ประกวดเรื่องสั้น : Eye to Eye

by AliciaJenkins /deviantart.com

โดย suasuaa

ดวงตาคู่นี้สะกดผมให้ตกอยู่ในภวังค์ครั้งแล้วครั้งเล่า เธอมักพาผมหลุดเข้าไปในห้วงมิติแห่งกาลเวลา ผมอธิบายไม่ค่อยถูกนัก

ทว่า บรรยากาศรอบข้างขณะนั้น คล้ายกับว่าฉุดผมให้เข้าไปในโลกของใครคนหนึ่ง โลกที่ไม่คุ้นเคยและเป็นโลกของเธอผู้เป็นเจ้าของดวงตา หลายครั้งที่ผมพยายามผลักตัวเองให้ออกมาจากโลกของเธอ

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ ผมไม่เข้าใจ ผมอาจจะไม่รู้วิธีการนั้นก็ได้

แต่ตอนนี้ดวงตาคู่นี้พาผมมาไกลเกินที่จะกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน ดูสงบนิ่งแฝงไว้ด้วยท่าทีที่จริงจัง แต่บางครั้งสายตาแดงก่ำดุดันจนน่ากลัว ไม่ใช่นัยน์ตาอันแข็งกร้าว

ทว่า เป็นสายตาที่มีความรู้สึก เหมือนผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวมานับไม่ถ้วน

ทำให้ผมอยากรับรู้เรื่องราวความเป็นไป อยากรู้ว่าต้องผ่านเหตุการณ์ใด จึงทำให้ดวงตามีประกายบางอย่างที่มิอาจบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

ผมจมดิ่งลงไปในห้วงคำนึงกว่าผมจะรู้ตัวผมก็หลงใหลดวงตาคู่นั้นจนอยากจะครอบครองเสียแล้ว

ผมเดินทางไปหลายเมือง หลายหมู่บ้าน เพื่อตามหาดวงตาคู่นั้นที่ผมเคยประสานสายตา ผมจำได้ว่ามีเพียงไม่กี่ครั้งที่เราทั้งสองต่างสบตากันโดยตรง อาจจะเป็นสองครั้งหรือสามครั้ง

ครั้งแรกที่ผมพบดวงตาคู่นั้นเป็นเหตุการณ์บังเอิญในบาร์ชานเมือง ตอนนั้นผมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปกับเรื่องเล่าของเพื่อนที่ชอบสรรหาเรื่องตลกมาให้ฟังอยู่เสมอ แล้วผมก็เป็นคนเส้นตื้นเสียด้วยสิ

ฮ่าฮ่าฮ่า กำลังหัวเราะ ลำตัวพิงผนังอยู่ดีๆ ได้ยินเสียง ตุ้บ! กระทบเข้าไปในโสตประสาทและลำตัวสั่นไหวเพียงเล็กน้อย คงเป็นเสียงอะไรบางอย่างทุบผนังเข้ามา

ผมหันไปมอง เห็นผนังกะเทาะหลุดออกมากลายเป็นรูโหว่ประมาณ 2 นิ้ว พอดีกับที่ผมเห็นดวงตาคู่นั้นจ้องเข้ามา

ผมสะดุ้งเฮือก ดวงตาคู่นั้นเบิกตาโพลงแล้วก็จากไป

วินาทีถัดมาผมได้สติหันไปมองรอบร้าน ปรากฏว่าคนภายในร้านแตกตื่นพอสมควร สุดท้ายผมถามเจ้าของร้านได้ความว่า มีคนพยายามจะทุบผนังร้านเข้ามาเพื่องัดแงะหรือโจรกรรมอะไรบางอย่าง แต่ไม่คิดว่าฝั่งที่ผมนั่งจะมีคนอยู่ แปลกดี

ผมชักติดใจดวงตาคู่นั้นตั้งแต่แรกเห็นแล้วล่ะสิ

ผมยังคงหาดวงตาคู่นั้นไม่เจอ ไม่รู้ว่าตอนนี้เดินทางไปไกลมากแค่ไหนแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใดบนผืนแผ่นดินที่ผมยืนอยู่

