ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
บทเรียนจาก ‘วิกฤตคิวบา’
สำหรับ ‘สงครามยูเครน’
พอเกิดสงครามยูเครนและมีการเอ่ยเอื้อนถึง “สงครามโลกครั้งที่สาม” และ “อาวุธนิวเคลียร์” ท่ามกลางความตึงเครียดระดับโลก
ก็มีคนถามถึง “วิกฤตคิวบา” ที่เกือบจะกลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์” ที่สองมหาอำนาจเขย่าขวัญโลกมาแล้ว
เป็นวิกฤต “13 วัน” (14-28 เดือนตุลาคมปี 1962 หรือ 60 ปีที่แล้วพอดิบพอดี)
เราจะเรียนรู้อะไรจากวิกฤตคิวบาคราวนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้สงครามมหาประลัยเกิดขึ้นในวันนี้ได้บ้าง?
นั่นเป็นคำถามที่กำลังได้รับการถกแถลงกันอย่างกว้างขวางพอสมควร
วิกฤตคราวนั้นเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นที่โลกแบ่งเป็นสองขั้วอย่างชัดเจนคือ สหรัฐและสหภาพโซเวียตยืนอยู่คนละมุม
วันนี้เราก็เห็นสหรัฐกับรัสเซียต่างยืนอยู่คนละข้างอีกครั้งหนึ่ง
คราวนั้น อเมริกาและสหภาพโซเวียตต่างก็สะสมอาวุธนิวเคลียร์
หากผู้นำของฝ่ายใดตัดสินใจกดปุ่มนิวเคลียร์ก่อนที่เรียกว่า pre-emptive strike ประเทศที่กดปุ่มทีหลังอาจจะเสียเปรียบ
เพราะผู้มีกดปุ่มก่อนหรือ first strike อาจจชนะในเกมที่จะนำโลกลงนรกได้
ในวิกฤตครั้งนั้นอเมริกามีประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ส่วนสหภาพโซเวียตมีนิกิตา ครุชชอฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์
สหรัฐกับ NATO ติดตั้งฐานยิงจรวดนิวเคลียร์อยู่ที่อิตาลีและตุรกีซึ่งใกล้รัสเซียมาก
สหภาพโซเวียตตอบโต้ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรคิวบา
คิวบาคือ “หลังบ้าน” ของสหรัฐ
คิวบาห่างฝั่ง Key West ของรัฐ Florida ทางใต้ของสหรัฐเพียง 144 กิโลเมตร
ผู้นำคิวบาคือฟิเดล คาสโตร ซึ่งล้มล้างรัฐบาลก่อนเพื่อเปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์
คาสโตรขึ้นมามีอำนาจเพียง 4 เดือนหลังเคนเนดี้รับตำแหน่งในฐานะเป็นผู้นำอายุน้อยที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา
ซีไอเอของสหรัฐแอบหนุนหลังกลุ่มกบฏเพื่อยึดคิวบากลับแต่ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ปฏิบัติการครั้งนั้นเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 1961 สร้างความเสื่อมเสียให้กับชื่อเสียงของมหาอำนาจอย่างสหรัฐเป็นอย่างยิ่ง
คาสโตรรู้ว่าสหรัฐต้องคอยจ้องทำลายล้างแน่ จึงหันไปพึ่งพามอสโก
ในปีต่อมาคือ 1962 ครุชชอฟลอบขนจรวดขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์ไปติดตั้งให้คิวบาทางเรือ
มอสโกได้จังหวะเสริมกำลังของคิวบาเป็นการตอบโต้ที่สหรัฐตั้งฐานจรวดที่อิตาลีและตุรกีด้วย
