ประกวดเรื่องสั้นทั่วไป : ศพ

โดย : วิทยากร โสวัตร

ผมต้องใช้เวลาอยู่ที่วัดบ้านเกิด 3 วันเพื่อจดรายชื่อคนตายที่กำแพงหน้าวัดฝีมือช่างญวนซึ่งเก่าแก่เคียงคู่ทิวแถวต้นตาลซึ่งคนอายุ 70 ลงมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเกิดมาก็เห็นแล้วและกรุรอบๆ ฐานศาลาถือปูนหลังเก่า ผมนับจำนวน ตรวจสอบรายชื่ออย่างละเอียด แยกประเภทชาย-หญิง แบ่งกลุ่มอายุและทำช่องหมายเหตุอายุรวมถึงวันนี้แล้วพบข้อมูลที่น่าสนใจซึ่งตรงกับที่ผมบันทึกจากปากคำของแม่

นั่นคือที่กรุรอบศาลานั้นคนตายหนาแน่นอยู่ในช่วงปี 2520-2524 แต่เป็นคนหนุ่มอายุระหว่าง 21-30 ปี ส่วนกำแพงเก่าหน้าวัดจำนวนคนตายค่อนอยู่ในช่วงปี 2490-2495 มีช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป

แต่ผมกลับไม่พบชื่อคนตายที่ผมค้นหาซึ่งต้องอยู่ในช่วงปีนี้และกระดูกก็น่าจะบรรจุไว้จุดนี้ด้วยเพราะผมไม่คิดว่าแม่จะเล่าเรื่องโกหก…

“ตั้งแต่เกิดมา ยังบ่ทันเห็นไผงามทออีลุน”

ในคืนที่ฟ้าฝนคำราม วิญญาณเด็กมักจะจับมือเราไปป้องที่หูทั้งสองแล้วขยับเข้าออกให้เกิดเสียงกังวานของฝนที่หล่นกระทบหลังคาสังกะสี แม่มักจะบอกว่านั่นจะทำให้หูหนวกได้ และคำของแม่ก็ศักดิ์สิทธิ์เสมอ ในยามที่หนาวยะเยือกเหมือนว่าผ้าห่มนวมหนากลายเป็นผ้าผืนบางจนเราต้องดิ้นรนอยู่ไม่สุขและแอบสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มนวมของแม่ และพบว่ามันช่างอุ่นเหลือเกิน เมื่อถามถึงสาเหตุ แม่ก็จะบอกให้อดทนอยู่นิ่งๆ สักพักแล้วความอุ่นจะมาเยือน และคำของแม่ก็ศักดิ์สิทธิ์เสมอ

ยามเมื่อความอุ่นมาเยือน ผมเบิกตาในความมืดรอคอยความหลับ ค่ำคืนมืดสนิท มืดจนกลิ่นหอมละมุนอันหลบเร้นของดอกไม้สีขาวที่กลีบอวบอิ่มละเอียดนุ่มนั้นกล้าเผยตัวเองออกมาแลด้วยก้านดอกที่ยาวแต่อ่อนนุ่ม นั่นเองแม่จึงได้ใช้แทนต่างหู ความหอมที่ยังจิตให้กระหวัดถึงความสะอาดบริสุทธิ์ ตั้งแต่นั้นทุกคราวที่ได้กลิ่นหอมสีขาวของดอกไม้นี้ผมจะมีภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในจินตนาการเสมอ เป็นหญิงสาวนางหนึ่งที่กายผุดขึ้นจากอำนาจแห่งมนตราดั่งดอกบัวที่ผุดขึ้นจากโคลนตม ผิว่าผิวของนางละเอียดนุ่มดั่งกลีบดอกไม้นี้ แลสีผิวของนางผ่องผุดเป็นธรรมชาติดุจดวงดอกไม้นี้ กลิ่นความสาวของนางก็หอมดั่งดอกไม้นี้ และความงามของนางก็งามดั่งดวงดอกไม้นี้ กว่าที่ความหลับจะเดินทางมาถึงในคืนนั้น ดูเหมือนว่าฝนจะซาเม็ดไปแล้ว แต่ค่ำคืนที่กำลังผ่านไปก็ยังคงร้างไร้เสียงร้องของกบหรือว่ามันจะเป็นอย่างที่แม่เล่าจริงๆ?

