5 ขั้นตอนเตรียมพร้อมก่อนเริ่มเทรดออนไลน์

ปัจจุบันการเทรดออนไลน์ (Online Trading) เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย คุณสามารถเทรดได้ง่าย ๆ ผ่านอินเตอร์เน็ต ด้วยแพลตฟอร์มที่ให้บริการโดยโบรกเกอร์หรือธนาคาร ทำให้ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เวลาใดคุณก็สามารถเทรดได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ใช้เพียงแค่มือถือ หรืออุปกรณ์ที่แพลตฟอร์มนั้นรองรับ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระบบการเทรดออนไลน์จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเทรดเดอร์ แต่การมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการเทรดก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณเป็นมือใหม่อยากเทรดออนไลน์ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร 5 ขั้นตอนเพื่อเตรียมพร้อมก่อนการเทรดนี้ จะช่วยให้คุณสามารถเริ่มต้นเทรดได้อย่างไรมั่นใจมากขึ้น

1. ศึกษาเกี่ยวกับตลาดและสินทรัพย์

การเทรด คือ การทำกำไรจากการซื้อขายสินทรัพย์ในตลาด เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการเทรด ขั้นตอนแรกคือ การเรียนรู้ เทรดเดอร์หลายคนเริ่มต้นเทรดโดยที่มีความรู้ ความเข้าใจไม่มากพอ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการเทรดในระยะยาว

คุณควรศึกษาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกลไกการทำงานของตลาด ตลาดการเงิน คือ ศูนย์รวมการซื้อขายสินทรัพย์ต่าง ๆ ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ซึ่งสินทรัพย์ในการเทรด หรือที่เรียกว่า ตราสารทางการเงิน ในปัจจุบันมีหลายประเภท เช่น หุ้น คู่สกุลเงินฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมันและก๊าซ โลหะมีค่า และสกุลเงินดิจิตอล เป็นต้น

นอกจากมีความรู้พื้นฐานในการเทรดแล้ว เทรดเดอร์ที่ดีควรมีการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ หมั่นฝึกฝน ศึกษาความรู้ใหม่ ๆ และติดตามข่าวสาร ทั้งข่าวที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ข่าวแวดวงธุรกิจ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลต่อตลาด ซึ่งเราแนะนำให้ติดตามจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อความถูกต้องของข้อมูล

2. เลือกโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มในการเทรด

เมื่อคุณตัดสินใจเทรด คุณจะต้องดำเนินการทุกอย่างผ่านบริษัทนายหน้าที่ได้รับใบอนุญาตซื้อขายหลักทรัพย์ หรือที่เรียกว่า โบรกเกอร์ (Broker) โดยหน้าที่ของโบรกเกอร์จะมีตั้งแต่ส่งคําสั่งซื้อขายหลักทรัพย์เข้าสู่ตลาด นอกจากนี้ยังต้องรับผิดชอบขั้นตอนการดำเนินงานต่าง ๆ อย่างการเปิดบัญชี ดูแลให้คำปรึกษา แก้ไขปัญหาให้ลูกค้า ไปจนถึงการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์

จะเห็นได้เลยว่าโบรกเกอร์เป็นตัวกลางที่สำคัญอย่างมากระหว่างเทรดเดอร์และตลาดหุ้น เปรียบเสมือนเป็นผู้ดูแลเรื่องเงินทั้งหมดให้กับเทรดเดอร์ ดังนั้นจากการวิเคราะห์ของ Exness เราจะแนะนำหลักการเลือกโบกเกอร์ว่าควรพิจารณาเรื่องอะไรบ้าง

หลักการเลือกโบรกเกอร์

  • ความน่าเชื่อถือ ศึกษาประวัติความเป็นมา ชื่อเสียงของทีมบริหาร ตรวจสอบใบอนุญาตดำเนินการ ดูว่าโบรกเกอร์นั้นได้รับการควบคุมดูแลโดยหน่วยงานอะไร รวมถึงรางวัลที่ได้รับ
  • ตลาดและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ศึกษารายละเอียดว่าโบรกเกอร์ให้บริการสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง
  • การบริการรวดเร็ว ถูกต้อง มีฝ่ายบริการลูกค้าที่ให้การช่วยเหลือคุณได้ จำนวนพนักงานเพียงพอ
  • การสนับสนุนความรู้ ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีแหล่งการเรียนรู้สนับสนุน เช่น บทความ วิดีโอสอน คอร์สเรียน และสัมมนาต่าง ๆ สำหรับเทรดเดอร์ทั้งมือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ นอกจากนี้โบรกเกอร์ควรมีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์การเทรดของคุณด้วย
  • ค่าธรรมเนียม ค่าสเปรด และค่าคอมมิชชั่น โบรกเกอร์ควรชี้แจงค่าใช้จ่ายทั้งที่เกี่ยวข้องในการเทรด และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเทรด เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหล่านี้จะมีผลกับกำไรในการเทรดของคุณ

นอกจากหลักการข้างต้นแล้ว เทรดดิ้งแพลตฟอร์มยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเทรด จัดการบัญชี รวมถึงใช้งานด้านอื่น ๆ อย่างการติดตามข่าวสาร และบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ โดยทั่วไปโบรกเกอร์จะให้บริการเทรดดิ้งแพลตฟอร์มกับเทรดเดอร์ ดังนั้นคุณควรศึกษารายละเอียดของแพลตฟอร์มที่แต่ละโบรกเกอร์ให้บริการว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน ตอบโจทย์การเทรดของคุณหรือไม่

ตัวอย่างคุณสมบัติที่สำคัญของเทรดดิ้งแพลตฟอร์มมีดังนี้

  • มีหน้าตาอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ปุ่มคำสั่งต่าง ๆ มีความชัดเจน เข้าใจได้ง่าย
  • มีเครื่องมือใช้ในการเทรด เช่น จัดการคำสั่งเข้า-ออกตลาด ระบบเทรดอัตโนมัติ มีระบบทดสอบกลยุทธ์การเทรด สามารถติดตามคำสั่งเทรดที่เปิดและปิดไปแล้ว
  • มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ที่หลากหลาย
  • มีเครื่องมือใช้สำหรับจัดการบัญชี เช่น แสดงยอดในบัญชีแบบเรียลไทม์ สามารถสลับบัญชีเทรดได้
  • มีการอัปเดตข่าวสารและบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ
  • แสดงผลได้หลายแบบ เช่น แสดงผลแบบปกติ รายชื่อตราสารต่าง ๆ หรือแสดงผลกราฟ Tick
  • สามารถรองรับได้หลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต เพื่อให้ลูกค้าสามารถเทรดได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา
  • มีการสนับสนุน ช่วยเหลือการใช้งาน

ปัจจุบันเทรดดิ้งแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คือ Metatrader ซึ่งมีทั้ง MT4 (MetaTrader 4) และ MT5 (MetaTrader 5)

3. กำหนดเป้าหมายการเทรดและประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้

การตั้งเป้าหมายเทรดมีความสำคัญและส่งผลกับการเทรดในระยะยาว เพราะเป็นตัวกำหนดทิศทาง กำหนดสไตล์การเทรดของคุณ และช่วยให้คุณวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทรดเดอร์หลายคนตั้งเป้าหมายโฟกัสที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือ กระบวนการเทรด เช่น จัดเวลาศึกษาเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่จะซื้อขาย บันทึกการเทรด ประเมินการเทรดว่าสอดคล้องกับเป้าหมายหรือไม่ เป็นต้น