ใครที่ได้อ่าน “Thirteen Days” โดยโรเบิร์ต เคนเนดี้ น้องชายประธานาธิบดี JFK ก็จะได้รับรู้ถึงการประชุมที่เคร่งเครียดในทำเนียบขาวช่วง 13 วันนั้น
เพื่อดูว่าฝ่ายไหนจะยอม “กะพริบตา” ก่อน
เคนเนดี้เห็นภาพถ่ายทางอากาศที่ยืนยันว่าสหภาพโซเวียตได้เริ่มติดตั้งจรวดนิวเคลียร์บนเกาะคิวบาแล้ว
ฝ่ายข่าวกรองอเมริกันประเมินว่าการติดตั้งจะเสร็จสิ้นใน 10-14 วัน
ที่ทำให้เครียดกันไปหมดก็คือการวิเคราะห์จากภาพถ่ายว่าจรวดของโซเวียตที่ติดตั้งนั้นมีอย่างน้อย 32 ลูก
ศักยภาพของขีปนาวุธวิถีกลางยิงได้ไกลถึงทำเนียบขาวที่ Washington DC กันเลยทีเดียว
ที่อันตรายกว่านั้นก็คือถ้าครุชชอฟตัดสินใจกดปุ่มยิงใส่สหรัฐ วอชิงตันจะรู้ล่วงหน้าเพียง 5 นาทีเท่านั้น
อินทรียักษ์ได้รับรู้ฤทธิ์เดชของขีปนาวุธของหมีขาวอย่างนั้นก็ย่อมจะหนาว
แต่ไม่ยอมหนาวเฉยๆ ต้องสกัดกั้นทุกวิถีทาง
เหล่าบรรดาเสนาธิการรอบตัวเคนเนดี้ต้องการจะบุกคิวบา แม้จะต้องส่งทหารนับแสนเพื่อยึดคิวบา ระงับการติดตั้งขีปนาวุธอย่างฉับพลันก็ต้องทำ
แต่ JFK เป็นนักการเมืองที่ต้องพิจารณาปัจจัยรอบด้านอย่างระมัดระวัง
เพราะหากเล่นอะไรบุ่มบ่าม แม้จะมีโอกาสยึดเกาะคิวบาได้ด้วยกองกำลังที่เหนือกว่า
แต่ความเสี่ยงมีสูงมาก…หากผู้นำโซเวียตตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน สงครามโลกครั้งที่สามก็จะระเบิดค่อนข้างแน่นอน
หน้าต่างแห่งเวลาที่ต้องตัดสินใจอันยากยิ่งและสุ่มเสี่ยงมีเพียง 10-14 วัน
แผนที่หนึ่งคือบุก ซึ่งเคนเนดี้บอกให้เก็บไว้เป็น “ทางเลือกสุดท้ายหากจำเป็นจริงๆ”
ทีมวอร์รูมเสนอแผนสอง…ให้สกัดเรือของโซเวียตที่กำลังขนชิ้นส่วนของอาวุธขึ้นเกาะคิวบา
ภาษาทางทหารเรียกว่า Blockade
หรือตีความได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดศึก
ถ้าหากสหรัฐจะต้อง “บล็อก” เรือรัสเซียที่วิ่งไปเกาะคิวบาก็ต้องหาวิธีไม่ให้เข้าไปถึง
ที่ปรึกษาทางทหารเสนอให้ใช้คำว่า Quarantine หรือที่ทุกวันนี้ในช่วงโควิดเราเรียกว่า “กักตัว”
เคนเนดี้จึงประกาศใช้คำว่า Quarantine คือเรือสหรัฐไป “กัก” เรือที่สงสัยว่ากำลังส่งชิ้นส่วนอาวุธร้ายแรงให้คิวบา
ส่วนเรือที่ไม่ขนอาวุธก็ยังให้ผ่านไปได้
อย่างนี้สามารถหลีกเลี่ยงคำว่า Blockade ซึ่งหมายถึงการสกัดเรือทุกลำในเส้นทางนั้น
ปฏิกิริยาของมอสโกคือการตอบโต้ด้วยแถลงการณ์ว่าการทำเช่นนั้นถือเป็นละเมิดสิทธิการเดินเรือของรัสเซีย
ถือเป็นการปิดกั้นน่านน้ำสากล (เหมือนที่สหรัฐกล่าวหาจีนในกรณีทะเลจีนใต้วันนี้)
เคนเนดี้ออกทีวีสื่อสารกับประชาชนคนอเมริกันและชาวรัสเซียกับประชาคมโลกว่าสหรัฐต้องสกัดรัสเซียในเรื่องนี้เพื่อปกปักรักษา “สันติภาพและเสรีภาพในภูมิภาคของโลกส่วนนี้”
ความเสี่ยงวันนั้นคือถ้าโซเวียตไม่ยอมสหรัฐ…และกองทัพเรืออเมริกันไปสกัดกองเรือรัสเซียที่มุ่งหน้าคิวบาพร้อมขีปนาวุธกลางทะเล จะเกิดอะไรขึ้น?
สงครามนิวเคลียร์!
ใครเคยดูสารคดีเรื่องนี้ก็จะได้รับรู้ถึงการที่ต้องนั่งลุ้นว่าฝ่ายไหนจะยอมถอยก่อน
ถ้อยประโยคที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองโลกถึงวันนี้คือที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ Dean Rusk ขณะนั้น
“We’are eyeball to eyeball and I think the other fellow just blinked”
แปลว่าตาจ้องตากันเขม็ง…และอีกฝ่ายหนึ่งกะพริบตา (คือยอมถอย) ก่อน
ในช่วงนั้น กองทัพสหรัฐถูกสั่งให้ยกจัดระดับการเตรียมสงครามไว้ที่ DefCon2 (Defence Readiness Condition) ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมา
แค่ยกระดับขึ้นอีกหนึ่งขั้นคือ DefCon1 นั่นก็คือการทำสงครามเต็มรูปแบบ
ระหว่างที่รอลุ้นกันอยู่ก็เกิดเรื่องร้ายแทรกเข้ามา
เครื่องบินสอดแนมของอเมริกาถูกคิวบายิงตก
ทำให้เหล่าเสนาธิการเสนอให้เร่งรัดการโจมตีตามแผนรุก
แถมยังมีเรื่องชวนหวาดเสียวเพิ่มมาอีกเมื่อสหรัฐเจอเรือดำน้ำหัวรบนิวเคลียร์ของโซเวียตปรากฏใกล้ชายฝั่งคิวบา
เรือรบสหรัฐยิงตอร์ปิโดเพื่อให้เรือดำน้ำโซเวียตขึ้นมาบนผิวน้ำ
แต่เกิดความสับสนอลหม่านในเรือดำน้ำโซเวียตที่กำลังเจอกับสภาพอากาศร้อนภายในเรือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลอยเต็มเรือ ลูกเรือหมดเรี่ยวแรง อารมณ์ผันผวนแปรปรวน
มิหน้ำซ้ำยังขาดการติดต่อจากมอสโกกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง
เมื่อลูกเรือได้ยินเสียงระเบิดตอร์ปิโดของอเมริการอบๆ เรือก็ทำให้ทหารเรือรัสเซียบางคนคิดว่าสงครามโลกครั้งที่สามได้ระเบิดขึ้นแล้ว
รายละเอียดมาปรากฏภายหลังว่าลูกเรือส่วนใหญ่ในเรือดำน้ำเชื่อว่าต้องยิงหัวรบนิวเคลียร์เพื่อปกป้องตนเอง
แต่การจะสั่งยิงนิวเคลียร์ได้นั้น กฎเหล็กของรัสเซียต้องให้นายทหารอนุมัติสามคน
ปรากฏการณ์ “ปาฏิหาริย์” ที่เกิดขึ้นในนาทีสยองขวัญตอนนั้นก็คือแม้สองคนตัดสินใจให้ยิง แต่นายทหารคนที่สามไม่เอาด้วย
ถือว่าโลกรอดจากสงครามนิวเคลียร์เพราะเขาคนนั้นก็ได้
ในช่วงนั้นเองที่ครุชชอฟส่งจดหมายมาต่อรอง
โดยเสนอว่าสหภาพโซเวียตจะถอนขีปนาวุธก็ต่อเมื่อสหรัฐต้องสัญญาว่าจะไม่บุกคิวบาอีก
เหล่าแม่ทัพนายกองในวอร์รูมวันนั้น (เรียกขานกันว่าเป็น ExCom) บอกว่าอย่าได้เชื่อรัสเซีย…เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ซื้อเวลาเท่านั้น
คณะทหารเร่งให้ประธานาธิบดีของตนบุกคิวบาก่อนจะสายเกินไป
แต่ JFK พยายามใช้การทูตจนถึงนาทีสุดท้าย
เขาสั่งน้องชาย โรเบิร์ต เคนเนดี้ เจรจาลับกับทูตรัสเซีย
โดยมีหลักสำคัญว่าการเจรจาเช่นว่านี้จะต้องไม่ให้ฝ่ายตรงกันข้ามมองว่าเป็น “ความอ่อนแอ”
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่แสดงท่าทีที่ “แข็งกร้าว” เกินไปจนก่อให้เกิดสงคราม
และต้องไม่ให้ครุชชอฟรู้สึกเสียหน้า
อีกทั้งต้องไม่ให้พันธมิตร NATO รู้สึกว่าสหรัฐยอมอ่อนข้อแล้ว
โรเบิร์ต เคนเนดี้ ตัดสินใจยื่นเงื่อนไขให้โซเวียตถอนหัวรบนิวเคลียร์ โดยให้สหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบ
แลกกับที่วอชิงตันรับปากจะไม่บุกคิวบา
ต่อจากนั้น 6 เดือนสหรัฐก็จะถอนจรวดออกจากอิตาลีและตุรกีอย่างเงียบๆ แบบไม่กระโตกกระตาก
มีเงื่อนไขสำคัญว่าฝั่งรัสเซียจะไม่อ้างว่าเป็นการยื่นหมูยื่นแมว
เพราะเคนเนดี้ไม่ต้องการให้ NATO เห็นว่าสหรัฐอ่อนแอ ยอมตามรัสเซีย
เมื่อทุกฝ่ายเห็นว่าการถอยคนละก้าวคือหนทางหลีกเลี่ยงหายนะระดับโลก สงครามใหญ่จึงยังไม่เกิด!