แต่ผมก็จะเดินทางตามหาต่อไป

ครั้งที่สองที่ผมเห็นแถมยังได้ข้อมูลใหม่กลับมา และน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเจอ ผมไม่แน่ใจ เพราะผมไม่เคยเห็นหน้าของเจ้าของดวงตาคู่นั้นเลย

คราวนี้ผมไปซูเปอร์มาร์เก็ต ไปซื้อของให้แม่เพื่อมาทำอาหาร ผมเห็นผู้หญิงประหลาดคนหนึ่งทำตัวพิลึกพิลั่นกำลังเดินเลือกของในโซนที่ผมกำลังจะเข้าไปพอดี ที่ผมกล้าใช้คำว่าพิลึก ก็เพราะเธอโพกผ้ามิดหัวเลยนะสิ

ผมพยายามเลือกซื้อของฝั่งตรงข้ามกับเธอ เพื่อจะมองใบหน้าได้อย่างชิดใกล้ แต่ผมมองเห็นเพียงแค่ดวงตาคู่นั้น

ใช่ ผมจำดวงตาคู่นั้นได้เป็นอย่างดี เป็นดวงตาคู่เดียวกันกับที่พบเห็นครั้งแรก

ครั้งนี้ดวงตาของผมประชันกับดวงตาของเธอเป็นเวลานานพอสมควร สงสัยเธอเริ่มเขินจึงเป็นฝ่ายหลบสายตา เบือนหน้า แล้วจากไป ตอนนั้นผมไม่คิดอยากจะตามเธอไปหรอก เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นโรคจิตที่ติดตามสาวพิลึกคนนั้น

พอมาตอนนี้ผมชักอยากจะย้อนเวลากลับไป เพื่อทำความรู้จักกับเธอเสียหน่อย

กว่าจะคิดได้ก็สายไปแล้ว…

ผมรอนแรมเดินโซซัดโซเซ ตามหาดวงตาคู่นั้นไม่พบเสียที ความรู้สึกที่อ่อนล้า อ่อนเพลีย ที่มันทับถมกันมานานๆ ชักเริ่มแสดงให้เห็น เริ่มหมดเรี่ยวแรงกลางคันเหมือนกล้ามเนื้อที่ปวดเรื้อรัง กำเริบ ก้าวขาออกไปต่อไม่ไหว

ผมเริ่มท้อ จนในที่สุดผมแวะนั่งพักที่ร้านบาร์แห่งหนึ่งตรงชานเมือง ก่อนตัดสินใจที่จะเตรียมตัวกลับบ้าน เพราะผมเหนื่อยเต็มทีกับการที่ต้องตามหาหรือไขว่คว้าในสิ่งที่ผมจับต้องไม่ได้

แอ๊ดด… ผมเปิดประตูเข้าไป กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยเข้ามาแตะจมูก

ภายในร้านตกแต่งสไตล์คันทรี เปิดเพลง Your Cheatin Heart ของ Hank William เคล้าคลอ เหมือนในหนังสักเรื่องที่ต้องมีหนุ่มโหดๆ เคราเฟิ้มๆ มานั่งจิบเบียร์กันเป็นกลุ่ม

น่าแปลกที่บรรยากาศภายในร้านตรงข้ามกับที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านี้ บรรยากาศชวนเคลิ้มขนาดนี้ทำไมร้านถึงดูเงียบเหงาวังเวงพิกล

ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในร้านนี้เลย นอกจากผมและเจ้าของร้านมาดเข้ม เคราดก กล้ามโตผมเอ่ยคำทักทายไป เจ้าของร้านตอบกลับด้วยท่าทีเป็นมิตร สงสัยผมคงได้นั่งร้านนี้ไปอีกหลายชั่วโมง เราทั้งสองพูดคุยเข้ากันได้ดีทีเดียว

ผมจึงเผยความรู้สึกบวกกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของผมออกไป ผมเล่าถึงสิ่งที่ผมปรารถนาหลงใหลและอยากครอบครองผมต้องการแค่เพียงใครสักคนรับฟังสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ

ยากจะลบเลือนไปจากความรู้สึก

หลังจากผมได้ปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดแล้ว เจ้าของร้านยิ้มกริ่มพร้อมพูดว่า “เอ็งมาถูกที่ ถูกจังหวะพอดีเชียว”

ผมทำหน้าแปลกใจ เจ้าของร้านจึงพูดต่อ

“เมื่อไม่นานมานี้ มีหญิงสาวคนหนึ่งมาขายดวงตาต่อให้ข้าในราคาพิเศษ แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าใช่ดวงตาคู่นั้นที่เอ็งตามหารึเปล่า”

แววตาผมเริ่มเป็นประกาย แต่ก็ยังไม่หายสงสัยว่าทำไมถึงมีคนมาขายดวงตาให้ เจ้าของร้านตอบ”

เอ้า นี่เอ็งไม่รู้รึ ว่าข้าเป็นพ่อค้าดวงตา อะแฮ่ม… อาจฟังดูพิกลแต่ข้าเป็นพ่อค้าดวงตามาหลายสิบปีแล้วพ่อหนุ่ม สมัยเปิดร้านใหม่ๆ ชอบมีคนมาเสนอขายดวงตาให้ข้ามานักต่อนัก ข้าก็แปลกใจเหมือนเอ็งนี่แหละว่ามันเป็นยังไง พอนานเข้าข้าจึงเข้าใจ เลยเปิดร้านนี้บังหน้าไว้แล้วทำเป็นอาชีพเสียเลย ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ว่าแต่เอ็งไม่เคยได้ยินชื่อเสียงข้ารึ ฮึ สงสัยข้าคงดังไม่พอสินะ”

คำตอบนั้นยิ่งทำให้ผมสงสัยมากเข้าไปอีก เจ้าของร้านเริ่มเห็นท่าทีสนอกสนใจของผมจึงพูดต่ออีกว่า

“ส่วนมากคนที่มาเสนอขายดวงตาให้ เพราะพวกเขาแค่อยากลบล้างความทรงจำอันแสนเลวร้ายจนไม่อาจทนดูความโสโครกของโลกใบนี้ได้อีกต่อไป แต่น้อยคนนักที่จะมาซื้อดวงตาเศร้าๆ เหล่านี้ แล้วส่วนมากข้าก็จะไปขายให้พวกคนตาบอดไม่ก็พวกที่โหยหาความเจ็บปวด…”

พูดเสร็จเจ้าของร้านหันไปจับขวดนั้นดูขวดนี้ที่อยู่ในเคาน์เตอร์บาร์ชั้นล่างสุด จากนั้นจึงหยิบขวดโหลขึ้นมาหนึ่งใบ

“นี่ไง ดูสิ” เจ้าของร้านยื่นมาให้ผมมองใกล้ๆ ภายในนั้นบรรจุดวงตาคู่หนึ่งไว้ ใส่น้ำไว้ครึ่งขวด ผมโน้มตัวมองเข้าไปใกล้อีกนิด

เอ๊ะ! เป็นดวงตาคู่นั้นที่ผมตามหามาตลอดนี่

ผมพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ไม่ว่ายังไงผมยังคงยืนยันความคิดเดิมที่ผมอยากจะครอบครองดวงตาคู่นั้น คล้ายดั่งโดนมนต์สะกด

“ถ้าอย่างนั้นผมขอซื้อดวงตาคู่นี้ได้ไหม?”

ผมเอ่ยออกไปอย่างไม่รู้ตัวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแฝงด้วยความจริงจัง พลันได้สติผมบอก

“ผมหมายถึงผมสามารถครอบครองดวงตาคู่นี้ได้ไหม มันต้องมีเงื่อนไขอะไรรึเปล่า”

พลางคิดหากได้ครอบครองผมจะเริ่มต้นทำอย่างไรก่อนเป็นอันดับแรกดีนะ ตื่นเต้นจัง เมื่อเจ้าของร้านเห็นถึงความตั้งใจแน่วแน่ของผมจึงบอก

