เผยแพร่ |
---|
หลังจากกระทรวงสาธารณสุข ประกาศปลดล็อกกัญชา-กัญชง พ้นจากยาเสพติดประเภท 5 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา ยกเว้นกรณีที่มีสาร THC สูงเกินร้อยละ 0.2 จะนับเป็นยาเสพติดผิดกฎหมายทันที รวมถึงผู้ถือครองกัญชา-กัญชง ต้องมีการจดแจ้งตามกฎหมาย โดยวัตถุประสงค์ของการปลดล็อกเพื่อเน้นประโยชน์ทางการแพทย์ การวิจัยและเศรษฐกิจ ภายใต้มาตรการควบคุมการใช้ผ่านร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง ที่ยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรนั้นก็กลายเป็นประเด็นร้อนที่ประชาชนชาวไทยให้ความสนใจอย่างมากในทุกวันนี้ รวมถึงประเทศอาเซียนใกล้เคียง และประเทศโซนอื่นๆ ต่างก็พุ่งสายตามายังประเทศไทยที่นับเป็นประเทศแรกในเอเชียที่เปิดเสรีกัญชา-กัญชง
แต่!! ใช่ว่ารัฐบาลปลดล็อกเสรีกัญชงแล้ว จะเป็นใครก็ได้ที่ปลูกธุรกิจกัญชงให้เติบโตได้ เพราะเรื่องจริงต้องอาศัยปุ๋ยชั้นดีอย่างคลังความรู้ งานวิจัย นวัตกรรม และการมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรงในเรื่องกัญชงมาร่วมกันรดน้ำ – หว่านปุ๋ยให้เหมาะกับบริบทความต้องการในประเทศ ดังนั้น เพื่อให้คนไทยได้รู้จักกับแนวทางสำคัญที่จะทำให้กัญชงเติบโตได้อย่างสดใสมากขึ้น วันนี้ จึงขอพาไปรู้จัก บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด หรือ “ไทยลีฟ (Thai Leaf)” ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการผลิต และสกัดสาร CBD จากกัญชงอย่างครบวงจร ที่จะมาเปิดถึง 5 เรื่องสำคัญที่จะสร้างแต้มต่อให้กัญชงไทยขึ้นแท่นเป็นผู้นำ และสร้างรายได้ในฐานะที่เป็นประเทศเกษตรกรรมและการแพทย์ชั้นนำของโลก
1. กัญชงพันธุ์ไทยให้คุณภาพสูง แต้มต่อแรกก่อนแข่งพัฒนาโปรดักส์
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีศักยภาพ เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ทำอาชีพด้านนี้ และมีทำเลที่เอื้อต่อการเพาะปลูก จึงทำให้ไทยมี 5 พืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ ได้แก่ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย และมันสำปะหลัง สำหรับสร้างรายได้เข้าประเทศ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ชื่อของ ‘กัญชง’ ติดโผเป็นรายชื่อพืชเศรษฐกิจน้องใหม่ที่มาแรงและมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต ซึ่งรัฐบาลไทยก็ประกาศให้ภาครัฐ-เอกชนร่วมศึกษาอย่างจริงจังควบคู่กับกัญชาตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา เพราะเป็นพืชที่มีประโยชน์ทุกส่วน ตั้งแต่ช่อดอก ใบ เปลือก ลำต้น กิ่งก้าน ราก มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวด การอักเสบ คลายเครียด และการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ ‘สารสกัด CBD จากกัญชง’ ที่ได้จากช่อดอกก็สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยา ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชนได้ เห็นได้จากเคสต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรีย มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารสกัด CBD จากกัญชงออกจำหน่ายแล้ว ซึ่งมีสรรพคุณสามารถรักษาโรคต่างๆ มากมาย
แต่อย่างไรก็ตาม กัญชงที่ปลูกในประเทศไทยในปัจจุบัน ให้สารสกัด CBD จากกัญชง ที่มีค่าต่ำ จึงนำไปใช้ประโยชน์ในลักษณะเพียงเส้นใยสำหรับทำเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ ไม่สามารถขยายไปใช้ในทางการแพทย์ หรือพัฒนาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้ จึงเป็นที่น่าเสียดาย และหากนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงจากต่างประเทศ ก็ประสบปัญหาเรื่องต้นทุน ค่าใช้จ่ายแพง รวมทั้งทำให้เกษตรกรเข้าถึงการเพาะปลูกกัญชงลำบาก ทั้งนี้ ด้วยสาเหตุดังกล่าว ก็ทำให้ ไทยลีฟ (Thai Leaf) ตั้งเป้าดันประเทศไทย สู่ “ฮับกัญชง” เร่งดำเนินการผลิตเมล็ดพันธุ์กัญชงสัญชาติไทยเจ้าแรกในประเทศ แต่คุณภาพดีเทียบเท่ามาตรฐานสากล เพื่อแก้เกมเรื่องต้นทุนแพงและช่วยเหลือเกษตรกรไทยผ่านการจำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้ โดยปัจจุบันไทยลีฟอยู่ระหว่างการวิจัยเมล็ดพันธุ์กัญชงร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญกัญชงโดยเฉพาะอย่าง มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และจะเริ่มทดลองปลูกที่โรงงานไทยลีฟ จ.นครนายก ประเทศไทยในปี 2566
2. ชุดความรู้กัญชง – คอมมูนิตี้สร้างความเข้าใจ สู่ความแข็งแกร่งทั้งระบบ
เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมกัญชงไทยให้ไปไกล พื้นฐานของ ‘ชุดความรู้กัญชง’ ตั้งแต่การศึกษางานวิจัย การปลูกพืชตระกูล Hemp การเพาะ การสกัดให้ได้สาร CBD จากกัญชง คุณประโยชน์ โทษ เรื่องต้องห้าม เป็นเรื่องสำคัญมาก ทั้งต่อฝั่งผู้ประกอบการ เกษตรกร และผู้บริโภค เพราะกัญชงเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับประเทศไทย จึงจำเป็นที่จะต้องเติมชุดความรู้เหล่านี้ให้ทั้งห่วงโซ่ได้ทราบทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้ทุกคนมีส่วนยกระดับศักยภาพได้ด้วยกัน ซึ่งหากทำได้ต่อเนื่องก็จะก้าวไปข้างหน้าได้เร็วและแข็งแรง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีสมาคมสหอุตสาหกรรมพืชกัญชงและกัญชา [HCIA] สำหรับเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลกัญชงไทยแล้ว ขณะที่ ไทยลีฟ ก็มีการทำงานร่วมกับนักวิชาการระดับประเทศ ซึ่งมีผลงานวิจัยเกี่ยวกับกัญชง-กัญชาหลายฉบับที่ยุโรป นอกจากนี้ไทยลีฟยังร่วมงานวิจัยกัญชงกับพาร์ทเนอร์ต่างประเทศ และมีแผนจะกระจายความรู้ การใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสู่เกษตรกรไทยด้วย
3. วิสัยทัศน์ชัดเจน แต้มต่อสร้างความเชื่อมั่น – ปั้นธุรกิจได้แบบไม่หลงทาง
ปัจจุบันตลาดกัญชงได้รับความสนใจจาก ผู้ประกอบการ นักลงทุน บริษัท ร้านค้า วิสาหกิจชุมชน ประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าผู้ที่จะเข้ามาทำธุรกิจกัญชง หากขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนย่อมเหมือนเดินวนจุดเดิม ซึ่งการทำธุรกิจกัญชงเสมือนการทำเกษตรกรรมอย่างหนึ่ง ต้องรู้ลึก รู้จริงถึงเมล็ดพันธุ์กัญชงที่จะปลูก รู้วิธีการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้ได้สารสกัด CBD ที่มีค่าสูง รู้การเตรียมโรงงาน โรงสกัด ตลอดจนการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์กัญชงในเชิงพาณิชย์ ขณะเดียวกันข้อกำหนดกฎหมายต่างๆ ก็ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังนั้นการจะสร้างแต้มต่อให้อุตสาหกรรมกัญชงไทยขึ้นแท่นเป็นผู้นำในอาเซียน และขยายสู่ตลาดโลกได้ ผู้บริหารธุรกิจกัญชงไทยต้องเป็นผู้นำที่ดีด้วย คือต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและมองภาพอนาคตอย่างก้าวไกล ต้องตอบให้ได้ว่า ธุรกิจกัญชงตนเองดำเนินธุรกิจเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือเพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัย มีแผนการผลิต แผนการใช้ประโยชน์อย่างไร กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร มีแผนที่แสดงที่ตั้งสถานที่ปลูกและเส้นทางการเข้าถึงหรือไม่ มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือสิทธิครอบครองหรือไม่ มีแบบแปลนอาคารโรงเรือนและภาพถ่ายแสดงให้ดูหรือไม่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะประกอบการขออนุญาตทำธุรกิจกัญชง ดังนั้นจึงเป็นเครื่องหมายยืนยันว่า ทำไมผู้ทำธุรกิจกัญชงจึงต้องมีวิสัยทัศน์ชัดเจน
สำหรับ ไทยลีฟ บริหารโดย นายยิ่งยศ จารุบุษปายน และนายเฉลิม เทร็ลล์ ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการผลิต และสกัดสาร CBD จากกัญชงอย่างครบวงจร ยึดมั่นวิสัยทัศน์ “ซื่อสัตย์ มั่นคง ตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง” ตั้งแต่วันแรกของการเปิดธุรกิจ ซึ่งวางแผนการทำผลิตภัณฑเพื่ออุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ที่มีคุณภาพ ดีที่สุด รวมถึงราคาย่อมเยาว์ที่ผู้บริโภคจะสามารถเข้าถึงได้ รวมถึงนำองค์ความรู้และเครื่องมือทางเทคโนโลยีของทีมผู้เชี่ยวชาญไทยลีฟ ส่งต่อชุมชน สังคม และประเทศที่นอกเหนือจากประโยชน์ทางธุรกิจโดยไม่ก่อโทษแก่ผู้อื่น
4. ผลิตผลิตภัณฑ์เฮลธ์แคร์ ตอกย้ำประเทศแห่ง Medical Hub
สารสกัด CBD จากกัญชง กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในทั่วโลกสำหรับนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านเฮลท์แคร์ที่จะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารเสริม ยา อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพได้ เพราะเป็นสารสกัดที่ไม่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ไม่ทำให้มึนเมา มีประโยชน์ทางการแพทย์ในการช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย ช่วยรักษาโรค เช่น โรคเครียด โรคนอนไม่หลับ พาร์กินสัน หรือแม้แต่ช่วยรักษาสิวอักเสบ บำรุงผิวแห้ง ซึ่งในประเทศไทย ไทยลีฟ อยู่ระหว่างดำเนินการปรับสูตรกัญชงเพื่อเตรียมผลิตผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มอาหารเสริม กลุ่มเวชสำอาง ออกจำหน่ายในช่วงต้นปี 2566 รวมถึงมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มยา รองรับสังคมผู้สูงวัยในประเทศไทย ซึ่งความได้เปรียบของไทยลีฟในการเป็นบริษัทที่มีภูมิหลังทางเภสัชกรรม การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ภายใต้การควบคุมดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ที่จะผสมสูตร CBD กับส่วนผสมต่างๆ สู่การทำผลิตภัณฑ์กัญชงคุณภาพหลากหลาย รวมถึงเป็นบริษัทกัญชงที่ทำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ก็คาดว่าจะเป็นผู้นำในการเปิดแต้มต่อในประเทศ สู่การขยายไปยังอาเซียนและทั่วโลกได้
ทั้งนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัด CBD จากกัญชง ให้เกิดเป็นรูปธรรมใช้ได้จริง จะเป็นการตอกย้ำเมืองไทยในฐานะ Medical Hub อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนแผนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รองรับการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากมีการเปิดประเทศแล้วหลังจากประเทศได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามประกาศของบอร์ด Medical Hub เมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ล่าสุดได้อนุมัติให้ไทยเป็น Thailand Wellness Economic Corridor (TWC) ให้กับกลุ่ม Medical and Wellness Tourism ใน 12 สาขาเศรษฐกิจเวลเนสเป้าหมาย
5. ที่แรกในอาเซียน รู้เร็ว โตได้เร็ว ถึงเส้นชัยได้ก่อนใคร
จากการที่ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียน ปลดล็อกกัญชา-กัญชง และผลักดันกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ก็ทำให้ประเทศใกล้เคียงแถบอาเซียน รวมถึงประเทศโซนอื่นๆ ต่างให้ความสนใจมายังประเทศไทยเป็นพิเศษ ทั้งในแง่การลงทุน การเป็นประเทศต้นแบบด้านการปลูก การเพาะ การสกัด และการทำผลิตภัณฑ์ เพื่อนำไปพัฒนากัญชงภายในประเทศตนเอง ซึ่งปัจจุบันมีหลายองค์กรในไทย รวมถึง ไทยลีฟ นำกัญชงมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในแผนธุรกิจแล้ว ดังนั้นเพื่อสร้างแต้มต่อให้ไทยก้าวสู่ผู้นำอุตสาหกรรมกัญชงไทยหลังจากประกาศปลดล็อก อาจไม่ใช่เพียงอาศัยแค่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน ตั้งแต่การร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง เพื่อให้ได้ข้อกำหนดกฏเกณฑ์ที่ชัดเจนสู่การประกาศใช้อย่างสมบูรณ์รวดเร็วที่สุด เพราะเมื่อด่านแรกสำเร็จแล้ว ด้านอื่นๆ จะตามพัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี สร้างโอกาสจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต ที่จะมาช่วยผู้ประกอบการ เกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชงที่ยั่งยืน ด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ผ่านการจัดกิจกรรมการให้ทุนหรือส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาสารสกัด CBD จากกัญชง เป็นต้น ด้านการเป็นศูนย์กัญชงในอาเซียน เนื่องจากเมืองไทยเริ่มปลูกกัญชงมาแล้ว 1 ปีกว่า ก้าวนำประเทศอื่นๆ ในแถบอาเซียนแล้ว จึงมีโอกาสเป็นผู้นำกัญชงครบวงจรได้ ไม่ว่าจะในฐานะผู้ปลูก ผู้สกัด หรือผู้พัฒนา รวมทั้งการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กัญชงแบรนด์ไทย และเป็นศูนย์ผลิต OEM ให้แก่แบรนด์ต่างชาติด้วย
สำหรับสื่อมวลชนที่สนใจสอบถามข้อมูลหรือรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่อีเมล [email protected]