เผยแพร่ |
---|
พบกับ 2 นักศึกษาวัย 21 ปี “นายกาญจนภูมิ แผ้วฉ่ำ” และ “นายวิตศรุต บุษดี” นักศึกษาชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ (CITE) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ผนึกกำลังกับ AI อัปเกรดเครื่อง “เครื่องชุดทดลองศึกษาการทำงานโดยใช้กล้องจับการเคลื่อนไหว” เติมศักยภาพกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมแบบเท่าตัว ทั้งเพิ่มความรวดเร็วต่อรอบการผลิตที่ช่วยประหยัดต้นทุนและเวลา และเพิ่มปริมาณชิ้นงาน แถมยังรักษาสุขภาพ และคัดกรองบุคลากรที่เหมาะสมให้กับผู้ประกอบการ
จากผลงาน Final Project สู่นวัตกรรม
อาจารย์กันยารัตน์ พูลเพียร เล่าว่า ผลงานนวัตกรรมชิ้นนี้เป็นของ “นายกาญจนภูมิ แผ้วฉ่ำ” และ “นายวิตศรุต บุษดี” นักศึกษาชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ (CITE) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยใช้ระยะเวลา 9 เดือน ในการปลุกปั้นและพัฒนาจนสามารถ ‘แก้ไขปัญหา’ สำคัญในไลน์ผลิตของการทำงานในภาคอุตสาหกรรม ช่วยลดต้นทุนจากการเพิ่ม OT ลดการเสียค่าปรับกรณีผลิตสินค้าไม่ทันตามออเดอร์ ลดการเจ็บป่วยจากโรคออฟฟิศซินโดรม ฯลฯ ประสานทุกอย่างได้อย่างลงตัวระหว่าง ‘เจ้าของธุรกิจ’ กับ ‘พนักงาน’
นอกจากนี้นวัตกรรมดังกล่าวยังมาพร้อมกับ ‘คุณสมบัติ’ ที่ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการทำงานที่ดีขึ้นกว่า ถึง 1 เท่าตัว โดยจากการทดสอบให้พนักงานประกอบชิ้นส่วนเพื่อผลิตชิ้นงาน 35 ชิ้น ปกติเดิมใช้เวลา 20-30 นาที แต่ทว่า ณ ตอนนี้พนักงานสามารถใช้เวลาเพียง 7 นาที เพียงเท่านั้นในยอดชิ้นงานจำนวนดังกล่าว
“ปกติในไลน์การผลิตการกำหนดจำนวนมาตรฐานชิ้นงาน ทำโดยการใช้นาฬิกาจับเวลาและดูว่าพนักงานคนไหนที่ทำเวลาได้ดีที่สุดมาตั้งเป็นเกณฑ์ ซึ่งการวัดเวลาแบบนี้พนักงานอาจจะแค่ทำงานเร่งขึ้นระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะเห็นว่าจับเวลา แต่เมื่อใดที่พนักงานเกิดอาการเมื่อยล้า พนักงานจะเริ่มประกอบช้าลงหรือหยุดพักเบรกด้วยตัวเขาเอง” อาจารย์ระบุ
โจทย์อันท้าทายของ 2 หนุ่มเมื่อได้รับจากบริษัท ไวด์สเปรด โกรว์ จำกัด คือ ทำอย่างไร? ถึงจะพัฒนา ‘ชุดต้นแบบโต๊ะ’ ในการทำงานตัวนี้ให้ ‘พนักงาน’ สามารถใช้ศักยภาพได้ดีและเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องลดความเหนื่อยล้าและความเสี่ยงในการบาดเจ็บของพนักงานไปในตัวอีกด้วย ทั้งคู่จึง ‘เริ่มต้น’ โดยการบันทึกภาพผู้ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องเพื่อศึกษาพฤติกรรมท่าทางการนั่ง จากนั้นนำชุดข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และถอดรหัสด้วย AI กระทั่งได้ออกมาเป็นเส้นกราฟที่บ่งบอก ‘องศา’ สรีระที่เหมาะสมเฉพาะของแต่ละบุคคล