“เอ้า อย่างนั้นก็ได้แต่ข้ามีเงื่อนไข ดวงตาทุกดวงสามารถเข้าไปดูความทรงจำของเจ้าของดวงตาได้เพียง 2 ครั้ง ครั้งละ 10 นาที หากเกินจากนี้แล้ว เอ็งจะกลายเป็นเจ้าของดวงตานั้นสมบูรณ์แบบ ไม่สามารถถอดออกมาได้อีก แล้วดวงตาของเอ็งก็จะจากไปอย่างไม่มีวันกลับคืน”

ทุกอย่างไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดายสินะ ต้องมีการแลกเปลี่ยนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเสมอ

“แต่ข้าขอเตือนเอ็งไว้ก่อนเลยนะ เท่าที่ข้ารู้เรื่องมา คนที่ซื้อดวงตาจากข้าไปมักไม่มีผู้ใดได้ดวงตาของตัวเองกลับคืน เพราะคนส่วนใหญ่มักอยากรู้เรื่องของคนอื่นมากเกินไป จนถูกดวงตานั้นครอบงำและดูดกลืนโดยไม่รู้ตัว แต่ก็มีไม่กี่คนหรอกที่เป็นคนปกติอย่างเอ็งมาซื้อ”

เจ้าของร้านพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง แถมพูดต่อว่า

“คนเรามักเป็นเช่นนี้ ไม่เคยพอใจในความรู้สึกที่ตัวเองมี เข้าไปเรียนรู้และดูเรื่องราวของเขาแต่พองาม อย่าให้มันครอบงำง่ายๆ ระวังตัวไว้ให้ดีๆ ล่ะ แล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”

ผมเตรียมใจมาเป็นอย่างดีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยสักนิด การได้เข้าไปมองดูโลกของผู้อื่นสนุกกว่าเป็นไหนๆ

ยิ่งเสพความเจ็บปวดมากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นเกราะกำบังให้ตัวเราเองเข้มแข็งไม่เจ็บปวดกับเรื่องอะไรก็ตามที่มากระทบจิตใจอีกต่อไป ผมพร้อมแล้ว

ผมพร้อมที่จะเข้าไปในโลกของเธอผู้เป็นเจ้าของดวงตาลึกลับคนนั้น

ใครสองคนกำลังเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เป็นหญิงสาวแรกแย้มทั้งคู่ อยู่ดีๆ คนหนึ่งเดินมากระชากมือของผมจับไพล่หลัง

พลังกำลังที่เคยมีตอนนี้กลับไร้เรี่ยวแรง เนื้อตัวอ่อนปวกเปียก

ส่วนอีกคนหนึ่งในมือถือขวดน้ำอะไรบางอย่าง ผมมองเห็นตัวอักษรไม่ถนัด แล้วพูดกับผมด้วยน้ำเสียงกระแทกรุนแรง ซึ่งผมไม่เข้าใจ เขาพูดรัวๆ ใส่หน้าผมด้วยภาษาอะไรไม่รู้ พร้อมสาดน้ำที่ถืออยู่ในมือใส่หน้าผมทันที

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ไม่ทันให้ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจ ตอนนี้ใบหน้าผมร้อนผ่าว รู้สึกแสบไหม้ ผิวหน้าพุพอง เจ็บปวดเหมือนโดนเผาทั้งเป็น

ผมลงไปนอนดิ้นเนื้อตัวบิดเบี้ยวเอามือกุมใบหน้า โอย โอยยยย เนื้อตัวผมจะแตกเป็นเสี่ยง ยิ่งดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไหร่ ยิ่งแสบร้อนมากเท่านั้น โอย ผมทนไม่ไหวแล้ว โอ้ยย…

ผมสะดุ้งตื่นออกจากภวังค์ เหงื่อท่วมตัว หายใจหอบแฮ่ก แฮ่ก ผมเผลอหลุดเข้าไปในห้วงมิติแห่งกาลเวลา ก่อนหน้านั้นผมจำได้ว่าหยิบดวงตาคู่นั้นมาชื่นชม จ้องมองด้วยความหลงใหลจนภาพในหัวมืดสนิท ผมคงกลายเป็นเธอในชั่วขณะ ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยสัมผัส ทุกความรู้สึกที่เธอรู้สึก

ผมสัมผัสได้และรู้สึกอย่างนั้นมาตลอด 10 นาที ช่างเป็นเวลาที่แสนยาวนาน

ผมชักเข็ดขยาดกับความกลัวครั้งแรกที่ผมเพิ่งลิ้มลองความเจ็บปวดของการโดนน้ำกรดสาดหน้าเต็มๆ แต่ต่อมความอยากรู้ของผมมันเอาชนะความกลัว มันกำลังตื่นตัวเต็มที่ สารอะดรีนาลีนหลั่ง มีคำถามอยู่เต็มหัว

ทำไมเธอถึงโดนน้ำกรดสาด?

