เผยแพร่ |
---|
เปิดใจ ปลัด ปมท. โครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก พลิกชีวิตชาวบ้าน สร้างความมั่นคงเศรษฐกิจฐานราก ย้ำอัตลักษณ์ที่หลายประเทศทั่วโลกไม่มี
“คนไทยเราโชคดี ที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงพระราชทานแนวทางช่วยชาวบ้านอย่างใกล้ชิดเกาะติด และทรงมีพระราชวินิจฉัย เรื่องผ้าไทยที่ทำให้เราหลุดจากกรอบเดิมๆ จนเกิดโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุกขึ้น” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ย้ำถึงโครงการสำคัญที่ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ และทำให้ประชาชนมีอาชีพมั่นคง และรอดพ้นจากวิกฤตที่ผ่านมาได้
ปลัด มท. เผยว่า กระทรวงมหาดไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการรวมกลุ่มประกอบอาชีพ ที่จะช่วยชาวบ้าน-ประชาชนอยู่ได้อย่างมั่นคง และเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแกร่ง ที่ผ่านมากรมการพัฒนาชุมชนได้เข้ามาดูในจุดนี้ ทั้งผลิตภัณฑ์ ข้าวของเครื่องใช้ การแปรรูป ตลอดจนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของผ้าไทยที่ผมบอกว่าคนไทยโชคดี ที่พระองค์หญิงทรงลงมาช่วยชาวบ้าน เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำคือเรื่องของผู้ผลิตพี่น้องเกษตรกรมีเวลาว่าง ทอผ้าใช้เอง ซึ่งพระองค์ท่านนำสิ่งที่ขาดหายไปกลับคืนมาสู่สังคมให้ชาวบ้าน คือการให้พึ่งพาตนเองด้วยการปลูกฝ้ายปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและใช้สีจากธรรมชาติ ที่ไม่ได้ไปเอามาจากธรรมชาติหรือจากป่าแต่ต้องรู้จักปลูกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าคนทอผ้าเก่งจะต้องปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเอง แต่หมายความว่าให้คนในหมู่บ้านในตำบลในจังหวัดต่างๆ ที่เก่งที่มีความสามารถไม่เหมือนกันต่างไปช่วยกันทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันในชุมชนในพื้นที่ ดังนั้นคนที่เก่งเรื่องสีย้อม อาจจะทำสีได้ดี เช่นที่ จ.สกลนคร เขาทำสีครามบรรจุใส่กระป๋องใส่ถุงส่งขายออกมา มีทั้งในรูปแบบของครามผงและครามเปียก ซึ่งการใช้สีธรรมชาติสะท้อนถึง “ความยั่งยืน” สิ่งเหล่านี้เราได้ทำตั้งแต่ต้นน้ำและส่งผ่านต่อจากรุ่นสู่รุ่น
นอกจากนี้ในเรื่องของ know How ที่เป็นเรื่องของแฟชั่นจากสากล จากฝั่งตะวันตก จากยุโรปต้องยอมรับว่าเขามีความก้าวหน้าเป็นวิทยาการ พระองค์ท่านทรงนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับชาวบ้านได้รู้และเข้าใจว่าการออกแบบลวดลายต่างๆ มีความผสมผสานอยู่ในผ้าผืนเดียวกัน และสีจากที่เคยเป็นสีเดียว แต่พระองค์ท่านได้ทรงพระราชทานคำแนะนำเรื่องสีให้ชาวบ้านได้รู้จักว่าเฉดสีต่างๆมีอยู่มากมาย เช่น สีน้ำเงินมีมากกว่า 20 เฉด สีแดงก็มีอยู่หลายเฉด ยิ่งถ้าเอา 2 สีมาผสมกันก็จะมีอีกมากมายหลายสี ตรงนี้เรามีบทเรียนและมีความสำเร็จที่ทำไปในหมู่บ้านนำร่อง เช่นที่บ้านดอนกลอย อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนครที่กำลังจะกลายเป็น “ดอนกลอยโมเดล” หรือที่นาหว้า จังหวัดนครพนม ก็กำลังจะเป็นนาวาโมเดล คือในแง่ของแนวความคิดหลักสามารถจะนำมาพัฒนาต่อยอดในการทำงานของงานที่เกี่ยวพันกับการทำมาหากินของพี่น้องประชาชนได้ในทุกเรื่อง
ในส่วนของ “กลางน้ำ”การแปรรูปการตัดเย็บ การทำในเรื่องออกแบบลวดลาย จากโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุกได้ให้ข้อคิดว่าผ้าไทยสามารถนำมาตัดเย็บ ให้เข้ากับคนทุกเพศทุกวัยในทุกโอกาสได้ แต่คนที่จะทำได้ก็ต้องมีการทำความเข้าใจกับรสนิยมของคนแต่ละช่วงวัยที่ชอบไม่เหมือนกัน บางคนชอบแบบคลาสสิคบางคนชอบแบบหวือหวา บางคนชอบรอยขาดรอยปะมีลูกเล่นต่างๆ ซึ่งผ้าไทยสามารถประยุกต์ใช้ได้หมด หรือในโอกาสที่ควรจะไปเที่ยวทะเล ผ้าไทยก็รองรับได้เพียงแต่ว่าเราต้องพัฒนาคน ให้เข้าใจและให้คนเข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่ดอนกลอย ในโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและคู่สมรส ท่านได้มาโชว์แฟชั่นผ้าไทยว่าตอบโจทย์ว่าผ้าไทยใส่ให้สนุกได้อย่างไร ซึ่งจะมีการพิมพ์เป็นเล่มเพื่อจารึกประวัติศาสตร์ว่าพวกเราได้ช่วยกันผลักดันขับเคลื่อนโครงการนี้ พวกเราปฏิบัติจริงใส่กันจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ได้เพียงแต่พูด แล้วก็จะมีการขับเคลื่อนต่อไปว่าโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุกนั้นสนุกจริงๆ ใช้ได้ทุกโอกาส
ส่วนปลายน้ำเราได้น้อมนำเอามติของคณะรัฐมนตรี เมื่อ 2 ปีที่แล้วมาขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ ในการช่วยกันรณรงค์เผยแพร่ให้คนมาสวมใส่ผ้าไทย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วันเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นเพราะว่าจะต้องทำให้ทัศนคติ ของผู้คนในสังคมเล็งเห็นความสำคัญ ของผ้าไทยและสวมใส่กันในชีวิตประจำวัน และ ความสำคัญของผ้าไทยที่ชัดเจนที่สุดมีอยู่ 3 ประการ 1. คือการสร้างความมั่นคงทางด้านเครื่องนุ่งห่มให้กับประเทศ ซึ่งตรงกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พิสูจน์มาแล้วว่ายามที่เกิดวิกฤตโควิด 19 เราได้เห็นชัดเจนว่าเครื่องจักรจากเมืองจีน ฝ้ายจากตะวันตก หรือจากอินเดียเส้นใยต่างๆจากประเทศอื่น ไม่สามารถขนส่งมาที่บ้านเราได้ คนก็เดินทางมาไม่ได้ ถ้าสมมุติเกิดเหตุการณ์อย่างสงครามยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งอาจจะมีอะไรอีกก็ได้หรืออนาคตอาจจะมีโรคระบาดขึ้นมาอีก ถ้าพวกเราทำอะไรเองไม่ได้เลย รอพึ่งพาแต่ต่างชาติแม้กระทั่งเครื่องจักร เส้นใย หรือ สีก็ต้องซื้อจากต่างประเทศ ปัญหาคือถ้าเกิดวิกฤตแบบนั้น เราจะทำอย่างไรถึงจะอยู่รอด และมีเสื้อผ้าใส่ได้ตลอด คำตอบคือเราต้องทำเองเป็น แล้วก็ต้องมีวัตถุดิบเองผลิตเองได้ เราต้องมีคนทอผ้าเป็นเพราะฉะนั้นถ้าพวกเราสวมใส่ผ้าไทยจะทำให้เราช่วยทำให้ผู้คนผลิตผ้าผลิตผ้าทอผ้าอยู่ได้ ถ้าเราไม่ช่วยกันสวมใส่ จะไม่เกิดการเลี้ยงชีพคนจำนวนมากได้การที่มีคนซื้อมีการทอมีอุตสาหกรรมมีคนในหมู่บ้านช่วยกันทั้งวงจร ได้เห็นแล้วว่าพอทอผ้าแล้วขายได้มีรายได้เขาก็อยากปลูกฝ้ายปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอยากจะทอผ้าด้วยตัวเอง ดังนั้นระยะยาวคือเรื่องของความยั่งยืนด้านเครื่องนุ่งห่มจะมีได้ ถ้าเราช่วยกันสวมใส่เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันรณรงค์ ทำให้คนในสังคมได้ช่วยกันเข้าใจ
ประการต่อมาคือการทำให้เงินของเราหมุนเวียนอยู่ในชาติไม่กระเด็นออกไปนอกประเทศ เศรษฐกิจฐานรากก็จะมั่นคงเงินทองไม่รั่วไหล เงินที่เราจ่ายไปทุกบาททุกสตางค์มันกลับไปสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยด้วยกันในชนบท ซึ่งถ้าดู supply chain มีมากกว่า 100 ครอบครัว ยังไม่รวมถึงคนที่ทำอาชีพขนส่งของ ช่างตัดเย็บ คนปลูกหม่อนเลี้ยงไหม คนทำสีเคมีย้อมสี คนได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มีจำนวนมาก เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบ ทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นมากมาย เราจะต้องสื่อสารให้ผู้คนเข้าใจทั่วโลก
ประโยชน์สุดท้ายซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ คือการรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทยเหมือนกับภาษาไทย ถ้าพูดภาษาไทยคือสะท้อนความเป็นคนไทย เสื้อผ้าที่มีอัตลักษณ์ของความเป็นไทย ก็จะทำหน้าที่ตรงนี้ในการแสดงอัตลักษณ์ ซึ่งต้องยอมรับว่าทั่วโลกมีน้อยที่จะมีอัตลักษณ์แบบนี้ มีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีผ้าเป็นของตัวเอง นอกนั้นก็เป็นเครื่องจักร มีแบรนด์ต่างๆมากมายแต่รายละเอียดอัตลักษณ์เอกลักษณ์ของเสื้อผ้าเหมือนกันหมด ดังนั้นเรื่องของการตกทอด ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สืบทอดต่อกันมาในใส่ผ้าไหมกันใส่ผ้าฝ้ายผ้าไทย มีอัตลักษณ์ชัดเจนว่าเป็นของพื้นที่ไหน
ที่สำคัญผ้าไทยในสมัยนี้ จากการที่พระองค์หญิงท่านทรงส่งไปสอนแนะนำชาวบ้าน จนปัจจุบันสามารถนำมาผลิตเป็นกางเกงยีนส์ก็ได้ สามารถทำเป็นเสื้อแจ็คเก็ตหนาๆ ตัดเป็นสูทก็ได้ โดยที่รับรองว่าดีไซน์ไม่แพ้ที่ไหนในโลก ผมมีโอกาสได้คุยกับผู้คนมากมาย เขาก็สะท้อนกลับมาว่า ได้ลองซื้อผ้าไทยมาใส่ หลังจากที่ผมได้เชิญชวน บอกว่าการใส่ผ้าไทยแล้วได้ช่วยชาวบ้านช่วยเศรษฐกิจฐานรากอย่างไรบ้าง ทำให้เกิดความมั่นคงและสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง เพราะใช้แต่วัสดุธรรมชาติ จากคนที่ซื้อมาใส่แค่ตัวเดียว แต่พอใส่ไปเล่นดนตรีไปออกงาน คนก็ชอบคนถามหา ติดใจซื้อเพิ่ม นี่คือความหมายที่สำคัญของโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุกที่สามารถใส่ได้ในทุกโอกาส เรื่องนี้ถือว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำเพื่อให้พี่น้องประชาชน สามารถพึ่งพาตัวเองได้และสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติของเรา