เผยแพร่ |
---|
ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้โลกกำลังพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของ การโทรคมนาคม การขนส่ง การติดต่อสื่อสาร การเงินการธนาคาร ตลอดจน ‘การแพทย์’ ที่เทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาความสะดวกสบายและความล้ำสมัยให้กับมิติต่าง ๆ ของโลก ในอดีตเมื่อพูดถึงการแพทย์ หลายคนคงนึกถึงโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยแพทย์และพยาบาลที่คอยช่วยเหลือดูแลคนไข้ แต่ในอนาคตด้วยหลากหลายนวัตกรรมล้ำสมัยที่ถูกคิดค้นขึ้น คนไข้อาจจะไม่จำเป็นต้องเดินทางไปพบหมอในทุกกรณีแล้ว หรือไม่จำเป็นต้องรอผลการรักษาเป็นเวลานาน ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ที่รู้จักกันในนามของ “ดิจิทัล เฮลท์” (Digital Health)
“ดิจิทัล เฮลท์” (Digital Health) เป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ผนวกเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและศาสตร์ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์มาไว้ด้วยกัน ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัย ดูแล รวมถึงรักษาคนไข้ได้รวดเร็วแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งบางนวัตกรรมยังช่วยให้แพทย์สามารถสื่อสาร และเฝ้าระวังอาการของคนได้จากระยะไกลแบบ “ไร้สัมผัส” ได้อีกด้วย ซึ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 เหล่านวัตกรรมดิจิทัลเฮลท์ต่าง ๆ ก็ได้ถูกนำมาใช้ในการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 และในขณะเดียวกันช่วยลดความเสี่ยง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเหล่าแพทย์และพยาบาลในการปฏิบัติหน้าที่ โดยบทความในวันนี้ จะพาทุกท่านไปติดตามความก้าวหน้าของนวัตกรรมดิจิทัลเฮลท์ในไทย ผ่าน 3 ต้นแบบนวัตกรรมฝีมือนักวิจัยไทย ที่ครอบคลุม “เครื่องตรวจโควิดแบบเรืองแสง เอไอตรวจโควิดกลายพันธุ์ คลาวด์ ดีไซน์ (Cloud Design) วัดสัญญาณชีพ” ที่พร้อมเป็นต้นแบบแก่หน่วยงานต่าง ๆ ในการต่อยอดหรือยกระดับประสิทธิภาพ สู่การรักษาทางการแพทย์ยุคใหม่ในอนาคต ดังรายละเอียดต่อไปนี้
· เครื่องมือตรวจเชื้อโควิดแบบเรืองแสง
อีกหนึ่งนวัตกรรมแนวดิจิทัลเฮลท์ ที่ก้าวข้ามอุปสรรคในการใช้เครื่องมือแพทย์ขนาดใหญ่ ที่ไม่สะดวกต่อการพกพาหรือเคลื่อนย้าย แต่เชื่อหรือไม่ว่าปัจจุบันมีเพียงสมาร์ทโฟน พร้อมเครื่องมือตัวช่วยเพียงเล็กน้อย ก็สามารถช่วยให้คุณหมอตรวจวินิจฉัยเชื้อไวรัสได้แล้ว ! ด้วย “เครื่องมือตรวจเชื้อโควิดแบบเรืองแสง” ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ผ่านการอ่าน ‘ค่าเรืองแสง’ ของชุดตรวจทางชีวโมเลกุล ด้วยกล้องของสมาร์ทโฟน !! ช่วยแพทย์รู้ผล ผู้ติดเชื้อใน 45-60 นาที เร็วกว่าการตรวจในระบบปกติที่ต้องเข้าห้องแลปถึง 3 เท่า ซึ่งทีมแพทย์ยังสามารถนำไปใช้ในการลงพื้นที่หรือตรวจคัดกรองตามชุมชน (On Site) ได้ อีกทั้งยังมีต้นทุนในการพัฒนาที่ต่ำกว่าระบบปกติหลายเท่า
ทั้งนี้ นวัตกรรมดังกล่าว อยู่ระหว่างการยื่นจดสิทธิบัตรและรับรองมาตรฐาน อย. ซึ่งเป็นผลการวิจัยและพัฒนาร่วมกันระหว่าง ดร.พิมพ์ขวัญ หาญนันทอนันต์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. (พัฒนาเครื่องมือการอ่านผล) นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พัฒนาชุดน้ำยาตรวจ) และ บริษัท เซอร์ทิส จำกัด (SERTIS) (พัฒนาแอปพลิเคชัน) โดยในอนาคตเตรียมพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถตรวจเชื้อไวรัสที่หลากหลายได้
· เอไอตรวจโควิดกลายพันธุ์ ครั้งแรกของโลก !
เทคโนโลยีใหม่อย่าง “เอไอตรวจโควิดกลายพันธุ์” ครั้งแรกของโลก ! ที่มาพร้อมความสามารถใน 2 ส่วน คือ บ่งชี้เชื้อโควิด-19 ได้ถึง 8 สายพันธุ์ และ ตรวจตำแหน่งการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยการค้นหากลายพันธุ์ที่น่ากังวล (VOCs) ได้ถูกต้องถึง 99% ใน 30 วินาที ! โดยล่าสุดสามารถตรวจเจอโควิดสายพันธุ์ลูกผสม อินเดีย-อังกฤษ ได้แล้ว ซึ่งนับเป็นการช่วยแพทย์ลดขั้นตอนวิเคราะห์ให้เหลือเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้น ประกอบด้วย 1. นำเข้าข้อมูลสารพันธุกรรมทั้งหมด หรือจีโนมที่ได้ทั้งแบบเดี่ยว หรือแบบหลาย ๆ จีโนมพร้อมกัน เข้าโปรแกรม 2. วิเคราะห์สายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 3. ประมวลผลในรูปแบบชื่อของสายพันธุ์ และหากพบเชื้อกลายพันธุ์จะแสดงผลเป็นสีแดง พร้อมแสดงตำแหน่งกลายพันธุ์ (VOCs) บนจีโนม แต่หากไม่พบเชื้อจะเป็นสีเทา ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าว อยู่ระหว่างลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) และยื่นจดสิทธิบัตรร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ก่อนจะขยายผลในการถ่ายทอดนวัตกรรมแก่หน่วยงานที่สนใจเป็นลำดับต่อไป
· Cloud Design วัดสัญญาณชีพ ครั้งแรกของไทย
อีกหนึ่งผลงานการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีเอไอในทางการแพทย์ เพื่อกู้วิกฤตโควิด-19 อย่าง “Cloud Design วัดสัญญาณชีพ” ครั้งแรกของไทย ตรวจวัดสัญญาณชีพและติดตามอาการผู้ป่วยได้แบบใกล้ชิดโดย ‘ไร้การสัมผัส’ (Touchless) ผ่านการสวมอุปกรณ์ปลอกแขน เพื่อทำหน้าที่ตรวจสัญญาณชีพและแสดงผล 6 ค่าสำคัญของผู้ป่วย ประกอบด้วย คลื่นไฟฟ้าหัวใจ อัตราการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ ค่าออกซิเจนในเลือด อุณหภูมิ และค่าความดันโลหิต โดยที่ระบบเอไอ จะทำหน้าที่แสดงผลแบบเรียลไทม์ (Real Time) ไปยังมอนิเตอร์ส่วนกลาง เพื่อให้ทีมแพทย์สามารถวิเคราะห์ผล และแนวทางการรักษาได้ทันท่วงที ผ่านการสวมปลอกแขนให้ผู้ป่วยตั้งแต่ครั้งแรก ทั้งนี้ เอไอดังกล่าว ได้นำร่องทดสอบประสิทธิภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ โรงพยาบาลสนาม อาคารนิมิบุตร โดยเป็นผลงานวิจัยและพัฒนาโดย ดร.วิบูลย์ ปิยวัฒนเมธา อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.
เรียกได้ว่า อนาคตข้างหน้าวงการแพทย์ไทยจะก้าวได้ไกลและรุดหน้ายิ่งขึ้น ด้วยนวัตกรรมด้าน Digital Healthcare โดยนักวิจัยไทย อันสะท้อนภาพได้ชัดเจนว่า ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรลงทุนด้านสุขภาพ เพื่อลดการพึ่งพานวัตกรรมต่างชาติ เพิ่มโอกาส/ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงระบบการรักษาทางการแพทย์ของคนไทย หรือกระทั่งสามารถส่งออกนวัตกรรมเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ในอนาคตอีกด้วย เช่นเดียวกับหลักคิดในการสร้าง “โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร” หรือ “KMCH” ภายใต้การกำกับดูแลของมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ที่มุ่งสร้างโรงพยาบาลที่พร้อมขับเคลื่อนการแพทย์ และคุณภาพชีวิตคนไทย ผ่านการเป็นพื้นที่เพื่อการรักษาพยาบาล และศึกษาวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อรองรับวิกฤตสุขภาพในอนาคต ซึ่งคาดว่าการก่อสร้างโรงพยาบาลดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2566 ในวงเงินก่อสร้าง 1,000 ล้านบาท
ผู้สนใจร่วมสมทบทุนจัดสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ทั้ง กดบริจาคตามจิตศรัทธา เข้าบัญชีมูลนิธิฯ เลขที่บัญชี 693-0-32393-4 กดบริจาค 100 บาท เพียงกด *948*1960*100# และโทรออก ซื้อเสื้อให้เพื่อสร้าง ในราคาตัวละ 299 บาท ติดตามความเคลื่อนไหวของกิจกรรมได้ที่ www.kmchf-pp.org เฟซบุ๊กแฟนเพจ https://web.facebook.com/KMCHospitalbyKMITL ไลน์ไอดี @KMITLHospital หรือโทร. 092-454-8160 และ 092-548-2640