“กบมันไปกับอีลุน…”

แม้จะเป็นนาลุ่มมีห้วยใหญ่ไหลผ่าน หน้าน้ำขึ้นมีผู้คนมากมายมาดักจับปลา แต่ตลอดฤดูฝนถ้าต้องการหากบ พวกเราต้องออกเดินทางไกลข้ามทุ่งข้ามป่าไปยังทุ่งนาของหมู่บ้านอื่น การหายไปของกบยังคงอยู่ในความเร้นลับของกาลเวลา แต่จะว่าไปแล้วพวกเราก็ไม่เคยฉุกใจถามถึงกันด้วยซ้ำ กระทั่งในบ่ายฤดูร้อนของวันหนึ่ง แม่ในวัยห้าสิบปลายนั่งอยู่ใต้ร่มมะม่วงปลายนา ผมไม่รู้ว่าทำไมแม่จึงเลือกวันนั้น เพราะถ้าไม่แล้วความจริงก็จะหายไปพร้อมกับคนรุ่นนั้น แต่บางทีอาจเป็นเพราะมะม่วงดิบที่ผมกำลังกัดกินอยู่นั้นก็ได้

“ป้า เพินวากบมันไปกับอีลุนแมนบ่” หญิงเฝ้านาถามขึ้นระหว่างข้าวมื้อเที่ยง แม่ตกอยู่ในความเงียบงันยาวนานก่อนจะตอบ “อื้อ…”

ลมแล้งเดือนสี่สงบ จักจั่นเงียบเสียง นกเงียบคำ แม้แต่ใบไม้ก็ไม่ไหวติง ราวกับว่าต่างกำลังนิ่งฟัง ผมกลั้นหายใจ…

 

ผมเช็กข้อมูลใหม่อีกครั้ง เพิ่มจุดสำรวจที่กำแพงโบสถ์และรอบๆ หอกลอง หอระฆังที่สร้างใหม่และธาตุเดี่ยวที่กระจายอยู่ตามวัด แต่เมื่อผลออกมายืนยันตามข้อมูลเดิมผมจึงออกไปสอบถามชาวบ้าน แต่สิ่งที่พบคือคนรุ่นแม่ผมและก่อนหน้าตายไปหมดแล้ว และสืบเสาะหาญาติพี่น้องของอีลุนไม่ได้ เมื่อเช็กกับเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันที่ได้ปรับภูมิทัศน์ของวัดและกำลังสร้างศาลาหลังใหม่ ท่านให้ข้อมูลว่าไม่ได้เคลื่อนย้ายธาตุหรือทุบทำลายกรุ และเพื่อความแน่ใจท่านใช้ให้สามเณรไปเรียกกรรมการวัดและมัคนายกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะขอแยกตัวไปประชุมกับองค์การบริหารส่วนตำบลในเรื่องการขอตัดต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ที่สนามหญ้าหน้าวัดด้านทิศตะวันออกซึ่งเป็นลานกิจกรรมสำคัญของหมู่บ้านตั้งแต่เป็นแคมป์ของทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลก ลานลงข่วงเข็นฝ้าย ลานเวทีหมอลำ หนังกลางแปลงในอดีตและปัจจุบันบางส่วนถูกเทคอนกรีตเพื่อเป็นสนามกีฬาและเป็นตลาดนัดในบางวัน–