คุณสามารถค้นหาเป้าหมายการเทรดของคุณได้โดยตอบคำถามเหล่านี้ ลองเขียนลงบนกระดาษ

  • เป้าหมายการเงินของคุณเป็นอย่างไร? ทั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว
  • แรงจูงใจในการเทรดคืออะไร?
  • ตารางเวลาการเทรดของคุณเป็นอย่างไร? คุณสามารถเทรดได้ถี่แค่ไหน? ทุกวันหรือ 2-3 วันต่อสัปดาห์ และเวลาใช้เท่าไร? เพราะนอกจากเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว วินัยการเทรดก็สำคัญไม่แพ้กัน การมีตารางเวลาที่ชัดเจนจะช่วยคุณเลือกกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของคุณ

เมื่อคุณรู้เป้าหมายการเงินและการเทรดของตัวเองแล้ว ต่อมาคือการประเมินทรัพยากร เนื่องจากการที่จะเริ่มต้นเทรดได้นั้นจำเป็นต้องมีเงินทุนที่มากพอ ซึ่งมีผลต่อการเลือกประเภทสินทรัพย์ด้วย คุณควรสำรวจตัวเองว่าคุณมีเงินทุนเท่าไร? มีเงินสำรองฉุกเฉินหรือไม่? สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ระดับใด?  ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะใช้ในการเลือกสไตล์การเทรดของคุณในขั้นตอนต่อไป

4. เลือกสไตล์การลงทุนของคุณ

หนึ่งในสิ่งที่ต้องมีในแผนการเทรด คือ การกำหนดกลยุทธ์ ซึ่งเทรดเดอร์แต่ละคนจะมีสไตล์การเทรดแตกต่างกัน คุณควรเลือกให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้ชีวิตและบุคลิกภาพของตัวเอง  (อาจจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ในภายหลัง) สำหรับขั้นตอนนี้เราจะสรุปสไตล์การเทรดทั้งหมด 4 แบบด้วยกัน โดยแบ่งตามระยะเวลาที่ใช้ในการเทรด ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีไปจนถึงหลายปี

แบบที่ 1 Scalping Trading

การเทรดแบบ Scalping คือการเทรดอย่างรวดเร็วในระยะสั้น โดยดูการเปลี่ยนแปลงของตลาดในหน่วยวินาทีหรือนาทีเท่านั้น เทรดเดอร์จะรู้ผลลัพธ์กำไรหรือขาดทุนทันที

การเทรดรูปแบบนี้เหมาะสำหรับนักเทรดที่สามารถตัดสินใจได้อย่างฉับไว มีประสบการณ์เทรดรายวันและเทรดระยะสั้นมาแล้ว มีความรู้และสามารถจดจ่อได้สูง อีกทั้งต้องใช้เงินทุนสูงกว่า เนื่องจากเทรดหลายครั้งต่อวัน ดังนั้นหากคุณไม่สามารถรับความกดดันในระยะสั้นๆ ได้ หรือต้องการใช้เงินทุนลดลง การเทรดระยะที่ยาวขึ้นอาจจะเป็นตัวเลือกเหมาะสมกว่า

แบบที่ 2 Day Trading

Day Trading คือ การเทรดรูปแบบที่ต้องการซื้อขาย เปิดปิดออเดอร์ทั้งหมดภายในวันเดียว สามารถเทรดได้หลายครั้งและรู้ผลลัพธ์โดยใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง หรือไม่เกินวันที่ทำการเทรด สินทรัพย์ที่นิยมสำหรับการเทรดรูปแบบนี้ คือ หุ้น ฟอเร็กซ์ และฟิวเจอร์ส

Day Trading เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ไม่ต้องการถือออเดอร์ข้ามคืน และไม่ต้องการมีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดในวันถัดไป อย่างไรก็ตามการเทรดรูปแบบนี้อาจจะใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวัน จึงไม่เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องทำงานอื่น หรือจัดเวลาได้น้อย

แบบที่ 3 Swing Trading

การเทรดแบบ Swing จะใช้เวลาเทรดตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายวันหรือสัปดาห์ โดยนักเทรดจะเข้าซื้อเมื่อราคาลดลง และขายออกเมื่อราคาสูงขึ้น การเทรดรูปแบบนี้สามารถเทรดกับตราสารได้ทุกชนิด และใช้เงินทุนน้อยกว่าการเทรดระยะสั้นด้วย

Swing trading เป็นรูปแบบที่ใช้กันมากสำหรับนักเทรดมือใหม่ เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ไม่ต้องการถือออเดอร์นาน แต่อาจจะมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้จากการถือออเดอร์ข้ามคืน

แบบที่ 4 Position Trading

เทรดเดอร์แบบ Position จะเน้นลงทุนระยะยาว ซึ่งอาจจะใช้เวลาในการเทรดหลายเดือนหรือหลายปี การเทรดแบบนี้จึงเหมาะกับนักเทรดที่มีความอดทน สามารถติดตามผลในระยะยาวได้ เข้าใจภาพรวมของตลาด และมีการติดตามกราฟราคาอยู่เสมอ โดยการเทรดรูปแบบนี้จะให้กำไรเติบโตมากกว่าเมื่อเทียบกับการเทรดระยะสั้น

5. เริ่มต้นเทรดด้วยบัญชีทดลอง

ถ้าหากคุณต้องการฝึกฝนการใช้แพลตฟอร์ม หรือทดสอบกลยุทธ์การเทรดโดยไม่เสียเงินทุน คุณสามารถเริ่มต้นเทรดด้วยบัญชีทดลอง (Demo account) ซึ่งโบรกเกอร์มากมายได้เปิดให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งเป็นบัญชีทดลองใช้สำหรับจำลองการซื้อขายในตลาด โดยมีข้อมูลทุกอย่างเหมือนกับตลาดจริง มีการอัปเดตแบบเรียลไทม์ แต่จะใช้เงินเสมือนจริงในการซื้อขายสินทรัพย์

ดังนั้น ข้อดีของบัญชีทดลอง คือ ช่วยเทรดเดอร์โดยเฉพาะมือใหม่ให้มีความคุ้นเคยกับการทำงานของเทรดดิ้งแพลตฟอร์ม ได้ฝึกใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การส่งออเดอร์ กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ส่วนมืออาชีพก็สามารถใช้ในการทดสอบเทคนิค และพัฒนากลยุทธ์ก่อนการเทรดจริงโดยไม่มีความเสี่ยงใด ๆ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโบรกเกอร์จะให้บริการบัญชีทดลอง แต่ระยะเวลาที่สามารถใช้งานบัญชีได้นั้นจะขึ้นกับแต่ละโบรกเกอร์ สำหรับวิธีการเปิดบัญชีทดลองและระยะเวลาที่ใช้ได้ คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดของแต่ละโบรกเกอร์ได้เลย

สรุป

การเริ่มต้นเทรดออนไลน์อาจจะเป็นเรื่องที่ดูยุ่งยากสำหรับมือใหม่ อีกทั้งยังมีความเสี่ยง ดังนั้นขั้นตอนแรกเทรดเดอร์ควรเริ่มต้นจากการเรียนรู้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับตลาด รวมถึงติดตามข่าวสารต่าง ๆ อยู่เสมอ สิ่งสำคัญต่อมาคือการเลือกโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มที่ใช้ในการเทรด ซึ่งเป็นตัวกลางที่จะดูแลการเทรดทั้งหมด เทรดเดอร์จึงควรเลือกโดยพิจารณาจากข้อมูลหลาย ๆ ด้าน

หลังจากนั้นคือการกำหนดเป้าหมายการเทรด ประเมินการเงินและความเสี่ยง เพื่อใช้ในการเลือกสไตล์การลงทุนที่เหมาะสมกับคุณ สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการฝึกฝนหรือทดสอบกลยุทธ์ต่าง ๆ เราแนะนำให้ใช้บัญชีทดลองเพื่อที่จะเทรดได้โดยไม่มีความเสี่ยง ด้วยเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจในการเทรดมากขึ้น และประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของคุณ