เผยแพร่ |
---|
ใกล้จะเข้าหน้าฝนแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงกังวลกับปัญหาน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นกับรถ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำไม่ดี ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การเตรียมความพร้อมรับมือกับน้ำท่วมด้วยการทำประกันรถยนต์ และการขับขี่อย่างระมัดระวังในช่วงฤดูฝนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อช่วยป้องกันและลดระดับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
วิธีรับมือรถน้ำท่วม
เมื่อรถยนต์ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม ผู้ขับขี่จะต้องตรวจสอบเบื้องต้นว่าน้ำท่วมอยู่ระดับไหนของรถ และเช็กดูว่าสามารถเคลมประกันได้หรือไม่
1. เช็กระดับความเสียหาย
- ความเสียหายระดับที่ 1
ความเสียหายระดับที่ 1 เป็นความเสียหายที่น้ำเข้าสู่ภายในรถยนต์เพียงเล็กน้อย ระดับน้ำท่วมสูงถึงพื้นรถยนต์ แต่ไม่ถึงเบาะนั่ง สามารถสร้างความเสียหายให้กับส่วนล่างของรถยนต์ เช่น ห้องเครื่องยนต์ คลัทช์คอมแอร์ สายพานแอร์ ไดสตาร์ท ระบบเบรก และผ้าเบรก เป็นต้น
- ข้อควรปฏิบัติ: ชิ้นส่วนรถยนต์ช่วงล่างที่แช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดสนิมได้ เมื่อน้ำลดแล้วให้รีบนำไปตรวจเช็กสภาพ รวมถึงตรวจสอบระบบไฟฟ้าที่อาจเกิดความเสียหายด้วย
- ความเสียหายระดับที่ 2 เป็นความเสียหายที่น้ำเข้าสู่ภายในรถยนต์สูงถึงเบาะนั่ง สร้างความเสียหายให้กับห้องเครื่องยนต์ ขั้วสายไฟต่าง ๆ แบตเตอรี่ พัดลมระบายความร้อน กล่อง ECU น้ำมันเครื่อง ระบบเกียร์ น้ำมันเกียร์ พวงมาลัยไฟฟ้า EPS ระบบเซ็นทรัลล็อก ไฟหน้าและไฟท้าย เป็นต้น
- ข้อควรปฏิบัติ: เมื่อนำรถขึ้นจากน้ำท่วมสูงหรือรอให้น้ำลดแล้ว ควรถอดแบตเตอรี่ออกในทันที และห้ามสตาร์ทรถโดยเด็ดขาด เพราะเครื่องยนต์อาจจะเกิดความเสียหายและทำให้เกิดอันตรายได้
- ความเสียหายระดับที่ 3 เป็นความเสียหายที่น้ำท่วมรถจนมิดหลังคา ซึ่งเป็นระดับความเสียหายที่สูงที่สุด ทำให้ทั้งภายนอกและระบบต่าง ๆ ภายในรถเกิดความเสียหายที่อาจจะไม่สามารถซ่อมได้
- ข้อควรปฏิบัติ: เมื่อนำรถขึ้นมาได้ หรือรอให้น้ำลดแล้ว ห้ามสตาร์ทรถโดยเด็ดขาด เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายที่รุนแรง ระบบไฟฟ้าภายในรถอาจเกิดลัดวงจรได้ และหากพบว่ามีน้ำเข้าไปในแบตเตอรี่ ให้รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ทันที จากนั้นนำรถเข้าศูนย์เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ
2. เช็กว่าสามารถเคลมประกันได้หรือไม่
ถ้าเกิดน้ำท่วมรถ ให้ลองเช็กดูว่าคุณสามารถเคลมเรื่องน้ำท่วมได้หรือไม่ ซึ่งถ้าเคลมได้ ประกันจะมีการจ่ายค่าซ่อมแซม รวมถึงค่าสินไหมทดแทนขึ้นอยู่กับระดับความเสียหายของรถคุณ
- รถเสียหายบางส่วน: ระดับความเสียหายประเภทนี้ ประกันจะเห็นว่ารถยังสามารถซ่อมแซมได้ จึงมีการจ่ายค่าซ่อมแซมให้กับผู้เอาประกัน
- รถเสียหายโดยสิ้นเชิง: ระดับความเสียหายประเภทนี้ ประกันจะเห็นว่าไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้ตามเดิม จึงมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 70-80% ของทุนประกันแทน
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเคลม
- กรณีเคลมประกันได้ เช่น รถติดบนถนนโดยไม่สามารถเลี่ยงได้ หรือเกิดจากฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมทำให้เคลื่อนย้ายรถไม่ทัน และเหตุสุดวิสัยอื่น ๆ เป็นต้น
- กรณีเคลมประกันไม่ได้ เช่น สตาร์ทรถเมื่ออยู่ในเหตุการณ์น้ำท่วม หรือ ขับฝ่าน้ำท่วมขณะที่ได้รับแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้ว เป็นต้น
สรุปบทความ
ข้อปฏิบัติที่ได้แนะนำไป จะช่วยทำให้ผู้ขับขี่รับมือกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ได้ดี ผู้ขับขี่เองก็จะปลอดภัย รวมถึงหากมีประกันที่ครอบคลุมเหตุน้ำท่วมด้วยแล้ว ก็จะหายห่วงเรื่องการซ่อมไปได้เป็นปลิดทิ้ง และถ้าใครที่กำลังสนใจทำประกันรถยนต์อยู่ ขอแนะนำการทำประกันกับโบรกเกอร์อย่าง heygoody ที่คุณสามารถเปรียบเทียบประกันจากบริษัทชั้นนำหลายเจ้าในที่เดียว ถูกใจเจ้าไหนก็สามารถเลือกซื้อได้ตลอดเวลา สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการคนรุ่นใหม่อย่างแน่นอน