ก่อนกลับ เจ้าอาวาสวานให้ผมถ่ายรูปต้นจามจุรีใหญ่นั้นไว้ก่อนที่มันจะถูกโค่นด้วยท่านต้องการข้อมูลจากผมเพื่อจัดทำประวัติหมู่บ้านด้วย ไม้ทรงร่มต้นนั้นแผ่รากใหญ่ออกไปทุกทิศทาง เท่าที่เห็นโผล่พ้นผิวดินออกมาในวงรัศมี 5 เมตร ลำต้นเกิน 5 คนโอบ ตั้งตรงขึ้นไป 3 เมตรกว่าแล้วแผ่กิ่งก้านมหึมาออกไปรอบทิศสูงกว่า 30 เมตรปกใบลงมาเกือบจดพื้นดินด้วยขนาดทรงพุ่มเท่ากับความสูง ผมจำได้ว่าสมัยเป็นเด็กเคยเห็นคนใช้เป็นที่เพาะครั่งซึ่งทำให้เด็กๆ อย่างเราไม่อยากเข้าไปเล่นใต้ร่มใหญ่ใบเย็นนั้นเพราะความเหนอะหนืดสีดำของเยี่ยวครั่ง

เยื้องไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นต้นค้อซึ่งมีอายุมากกว่าเพราะพี่ชายคนกลางซึ่งเกิดปี 2506 บอกว่าเห็นต้นค้อเท่านี้มาแต่เกิด แต่จามจุรีต้นนี้เพิ่งเหยียดต้นผอมแผ่กิ่งใบห่างๆ สูงไม่ถึง 10 เมตรยืนต้นอยู่ข้างส่างแซ่งซึ่งเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ต่อมาผู้คนใช้อาบกิน แต่ตอนนี้ถูกถมไปแล้วซึ่งอยู่ริมถนนหน้าวัดที่พาดจากบ้านใหญ่หรือบ้านใต้มาบ้านน้อยหรือบ้านเหนือซึ่งมีหน้ากว้างเท่าทางหลวง ด้วยเดิมทีนั้นจะถูกใช้เป็นทางเชื่อมจังหวัดกับอำเภอสหัสขันธ์ (ใหม่) ที่ถูกย้ายขึ้นมาจากที่เก่าที่จะกลายเป็นเขื่อนลำปาว

แต่เมื่อมีการสร้างชลประทานห้วยสีทนกั้นห้วยใหญ่ของหมู่บ้านที่ไหลไปสบกับลำน้ำปาวที่ในเมือง ถนนเส้นนี้ก็ถูกน้ำทับจึงยกเลิกไป แม่เล่าถึงถนนใหญ่เส้นนี้อยู่บ่อยครั้งเหมือนว่าความทรงจำของแม่มีฉากหลักเป็นถนนเส้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตา การเล่นของแม่และพี่น้องเพื่อนฝูง แม้กระทั่งศพของอีลุนที่ถูกบรรทุกมาบนเกวียนสู่สนามหญ้าหน้าวัด…

ปีนั้นตามาเบิกนาใหม่เพราะนาเก่าถูกหลวงแจ้งว่าจะเป็นเขตสร้างชลประทานห้วยสีทน จากนั้นไม่นานก็พาลูกเมียย้ายออกจากบ้านใหญ่มาอยู่บ้านน้อยใกล้นา และไม่นานที่นี่ก็เป็นศูนย์รวมของสาวรุ่นซึ่งหนีร้อนมารับลมทุ่งและกินส้มกันด้วยมีต้นมะม่วงขึ้นมากมายในคุ้มนี้ แม่เป็นคนมือไวตีนไว เพื่อนๆ จึงสะดวกรอกินอยู่ข้างล่าง วันนั้นร้อนอบอ้าว ลมเดือนสี่ระบายแก้มบรรดาสาวรุ่น เมฆใหญ่ตั้งเค้ามาจากทิศใต้ ทุกคนแยกย้ายไม่นานฝนใหญ่ก็เทลงมาและตกยาวไปตลอดคืน เช้านั้นยังไม่ทันที่น้ำค้างจะลาใบไม้ แม่ก็ได้ยินเสียงยายร้องหลงมาแต่ไกล ดึงตีนที่กำลังป่ายปีนกิ่งไม้ให้หยุดและฉุดมือจากไข่จักจั่น แม่ลงมายืนอยู่ข้างยาย มือของผู้เป็นแม่กำข้อมือลูกไว้มั่นพร้อมกับกวาดสายตาเรียกหาลูกหลานทุกคนให้เข้ามาในวงแขน

“เมือเฮือน…เมือเฮือน…คนเขาสิฆ่าเอา…คนเขาสิฆ่าเอา…” เสียงยายสั่นด้วยความตื่นตระหนก “อีลุนมันตายแล้ว…อีลุนมันตายแล้ว”

 

กองไฟใหญ่บนเนินเถียงนาลาเปลวไปแล้ว ในจำนวนสิบกว่าหลุมรอบกองไฟที่ขุดไว้ใส่กบมีเพียงหลุมเดียวที่กบยังอัดแน่นกันอยู่หลายชั้น ห่างออกไปราวห้าวาด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ร่างอีลุนพาดอยู่บนคันแทนา ร่างไร้ลมมาหลายชั่วโมงแต่ผิวพรรณยังขาวนวลเปล่งปลั่งน่าอัศจรรย์ ชายผ้าซิ่นร่นขึ้นจนถึงเนินช่องคลอด แขนขวาห้อยตกอยู่ข้างลำตัวมีรอยมีดอยู่ตามลำแขน ฝ่ามือกางยื้อแต่ยับเยินไปด้วยแผลลามมาถึงร่องนิ้วที่ฉีกลึก บางนิ้วห้อยรุ่งริ่ง แขนซ้ายทาบอยู่บนอกเปลือยนมสาวเหวอะหวะเลือดไหลเป็นทางสีดำคล้ำ คอหอยถูกปาด ตาเบิกโพลง ที่ช่องคลอดมีไม้แหลมปักคาไว้

แม่ของอีลุนกลิ้งเกลือกอยู่กับศพ เช็ดคราบเลือดคราบไคลออกจากตัวลูก ปากก็ร้องไห้ไหลหลงหาคนช่วย พ่อมันกุลีกุจอไปหาหมอธรรมแล้วนิ่งเงียบรอฟังคำเสี่ยงทาย มีการจัดพิธีเซียงข่องขึ้นโดยเอาข่องมาแต่งให้มีแขนมีขาคล้ายคน ให้ผู้ชายสองคนจับแขนคนละข้างและตั้งหลักไม้ไว้เป็นตัวแทนของคนแต่ละวัยที่สงสัยว่าจะเป็นคนฆ่า จากนั้นหมอธรรมทำพิธีปลุกเสกเซียงข่องแล้วก็มีแรงสั่นเกิดขึ้นที่ตัวข่องจนคนจับทั้งสองต้องวิ่งออกไปตามแรงนั้น และทุกครั้งที่ปล่อยเซียงข่องออกไปก็วิ่งชนแต่หลักผู้เฒ่า ผู้คนเริ่มกระซิบกระซาบสืบถามเอาความจากกันและกัน

เจ้านายมาถึงก็จวนเพล ผู้ใหญ่บ้านต้อนรับเข้าเฮือนประชุมพูดคุยกันพักใหญ่แล้วพากันออกไปดูศพ เจ้านายดุด่าว่าเอาแม่ของอีลุนที่ไปทำความสะอาดศพลูกสาว แล้วสั่งให้เคลื่อนศพเข้าบ้าน ชาวบ้านแตกตื่นกับเรื่องเข็ดขวงแบบนี้จนต้องให้หมอธรรมเข้าไปบอกเล่ากล่าวความว่าธรรมเนียมคนตายโหงนั้นเขาไม่เอาเข้าบ้าน ถ้าไม่ฝังตรงนั้นเลยก็ให้อ้อมบ้านไปป่าช้าโคกใหญ่แล้วฝัง รอสามรอบปีจึงขุดเอากระดูกมาทำพิธี แต่เจ้านายยังคงยืนยันคำสั่ง

ยามเพลวันนั้นเมฆหมอกเคลื่อนคลุมเข้ามาแต่ไม่หนานัก พอแต่บังบดแสงตะวัน ศพนอนแข็งอยู่บนเกวียน ทางหล่มทำให้การเคลื่อนย้ายลำบาก หลายต่อหลายครั้งที่ผู้คนต้องช่วยกันผลักดันล้อเกวียนและงัดขึ้นจากหล่ม แต่พอถึงตีนบ้าน ขบวนผู้คนก็หยุดยั้งเท้าไม่ก้าวต่อ ฝนเริ่มรินลงมา เกวียนหมุนล้อเคลื่อนไปเพียงเดียวดายในหมู่บ้านที่เงียบร้าง ประตูเฮือนทุกหลังปิดสนิท พ่อมันซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ศพลูกหันกลับไปทางข้างหลังไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว

ในสายฝนรินมีแต่เสียงล้อเกวียนหมุนนำไปสู่สนามหญ้าหน้าวัด เมื่อเกวียนลับไปแล้ว ประตูเฮือนทุกหลังก็แง้มออก ผู้คนเดินออกมาสู่ถนนใหญ่กลางบ้านมุ่งตรงไปสู่ลานศพ เจ้านายเริ่มการพิจารณาคดีความเอาเมื่อคล้อยบ่าย โดยสั่งชาวบ้านให้ไปเอามีดพร้ามารวมไว้ให้หมด ใครซุกซ่อนถือว่ามีความผิด จากนั้นเริ่มพิสูจน์หลักฐานด้วยการเอาอะไรบางอย่างคล้ายกับมะนาวฝานครึ่ง ออกมา (แม่ยืนยันว่าเห็นแบบนั้น) แล้วปาดไปตามคมของมีดพร้า เจ้านายจะหมายเอาเฉพาะคราบที่บ่งว่าเป็นเลือดซึ่งปรากฏบนคมและวินิจฉัยได้อย่างเฉียบพลันทันทีว่าเกิดจากเลือดอะไร

เจ้านายแยกเก็บมีดแหลมเล่มหนึ่งไว้ต่างหากหลังการพิสูจน์หมดทุกเล่มแล้วให้เจ้าของมีดพร้าที่เหลือมารับคืนแล้วสั่งให้ทุกคนกลับบ้าน เมื่อความมืดมาเยือน ประตูเฮือนทุกหลังก็ปิดลง โลกภายนอกถูกปิดตาย แม่ถูกสั่งห้ามลงจากเฮือน คืนนั้นมีเสียงฝีเท้าม้าอึงอลทั่วหมู่บ้าน และหลายคืนต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงลากดึงอะไรบางอย่างฟังอืดๆ หนักๆ พอตื่นเช้ามาก็มีคนผูกคอตาย 3 คนแขวนอยู่บนต้นค้อข้างสนามหญ้าหน้าวัด ค่ำคืนต่อจากนั้นผู้คนมักได้ยินเสียงเหมือนคนถูกมัดคอแล้วลากไปทั่วหมู่บ้าน แม้เสียงลากนั้นจะจางหายไปภายหลังปีที่ 3 แต่คำขู่ว่า “กูสิผูกคอมึงแกลากไปถิ่มเด๊ะ”

ยังติดปากผู้คนต่อมาอีกหลายปี…

 

ผมได้รับโทรศัพท์จากเจ้าอาวาสช่วงสายวันหนึ่งปลายเดือนเมษายนแจ้งข่าวบางอย่างซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ผมต้องการ และถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ท่านอยากให้ผมต่อความทรงจำของหมู่บ้านที่ขาดหายไปกับชาวบ้าน–จามจุรียักษ์ต้นนั้นถูกโค่นลงแล้วโดยใบและกิ่งเล็กกิ่งน้อยชาวบ้านขอไปทำปุ๋ยหมักและฟืน กิ่งขนาดกลางถูกประมูลไปเผาถ่าน กิ่งขนาดใหญ่และลำต้นที่ตั้งตรงจากพื้น 3 เมตรนั้นถูกเลื่อยออกเป็นแผ่นๆ รอบๆ โคนรัศมี 3 เมตรถูกขุดลึกลงไป 5 เมตรก็พบความน่าอัศจรรย์บางอย่าง – ร่างหญิงนางหนึ่งนอนอยู่ในรากแก้วมหึมาสีขาวราวงาช้างและห่อหุ้มอีกชั้นด้วยรากแขนงและรากฝอย ใต้ขดรากที่อุ้มร่างหญิงนั้นไว้เป็นโพลงมีน้ำสีดำเป็นมันเมือกข้นคลั่ก หยั่งไม้ลงไปไม่ถึงพื้น และเมื่อคนดูก็มีซากกบติดขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นคาวโชยแรง ผมขึ้นจากหลุมก็บ่ายแก่แล้วลมยังสงบ ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง ทุกคนจ้องมาที่ผมและเหมือนต่างหยุดหายใจรอฟังบางสิ่ง ผมรู้สึกคอแห้งมองไปรอบๆ เห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนแทะมะม่วงดิบจนเห็นเนื้อสีขาวของมันแล้วก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า “อ้าวคือฝนสิตกแท้”

ในจังหวะเดียวกับที่ผมย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์หนึ่งในชีวิต…

“อ้าวคือฝนสิตก”

ได้ยินเสียงแม่รำพึงถ้อยคำนี้ออกมาหลังจากเล่าเรื่องอีลุน ผมจึงรู้สึกถึงความอบอ้าวของอากาศ พยับแดดเหมือนไอร้อนของแผ่นดินที่กำลังเดือด ความชุ่มชื้นทุกอณูถูกเผาผลาญให้ระเหย แผ่นอากาศถูกเผาไหม้เป็นรูโหว่ คลื่นลมเคลื่อนตัวเข้ามา เมฆใหญ่เริ่มตั้งเค้าและคืนนั้นฝนก็ตกและตกหนัก เสียงมีดกระทบเขียงกลบกลืนเสียงนกปลุกยามเช้า เมื่อรู้สึกตัวผมก็ถูกจับที่ข้อเท้าทั้งสองข้างแล้วถูกลากออกไปจากมุ้ง มือของพี่ชายคนเล็กฝังกลิ่นคาวกบไว้ในข้อเท้าของผม และกลิ่นนั้นคาวคลุ้งไปทั่วบ้าน

ระหว่างที่เดินไปล้างหน้าที่ชานแอ่งน้ำผมลื่นเกือบจะล้ม แรกทีเดียวเข้าใจว่าเพราะตัวเองยังตื่นไม่ดีและสติยังไม่เต็ม แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะเมือกกบ เมื่อเดินถึงโอ่งล้างหน้าซึ่งอยู่หน้าครัว กลิ่นคาวเลือดกบก็คลุ้งออกมาจนผมคอแข็งไม่อาจสีฟันได้ โอ่งมังกรใส่น้ำใช้ใบหนึ่งถูกปิดฝาไว้ ผมได้ยินเสียงกุกกักอยู่ข้างในเลยเปิดออกดู กบอัดเต็มอยู่ในนั้น ผมต้องรีบปิดฝาเพราะกลัวมันจะกระโดดออกมา นั่นเองผมจึงสังเกตเห็นครุถังชามอ่างวางเรียงเต็มในครัวและล้นออกมาข้างนอก ทุกอันถูกปิดฝาไว้และมีเสียงกุกกักอยู่ข้างใน ฝาที่ปิดเหล่านี้ถูกทับด้วยหินฝนมีดก้อนใหญ่ หรือไม่ก็เขียงหรือของหนักอย่างอื่น ที่ไม่ได้ปิดฝาก็ต้องใช้วิธีหักขากบ

ชามอ่างใบเขื่องวางอยู่ตรงหน้าแม่ กบที่คัวแล้ววางเทินทับกันอยู่ในนั้นสูงจนเมื่อเวลาแม่ก้มลงไปคัวตัวใหม่แทบจะมิดหัว พอแม่เห็นผมก็ยิ้มแล้วเรียกให้ไปกินข้าวกับปิ้งกบที่ถูกเตรียมไว้ให้ในตู้ไม้ข้างหลังแม่ “ว่าแมนเนื้อกะฮอกดอนของนางไอ่” แม่พูดกลั้วเสียงหัวเราะพร้อมกับเทน้ำคัวกบในชามอ่างลงใต้ถุนเฮือน น้ำคัวกบเจิ่งนองออกไปลานบ้านและหลากไหลไปที่ถนน ทางไปโรงเรียนที่เราคุ้นตีนมีคราบเมือกลื่นๆ ทำให้เดินลำบาก มันไหลมาจากใต้ถุนของเฮือนทุกหลัง พอเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งลื่นล้มคลุกเกลือกเมือกคาวนั้นพวกเราก็ขยับไปเดินบนขอบทางที่มีหญ้า

