เมเจอร์ฯตอกย้ำความเป็นผู้นำคอนโดลักซ์ชัวรีไทย เวที ASIA PROPERTY AWARD 2016

เมเจอร์ฯตอกย้ำความเป็นผู้นำคอนโดลักซ์ชัวรีไทย ร่วมแชร์ประสบการณ์บนเวที ASIA PROPERTY AWARD 2016 ประเทศสิงคโปร์

ตอกย้ำภาพผู้นำคอนโดลักซ์ชัวรีไทย ผู้บริหารบริษัทเมเจอร์ฯ ร่วมวงแชร์ประสบการณ์พัฒนา
อสังหาฯ มืออาชีพ “ASIA PROPERTY AWARD 2016” เวทีพบปะแลกเปลี่ยนมุมมองอสังหาฯทั่วเอเชีย มั่นใจดีมานด์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อ้าแขนรับนักลงทุน โจทย์หลักนักพัฒนาต้องคิดให้คลิกไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค

ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังร่วมงาน ASIA PROPERTY AWARD 2016 ที่จัดขึ้น ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนสำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จในภูมิภาคเอเชีย ตลอดจนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเพื่อมอบรางวัลเกียรติยศให้แก่โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ของภูมิภาคอาเซียนประจำปี 2016 โดยดร.สุริยาได้มีโอกาสแชร์ประสบการณ์การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ต่อเนื่องจากการคว้ารางวัลบุคคลแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ ประจำปี 2016 (Real Estate Personality of the Year) จากงานประกาศผล ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2016 ครั้งที่ 11 (11th Thailand Property Awards 2016) จัดขึ้นโดยพร็อพเพอร์ตี้กูรู นับเป็นรางวัลอันทรงเกียรติในการยกย่องบุคคลที่มีส่วนช่วยพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีที่ผ่านมา

ความสำเร็จของโครงการ MARQUE สุขุมวิท และ MUNIQ ของบริษัทเมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ นั้นมาจากความทุ่มเทของดร.สุริยาและทีมงาน ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้นำรุ่นใหม่ที่ว่า “วิสัยทัศน์ที่ปราศจากการลงมือปฏิบัติมันเป็นเพียงแค่ความฝัน” ส่งผลให้เกิดการสร้างแนวทางความคิด “อยู่ อย่าง ดี” ซึ่งเป็นหลักการคิดที่ง่าย และนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงกับโครงการระดับลักซ์ชัวร์รี่ ที่ให้ความสนใจในทุกรายละเอียดของการอยู่อาศัย ภายใต้พื้นที่ใช้สอยที่จัดวางด้วยวัสดุคุณภาพอย่างลงตัว ใช้งานได้จริง ตอบทุกโจทย์ของการอยู่อาศัยแบบลักซ์ชัวรีคอนเซ็ปต์ทำให้ ดร.สุริยา เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่แห่งปีที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จอย่างงดงามในที่สุด

“งานนี้ถือเป็นงานใหญ่ในวงการอสังหาฯภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะเชิญวิทยากรที่เป็นนักการตลาด นักวิเคราะห์และนักพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์มาพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมอง ทั้งผู้รู้ในเรื่องออกแบบตกแต่ง ก่อสร้าง ในมุมมองที่ผมนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความปลอดภัยและการลงทุนในประเทศไทยซึ่งผมถือว่าเมเจอร์ฯ ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับ สภาพตลาดกำลังซื้อในเมืองไทยเป็นเรื่องที่นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจ เพราะในช่วงปลายปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่ยากสำหรับธุรกิจอสังหาฯ แต่โครงการของเรากลับเติบโตไปได้ด้วยดี เป็นเพราะเรายึดวิชั่นที่ต้องการจะเป็น ท๊อปไฟว์สำหรับตลาดกลุ่มพรีเมี่ยม ที่โฟกัสมาตั้งแต่แรกแล้วว่าตลาดกลุ่มพรีเมี่ยมเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ เพราะมีกำลังซื้อ ทั้งซื้อเพื่อลงทุน หรือซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง จึงไม่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ โจทย์หลักของเราคือการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และนำมาพัฒนาสินค้า หาอินโนเวชั่นใหม่เข้ามาเพิ่มมูลค่าให้โครงการ พัฒนาสินค้าให้ทันกับเทรนด์และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สำคัญที่ต้องบริหารต้นทุนให้เกิดกำไรมากขึ้น เพราะต้นทุนสำหรับโครงการระดับพรีเมี่ยมนั้น ส่วนใหญ่เป็นทำเลทองที่มีราคาที่ดินสูงมาก ซึ่งขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองที่จะทำอย่างไรให้แข่งขันได้ เช่นเดียวกันกับตลาดในภูมิภาคอาเซียนที่จะมีความหลากหลายขึ้นในอนาคต นักลงทุนจึงต้องโฟกัสกลุ่มลูกค้าของตนให้ชัดเจนเพื่อสร้างโอกาสที่เหนือกว่า” ดร.สุริยากล่าว

โดยมุมมองของ ดร.สุริยา มองว่าแม้ต้นทุนต่อยูนิตจะสูงขึ้น ในเซกเมนต์ระดับพรีเมี่ยม แต่ส่วนใหญ่การพัฒนาจะกระทำบนพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ทำเลทองหล่อ, สุขุมวิท, สาทร และ สีลม เพราะในทำเลดังกล่าวมีอุปทานจริงอยู่ สำหรับแนวโน้มภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียม ซูปเปอร์ลักซ์ชัวรีในกรุงเทพชั้นในกำลังซื้อยังคงมีต่อเนื่อง และจะมีโครงการใหม่เปิดต่อเนื่องเช่นกันเพราะในช่วงปลายปี 2559 มีหลายโครงการที่ชะลอการเปิดตัว โดยวางแผนมาเปิดตัวในต้นปี 2560 นี้โดยในกลุ่มพรี่เมียมเองแล้ว อุปทานของที่ดินมีจำกัด ลักษณะตลาดจึงเป็นตลาดเก็งกำไรค่อนข้างสูง ในปี 60 คาดว่าจะมีคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ ราว 53,000 ยูนิต ส่วนดีมานด์จะอยู่ที่ราว 50,000 ยูนิต ซึ่งถือเป็นปีที่ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยน่าจะกลับมาในทิศทางที่ดีอีกครั้ง นับจากปี 2558 ด้วยปัจจัยหนุนทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐมีความชัดเจนและต่อเนื่อง รวมไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณฟื้นตัว

สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ของเมเจอร์ฯ มีแบรนด์ใหม่อย่างมิวนีค (MUNIQ) โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ (Young Generation) และกลุ่มสตาร์ทอัพ (Startup) เป็นเจ้าของธุรกิจ ที่สนใจความก้าวหน้า คนกลุ่มนี้เลือกให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัว โดยให้ความสนใจในเรื่องของวัสดุพรีเมียม และมีคุณภาพสูง การคมนาคมสะดวก เมเจอร์นิยามศัพท์ใหม่ว่า “Sensible Luxury” โดยปักธงเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงการใหม่สำหรับกลุ่มสตาร์ทอัพทั้งกลุ่มคนไทยและต่างชาติ ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ภายใต้แนวคิด Live as Art ผสมผสานระหว่างศิลปะการใช้ชีวิตกับการออกแบบบนพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว และตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่

ส่วนโครงการ มาร์ค สุขุมวิท (MARQUE SUKHUMVIT) ที่เปิดตัวพร้อมความโดดเด่นของวิวสกายไลน์ที่มีมูลค่าสูงที่สุด และมอบความส่วนตัวมากที่สุด ด้วยพื้นที่เกือบ 4 ไร่ ติดหน้าถนนหลักสุขุมวิท เรียกว่าลงตัวในทุกองค์ประกอบ ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าระดับไฮเอนด์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีฐานะมั่นคงทางการเงิน และเป็นตระกูลเก่าแก่ หรือ เรียกว่าเป็น โอลด์มันนี (Old Money) ซึ่งโดยส่วนใหญ่ซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง และเก็บไว้ส่งทอดเป็นมรดกทรงคุณค่าให้ลูกหลาน รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจชาวต่างชาติที่มาทำธุรกิจในเมืองไทยแล้วต้องการที่พักอาศัยที่มีความเป็นส่วนตัว มีไลฟ์สไตล์อย่างเหนือระดับ เช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ที่เดินทางอยู่เป็นประจำ

โดยมาร์ค สุขุมวิท (MARQUE SUKHUMVIT) เป็นโครงการระดับพรีเมี่ยม ใส่ใจในทุกรายละเอียดของการออกแบบอย่างมีรสนิยม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างพิถีพิถันในการเลือกและใช้ชีวิต ด้วยทำเลที่เทียบเท่ากับถนนออร์ชาร์ด ประเทศสิงคโปร์ ใกล้ศูนย์การค้าชั้นนำ พร้อมวิวสกายไลน์ที่สามารถสัมผัสทัศนียภาพมุมสูงของกรุงเทพฯ ที่มีอัตราราคาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่า 40% นับจากวันแรกที่เริ่มเปิดจอง นับเป็นสัญญาณดีในการลงทุนเพื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างประเทศที่อยู่อาศัยในเอเชียที่ให้ความสนใจและจองเข้ามามากกว่า 20% โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่ให้ความสนใจในส่วนของเพนท์เฮ้าท์ (Penthouse) ที่มีเพียง 7ยูนิต โดยมูลค่าเริ่มต้นกว่า 130 ล้านบาท ด้วยเหตุผลที่มองว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงสามารถพัฒนาได้ต่อเนื่อง ดร.สุริยายังเสริมด้วยว่าปัจจุบันยอดจองทะลุ 80%ไปแล้ว และโครงการจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสแรกของปีนี้โดยราคาเริ่มต้นของมาร์ค สุขุมวิท เริ่มต้น 38.6 ล้านบาท ไปจนถึงเพ้นท์เฮาส์ มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท

โดยภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2559 ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นปีที่ยากลำบากด้วยปัจจัยด้านลบที่สถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยมีอัตราสูงถึง 40% เหตุเพราะตัวเลขหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่เชื่อว่า ปี 2560 หลังจากที่ภาครัฐลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่องเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะระบบราง จะทำให้ธุรกิจภาคอสังหาฯกลับมาสดใสอีกครั้ง และเชื่อว่าจะเติบโตได้ถึง 10% ซึ่งคาดว่าการขยายตัวของโครงการแนวสูงจะเกาะแนวรถไฟฟ้าและแนวถนนตัดใหม่รวมถึงพื้นที่ศูนย์กลางเมืองในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเป็นหลัก ดร.สุริยากล่าวในที่สุด