“หลักการทำงานภาพรวมของตัวเครื่องหลังจากที่กดปุ่ม START หน้าจอจะแสดงเส้นกราฟสีเขียวและสีแดง แบบเรียลไทม์บริเวณ 4 จุดสำคัญที่ใช้ในการทำงาน ได้แก่ หัวไหล่ ข้อศอก ข้อมือ สะโพก อยู่ในลักษณะตำแหน่งเส้นสีเขียวที่บ่งบอกท่าที่ดีสามารถทำงานต่อเนื่องหรือไม่ หรือตำแหน่งเส้นสีแดงที่บอกถึงท่าที่เสี่ยงต่อความเมื่อยล้าซึ่งจะลดความเร็วในการทำงาน เพื่อที่จะไปกำหนดท่าทางการนั่ง กำหนดความสูงเก้าอี้ และระยะการจัดวางอุปกรณ์บนโต๊ะควรมีระยะเท่าใด ถึงทำงานได้อย่างรวดเร็ว”
ช่วยวางแผนการผลิตและดีต่อสุขภาพ
“นายกาญจนภูมิ แผ้วฉ่ำ” และ “นายวิตศรุต บุษดี” อธิบายเสริมว่า ผลบวกของการตรวจวัดองศาในการทำงานไม่เพียงช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น การคำนวณเวลามาตรฐานในการประกอบสินค้า 1 ชิ้น ใช้ระยะเวลาอยู่ที่เท่าไหร่ ยังช่วยให้สามารถวางแผนการผลิต นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้กำหนดเวลาพักที่เหมาะสมของพนักงานเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ รวมไปถึงการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรมได้อีกด้วย
“ตอนที่รวบรวมข้อมูลได้มีการรีเสิร์ชเรื่องสุขภาพโดยอ้างอิงหนังสือประกอบ พอเรารู้ว่าร่างกายพนักงานเริ่มมีการเอียงตัว เอียงคอ อยู่ในกราฟเส้นสีแดงเพราะเกิดอาการล้าตอนที่นาทีที่เท่าไหร่ เราก็สามารถกำหนดเวลาพัก ความเสี่ยงเรื่องของภัยหรือโรคออฟฟิศซินโดรม โรคหมอนรองกระดูกที่ส่งผลจากการทำงานซ้ำๆ เป็นเวลานานก็ลดลงตามไปด้วย”
สำหรับความสำเร็จดังกล่าว 2 ว่าที่วิศวกรหนุ่ม เผยถึงทิศทางในอนาคตว่า ตอนนี้ได้วางแผนการพัฒนาต่อในส่วนของการวิเคราะห์อารมณ์จากใบหน้า เพราะระหว่างที่เก็บข้อมูลเพื่อคำนวณองศาพบกับว่าใบหน้าของผู้ปฏิบัติงานเองก็ฟ้องถึงความเหนื่อยล้า หรืออารมณ์ที่ไม่พร้อมในการทำงาน การพัฒนาในจุดนี้จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการ สามารถคัดเลือกได้ว่าพนักงานคนนี้เหมาะกับงานจุดไหน หรือควรทำในส่วนของงานอื่นแทน
“ส่วนตัวพวกเราก็รู้ดีใจกันเป็นอย่างที่ได้รับโอกาส และก็ได้ทำอย่างเต็มที่สำหรับพัฒนาการโมเดลนี้ เพราะหากนำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว อาจจะนำเอารูปแบบส่วนนี้ไปตัวกระตุ้นพนักงานว่า ถ้าทำได้ตามเป้าจะเพิ่มเงินเดือนหรือให้โบนัส เป็นการเพิ่มแรงบันดาลใจให้กับคนที่ทำงานได้ด้วย” ทั้งคู่กล่าวทิ้งท้าย