ยามเมื่อพักกินข้าวเที่ยง ห่อข้าวทุกห่อมีแต่ปิ้งกบ พอเลิกเรียนกลับบ้านในตอนเย็นก็เกิดมีราวไม้ไผ่เต็มลานบ้านลานเฮือนไปหมด บนราวนั้นมีแต่กบที่คัวแล้วถูกร้อยด้วยตอกไม้ไผ่ห้อยตากไว้กับราว เมื่อถึงบ้านเพียงแต่ก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายเท่านั้นก็ต้องยั้งเท้าไว้เพราะพื้นเฮือนถูกปูทับด้วยเสื่อสาดที่มีกบตากอยู่เต็ม

เมื่อกบแทรกซึมเข้ามาในชีวิตเราในทุกๆ ด้านเสียจนไม่รู้สึกอยากทำอะไร ความเบิกบานหายไปจากใบหน้าเด็กๆ พร้อมกับโรคเบื่ออาหาร แต่ก่อนที่ผู้ใหญ่จะทันรู้ตัวว่าความเคร่งเครียดได้สิงสู่ในตัวเองเสียก่อนหน้านั้นแล้วก็ต่อเมื่อเด็กชายคนหนึ่งถูกพ่อทุบตีเมื่อมันไม่ยอมกินข้าวและเมื่อมันดื้อดึงขืนคำก็ยิ่งถูกทุบหนักขึ้น มันสะอื้นไห้และหยิบกบปิ้งตัวหนึ่งขึ้นมาใส่ปากอย่างเสียไม่ได้ แต่อากัปกิริยานั้นยั่วโทสะของผู้เป็นพ่อ

แต่จู่ๆ แม่ของมันซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ก็ชิงรัวฝ่ามือแรงๆ ลงไปทั้งที่หัวและแผ่นหลังของมันในจังหวะที่มันกำลังกลืนกบเข้าไปโดยไม่ทันเคี้ยวเพราะความกลัว แล้วตามันก็เหลือกถลนหน้าเริ่มเขียวคล้ำ ตัวมันกระตุกขึ้นเหมือนพยายามสูดลมหายใจอยู่หลายครั้งก่อนที่หน้าจะฟุบลงกลางวงข้าว แม่มันร้องไห้กอดศพลูกกลิ้งเกลือกอยู่ตรงนั้น พี่และน้องมันแตกออกจากพาข้าวร้องไห้และอ้วกออกมาจนหมดไส้ เสียงร้องเหล่านั้นเรียกผู้คนให้แตกออกมาดู ศพเด็กคนนั้นถูกเก็บไว้ไม่ถึง 3 วันเพราะส่งกลิ่นแรงเกินไป ระหว่างแห่ศพจากหมู่บ้านไปป่าช้าโคกใหญ่ กลิ่นเหม็นคาวปกคลุมไปตลอดทาง กลิ่นนั้นทำให้หวนนึกไปถึงกบ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ต่างพากันขุดหลุมแล้วเทกบทิ้งลงไปแล้วกลบฝัง

แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้กลิ่นเหม็นเน่าคาวหืนออกมาจากกระเพาะและลำไส้จนต้องล้วงคอให้อ้วกออกมาจนหมดสิ้น…
คืนนั้นฝนตกและตกหนัก

น้ำหลากไหลเข้าไปในหลุมรากต้นจามจุรีนั้นจนเต็มแล้วหลากล้นออกมาเจิ่งนองไปทั่ว กลิ่นศพปนมากับละอองเย็นของฝนปกคลุมหมู่บ้านไว้