วัดไผ่ล้อมบอกบุญพุทธศาสนิกชน หล่อเทียนพรรษา อานิสงส์ยิ่งใหญ่

วัดไผ่ล้อมบอกบุญพุทธศาสนิกชน

หล่อเทียนพรรษา อานิสงส์ยิ่งใหญ่

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์(หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เผยว่า ในวันอาทิตย์ ที่ 9 ก.ค. 60 ตรงกับวันเข้าพรรษา ซึ่งหลายวัดจัดให้มีพิธีหล่อเทียนพรรษา ถือเป็นประเพณี เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาโดยตรง ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล โดยเฉพาะในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พิธีหล่อเทียน จัดเป็นพระราชกุศล และเป็นงานบุญทั่วไปของชาวบ้านอีกด้วย โดยกำหนดจัดงานราชพิธีหล่อเทียนขึ้น ในเดือน 8 ของทุกปี ก่อน เข้าพรรษา สมัยนั้นการหล่อเทียน ใช้หล่อด้วยขี้ผึ้ง ในปีหนึ่ง ๆ จะใช้ขี้ผึ้งเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องจากบรรดาวัดต่าง ๆ ที่เป็น วัดหลวงทุกวัด จะได้รับพระราชทานเทียนพรรษาวัดละ 1 เล่ม หรือมากกว่านั้น ทุก ๆ วัด จำนวนเทียนที่หล่อจึงมีมากขึ้น ซึ่งการหล่อเทียนแต่ละเล่ม สมัยนั้นต้องใช้ขี้ผึ้ง ในการหล่อเทียนหนักถึง 16 ชั่ง ปีหนึ่ง ๆ จะใช้ขี้ผึ้งจำนวนมาก มูลเหตุที่ต้องมีการหล่อเทียนนั้น สืบเนื่องมาจากในฤดูฝน หรือที่เรียกกันว่า “ฤดูการเข้าพรรษา” คือช่วงแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวัน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11นั้น กำหนดให้พระภิกษุทั้งหลายต้องเข้าอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่ง ตลอดระยะเวลา 3 เดือน พระภิกษุสงฆ์ที่ต้อง อยู่จำพรรษาในพระอารามระหว่างนั้น มีการสวดมนต์ทำวัตรทุกเช้าค่ำ มีความจำเป็นต้องใช้เทียนสำหรับ จุดบูชาตลอดพรรษา พุทธศาสนิกชนจึงพร้อมใจกันหล่อเทียน สำหรับพระภิกษุสงฆ์ได้จุดบูชาตลอด 3 เดือนของกำหนดเวลาเข้าพรรษา จึงเรียกเทียนที่หล่อ ขึ้นนี้ว่า “เทียนพรรษา” หรือ “เทียนจำนำพรรษา”

เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวอีกว่า การถวายเทียนพรรษาเป็นกุศลอย่างหนึ่งของการให้ทานด้วยแสงสว่าง เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา สว่างไสว พิธีหล่อเทียน เริ่มก่อนการเข้าพรรษา การตระเตรียมงานพิธีหล่อเทียนในชุมชนนั้น จะเริ่มประมาณวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ก่อนเข้าพรรษา ประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อหล่อเทียนในวันรุ่งขึ้น จะจัดขบวนแห่นำไปถวาย ณ วัดใดวัดหนึ่ง เพื่อเป็นพุทธบูชาและ ในวันนั้นมีการทำบุญ ตักบาตร ถวายพระภิกษุสงฆ์ แสดงความศรัทธาโดยพร้อมเพรียงกัน งานทำบุญหล่อเทียน และถวายเทียนพรรษา เป็นประเพณีที่ดีงาม สมควรที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะได้ช่วยกันรักษา ประเพณีนี้ไว้ให้คงอยู่สืบไป อานิสงส์การหล่อเทียนหรือถวายเทียนพรรษาแก่พระภิกษุสงฆ์ ส่งผลให้เป็นผู้มีปัญญาดีเจริญก้าวหน้า ดั่งแสงเทียนที่สว่างในยามค่ำคืน ซึ่งพระภิกษุสงฆ์สมัยก่อนใช้เป็นแสงสว่างในการอ่านหนังสือธรรมะและประกอบกิจของสงฆ์ ช่วงระยะเวลา 3 เดือนในฤดูฝน เมื่อฝนซา ฟ้าใส เราจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไอดิน ปกคลุมไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบข้างแลดูเขียวขจี พันธุ์ไม้ดอก ไม้ใบ แตกยอดอ่อน

เขียวไสว ให้ความรู้สึกเย็นตาเย็นใจแก่ผู้พบเห็น ในช่วงฤดูฝนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษา ณ วัดใดวัดหนึ่ง เพื่อปรารภความเพียรให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ในช่วงเข้าพรรษา ไม่เพียงแต่พระภิกษุเท่านั้น ที่ปวารณาอยู่จำพรรษา ตั้งใจศึกษาธรรมะทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติอย่างเต็มที่ แม้แต่สาธุชนทั่วไป ต่างยึดถือพระภิกษุเป็นต้นแบบ ถือเอาเวลาในช่วงนี้ตั้งใจทำความดี นอกจากนี้ เหล่าพุทธศาสนิกชนยังนิยมสร้างบุญใหญ่ เช่น บรรพชาอุปสมบทกุลบุตร ถวายผ้าอาบน้ำฝน และถวายเทียนพรรษา ฉะนั้นการหล่อเทียนพรรษา ถวายเทียนพรรษา และการจุดดวงประทีปให้สว่างไสว นอกจากเป็นการสั่งสมปัญญาบารมีแล้ว ยังเป็นนิมิตหมายเหมือนดังคำมั่นสัญญาว่า 3 เดือนนี้ จะทำความสว่างในใจให้สุกสกาว ไม่มีวันมอดดับ เป็นแสงแห่งความดีที่เกิดจากการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาเทศกาลเข้าพรรษานับเป็นมรดก ทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ของพวกเราชาวพุทธ เพราะการที่เราได้มีโอกาสทำความดีเป็นพิเศษอย่าง จริงจัง และต่อเนื่องยาวนานถึง 3 เดือนนั้น ถือว่าเป็นการ “บ่มบุญ”ที่ก่อให้เกิดอานิสงส์หลายประการ เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ สร้างกำลังใจในการทำความดี ตลอดจนการพิจารณาข้อดี และข้อบกพร่องของตนเอง ฝึกฝนอบรมตนในด้านต่างๆ ให้ครบถ้วน ดังนั้น เราจะตั้งใจสั่งสมบุญบารมีอย่างเต็มที่ ให้พรรษานี้เป็นพรรษาแห่งพระเห็นพระ เณรเห็นพระ และโยมเห็นพระ อย่างแท้จริง

สอบถามถามโทร.085-4156464 , 061-7826264