เจาะลึก 6 เส้นทางความยั่งยืนของอุทยานมิตรผลด่านช้าง  พิชิตเป้าหมายสู่โมเดลโรงงานต้นแบบด้าน Carbon Neutrality แห่งแรก สร้างเมืองคาร์บอนต่ำร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและจังหวัดสุพรรณบุรี

เมื่อพูดถึงความยั่งยืน หรือการใส่ใจสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน การมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) มักถูกพูดถึงและปักธงเป็นเป้าหมายสำคัญที่หลายองค์กรในแวดวงอุตสากรรมทั่วโลกต่างเดินหน้าร่วมมือกันพิชิต เพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)  ที่เกิดจากอุณหภูมิบนพื้นผิวโลกสูงขึ้น และอาจทำให้โลกเข้าสู่จุดวิกฤติหากยังไม่เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง โดยประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายร่วมกับนานาประเทศในเวทีการประชุม COP26 ที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050* และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2065* พร้อมนำพาประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนในอนาคต

Carbon Neutrality VS Net Zero

ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือที่นิยมเรียกว่า Carbon Neutrality คือ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ ผ่านการลดการปลดปล่อยตั้งแต่ต้นทางของการดำเนินธุรกิจ เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีความยั่งยืนและใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เพิ่มแหล่งเก็บกักคาร์บอนด้วยการปลูกต้นไม้ หรือใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และซื้อคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) มาชดเชยในส่วนที่ไม่สามารถลดการปล่อยได้ ในขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero) เป็นเหมือนความท้าทายขั้นกว่า ที่องค์กรต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตลอดห่วงโซ่การดำเนินธุรกิจ โดยไม่สามารถนำคาร์บอนเครดิตมาชดเชยแทนได้ ซึ่งสองระยะเป้าหมายนี้ จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญที่หลาย ๆ องค์กรในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกต่างร่วมกันปรับตัวเพื่อสะท้อนความรับผิดชอบ และความตั้งใจในการดูแลโลกของเราให้ดีขึ้น

เส้นทางความยั่งยืนของมิตรผล

เช่นเดียวกับกลุ่มมิตรผล ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนในแวดวงเกษตรอุตสาหกรรมของประเทศไทย พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมนำพาประเทศไทยก้าวสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ด้วยการต่อยอดแนวคิด “เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า หรือ From Waste to Value Creation ด้วยการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างมีคุณค่าโดยไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้ามุ่งสู่องค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2030* และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050* สอดรับแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับประเทศ ผ่านแผนการดำเนินงานเพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างครอบคลุมในทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่สั่งสมมาโดยตลอด นอกจากนั้น ยังผลักดันให้ อุทยานมิตรผลด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ก้าวสู่การเป็นโมเดลโรงงานต้นแบบที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2023 ภายใต้โครงการ “สุพรรณบุรี Carbon Neutrality Modelผ่าน 6 แนวทางการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

คุณบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ปลูกต้นไม้

เจาะลึกเบื้องหลังเส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของอุทยานมิตรผลด่านช้าง

  1. เลือกใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต (Green Energy)

จากการบริหารจัดการและหมุนเวียนวัสดุเหลือใช้จากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น นำชานอ้อยและใบอ้อย มาใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าชีวมวลเพื่อวนใช้ภายในโรงงาน พร้อมยกระดับกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียพลังงาน ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 180,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

  1. ผลักดันผลิตภัณฑ์ ภายใต้หลัก BCG จากผลผลิตทางการเกษตร

สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจใน 3 มิติของประเทศ ที่มุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ ( Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ผ่านการต่อยอดสู่ธุรกิจต่อเนื่องจากผลผลิตอ้อยและน้ำตาล เช่น พลังงานไฟฟ้าชีวมวล เม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) จากอ้อยธรรมชาติที่ทั้งมีประโยชน์ต่อร่างกายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 65,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

  1. ส่งเสริมการตัดอ้อยสด ลดการเผา มุ่งสู่เกษตรสมัยใหม่อย่างยั่งยืน 

ผ่านความร่วมมือกับชาวไร่ ชุมชน และภาครัฐ ในการสนับสนุนให้เกิดการซื้อขายอ้อยสด เช่น การรับซื้อใบอ้อยจากเกษตรกรเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าชีวมวล การทำ MOU ร่วมกับ 7 โรงงานน้ำตาลในการรณรงค์ตัดอ้อยสด การจัดทำแนวกันไฟในพื้นที่ไร่อ้อย หรือการจัดกิจกรรมเชิญชวนตัดอ้อยสดกับชาวไร่โดยตรง ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 15,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

  1. บริหารจัดการน้ำเสีย และจัดการขยะในโรงงาน

ด้วยระบบบำบัดน้ำเสียรวม (Activated Sludge) ทำให้กลุ่มมิตรผลสามารถเพิ่มพื้นที่จัดเก็บน้ำดิบ ลดความเสี่ยงจากภัยแล้ง และยังสามารถนำน้ำหลังการบำบัดมาใช้เป็นน้ำต้นทุนหมุนเวียนได้อีกด้วย พร้อมกำหนดแนวทางในการจำแนกประเภทขยะในโรงงานเพื่อนำไปรีไซเคิลอย่างเคร่งครัด ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 10,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

  1. ขยายพื้นที่ปลูกป่า และดูแลต้นน้ำ

ภายใต้โครงการพลิกฟื้นผืนป่าสู่ธรรมชาติที่ยั่งยืนของกลุ่มมิตรผล จากความร่วมมือกับชาวไร่ ชุมชนรอบโรงงาน กรมป่าไม้ และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์อย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายการปลูกต้นไม้กว่า 700,000 ต้นในจังหวัดสุพรรณบุรี ทั้งยังริเริ่มโครงการ OASIS หรือการสร้างอ่างกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรขนาดใหญ่ เพื่อกักเก็บน้ำในช่วงฤดูน้ำหลากมาไว้สำหรับใช้ในฤดูแล้ง

  1. ชดเชยคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Offsetting)

จากใบรับรองสิทธิในการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และคาร์บอนเครดิตที่กลุ่มมิตรผลสั่งสมจากการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ผ่านมา

โครงการพลิกฟื้นผืนป่าสู่ธรรมชาติที่ยั่ง

จะเห็นได้ว่าแนวทางการดำเนินงานอย่างครอบคลุมทั้ง 6 ด้านของอุทยานมิตรผลด่านช้าง สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างน้อย 270,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนจังหวัดสุพรรณบุรีในการบรรลุเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อก้าวสู่การเป็นเมืองคาร์บอนต่ำในอนาคต ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิต ตลอดจนเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ไปพร้อม ๆ กัน

การขับเคลื่อนเพื่อผลักดันให้อุทยานมิตรผลด่านช้างมีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2023 นับว่าเป็นก้าวที่สำคัญของกลุ่มมิตรผล บนเส้นทางที่จะมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการเป็นองค์กรที่จะมีความเป็นกลางทางคาร์บอน และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในภายภาคหน้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืน ที่แสดงถึงบทบาทของผู้รู้จริง ทำจริง เพื่อนำพาให้ภาคเกษตรอุตสาหกรรม และประเทศไทย ก้าวสู่เมืองคาร์บอนต่ำและเติบโตสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงไปด้วยกัน

เชื้อเพลิงชีวมวล
ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาต

* เป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศไทย

1. เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ปี ค.ศ. 2050

2. เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี ค.ศ. 2065

* เป้าหมายด้านความยั่งยืนของกลุ่มมิตรผล

1. เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ปี ค.ศ. 2030

2. เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี ค.ศ. 2050