ทำไมสองคนนั้นจะต้องโมโหขนาดนั้น?

เธอไปทำอะไรมา? แล้วหลังจากนั้นเธอจะเป็นยังไง?

ผมไม่รอช้ารีบนำดวงตาคู่นั้นออกมาพิจารณาอีกครั้ง นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะได้มีโอกาสเข้าไปในโลกของเธออีกครั้ง

แล้วภาพในหัวผมก็มืดสนิทอีกครั้ง

วิ่ง วิ่ง วิ่ง ตอนนี้ผมกำลังวิ่งไปไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าในมือของผมกำลังถือค้อนอยู่ วิ่งสักพักแล้วมาหยุดยืนที่หน้าบาร์แห่งหนึ่ง

จากนั้นผมก็สำรวจพื้นที่บริเวณรอบๆ บาร์ ผมรู้สึกเหมือนกับโดนบังคับให้มาขโมยอะไรบางอย่างในบาร์แห่งนี้ ความคิดยังไม่ทันเตลิด ผมก็เอาค้อนทุบไปที่ผนัง

ตุ้บ!

ผนังกะเทาะหลุดออกมากลายเป็นรูโหว่ประมาณ 2 นิ้ว ผมโน้มตัวมองเข้าไปในรู เห็นดวงตาคู่หนึ่งจ้องเข้ามา ผมตกใจเลยวิ่งหนีออกมา ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไป

ตอนนี้เห็นคนหลายคนออกมานอกบาร์แล้ววิ่งตามกันชุลมุน ผมวิ่งหนีมาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เจอกลุ่มหนุ่มสาวประมาณสามสี่คนกำลังรออยู่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าในมือผมไม่มีอะไร ทุกคนทำหน้าไม่พอใจ เข้ามารุมทำร้ายร่างกายในสภาพที่ผมไร้หนทางสู้

โดนทั้งต่อย กระทืบ เหยียบย่ำ ผมพยายามผลักตัวเองกลับไปในโลกของผมแต่ไม่สำเร็จ

ทุกคนจากไปแล้วแต่ผมยังอยู่ที่เดิม นอนจมกองเลือดใบหน้าพุพองคล้ำจากการโดนน้ำกรดสาด ไม่พอยังต้องมาโดนรุมทำร้าย เนื้อตัวมอมแมมมีบาดแผลนับไม่ถ้วน เนื่องจากถูกบังคับให้ไปขโมยของเพื่อมาประทังชีวิต

ผมเริ่มรับรู้เรื่องราวทั้งหมด ภาพในหัวของเธอเริ่มหลั่งไหลเข้ามาจนผมเริ่มปะติดปะต่อจับใจความได้

ชีวิตก็เป็นแบบนี้ ไม่มีใครเลือกเกิดได้ว่าจะรวยหรือจน ชีวิตของเธอไม่เคยมีความสุขเลยเหมือนตัวละครในหนังน้ำเน่า โดนย่ำยีข่มเหงมาตั้งแต่เด็ก หนำซ้ำโดมาดันไปหลงรักกับหนุ่มที่มีเจ้าของแล้ว เธอเลยโดนข่มขู่ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยโดนน้ำกรดสาด

หลายครั้งที่ผมพยายามผลักตัวเองให้ออกมาจากโลกของเธอ แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ ผมไม่เข้าใจ สงสัยว่าผมอาจจะอยู่ในโลกของเธอเกิน 10 นาทีแล้ว

ตอนนี้ดวงตาคู่นี้พาผมมาไกลเกินที่จะกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง