเป็นหลักการสากลโลก พร้อมทั้งได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์” (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) ของโครงการพัฒนาแห่งองค์การสหประชาชาติ” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า คนมหาดไทยต้องไม่ทำงานแบบเลขคณิต แต่ต้องทำงานแบบเรขาคณิต ด้วยการทำงานแบบบูรณาการและไม่ว่าสังกัดกรมไหน ต้องหมั่นลงพื้นที่ “ทำให้รองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด” ด้วยการหมั่นไปเยี่ยม ไปตรวจ ไปติดตาม ไปหาข้อมูล ไปประมวลรวบรวมทุกข์ยากของชาวบ้านว่ามีเรื่องอะไรบ้าง แล้วนำหลักอริยสัจ 4 มาคิดใคร่ครวญเพื่อหาหนทางให้ทุกข์นั้นหมดไป และต้องเตือนใจพวกเราอยู่เสมอว่า “งานเสร็จ ไม่ใช่งานสำเร็จ” ความสุขก็จะเกิดขึ้น “แต่ต้องอย่าทำคนเดียว” ด้วยกระบวนการร่วมคิด ร่วมพูดคุยปรึกษาหารือ ร่วมลงมือทำ ร่วมรับประโยชน์อย่างเป็นประจำต่อเนื่อง ตามหลักการทรงงานที่พระราชทานผ่านโครงการพระราชดำริ 4,741 โครงการ ดั่งคำว่า มหาดไทย ที่มาจากการสมาสคำว่า มหทย รวมถึง “สีดำ” ที่เป็นสีประจำกระทรวง สะท้อนความหมาย คือ ผู้มีหัวใจที่มีความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อพี่น้องประชาชนที่ยิ่งใหญ่ “ความรักที่ยิ่งใหญ่คือความรักที่มีต่อพี่น้องประชาชน” ด้วยการเสริมสร้างความรับรู้เข้าใจ ทำให้สังคมได้รู้ว่า ทุกงานของมหาดไทยประโยชน์สูงสุดเพื่อประชาชน
“เราทุกคนต้องสร้างทีมที่มีใจ มีความรู้ มีแรงปรารถนา อยากขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้น ด้วยการช่วยกันสร้างความรัก ความศรัทธา ด้วยรังสีความดี ที่แผ่ไปรอบข้างแล้วดึงดูดเอาผู้คนจาก 7 ภาคีเครือข่ายมารวมตัวกันเป็นทีม โดยทีมนี้จะร่วมกันคิด ร่วมพูดคุยปรึกษาหารือ ร่วมทำ ร่วมรับประโยชน์ อย่างต่อเนื่อง ไม่ทำแบบไฟไหม้ฟาง ลงไปสร้างทีมทุกระดับ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ให้มีความยั่งยืน ด้วยการไปทำให้เขารัก กระตุ้นปลุกเร้าและยุยงให้พี่น้องประชาชนรวมกลุ่มเป็นคุ้มบ้าน หย่อมบ้าน ป๊อกบ้าน กลุ่มบ้าน ด้วยการมุ่งเป้าพัฒนาที่คน เพื่อให้คนพัฒนาพื้นที่ พัฒนาชุมชน พัฒนาหมู่บ้าน ช่วยกันดูแลรักษาความปลอดภัย มีความรักสามัคคี เสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม บริหารจัดการขยะ จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ทำให้ลูกหลานได้รับการศึกษาทั้ง “พลศึกษา” ด้วยการบ่มเพาะทักษะการใช้ชีวิต รู้จักหุงข้าว ล้างจาน ทำกับข้าว เข้าวัด รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ควบคู่กับ “ปัญญาศึกษา” คือการศึกษาตามระบบ ตามหลักสูตรการศึกษา ทำให้คนในชุมชนมีการสืบสานศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี อันจะทำให้ทุกหมู่บ้านเป็น “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย