ประกวดเรื่องสั้นทั่วไป : ผู้โดยสาร กับ การยอมจำนน

AFP PHOTO / MADAREE TOHLALA

โดย คำลั่น จันทนง

เสียงกระแทกกระทั้นที่ดังติดต่อกันมาเป็นชั่วโมง ตามจังหวะของล้อเหล็กที่บดลงบนรอยต่อของรางเหล็กนั้น ยังคงดังอยู่เหมือนเดิม มันเขย่าชีวิตมากมายที่หอบหิ้วมาด้วยให้ขยับไป-มาตามแรงไหวตัว เสียงหวูดดังเกรี้ยวกราดมาจากหัวขบวน กลไกทุกส่วนยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ หัวขบวนคงเหนื่อยที่สุด เสียงเครื่องยนต์ฟังดูทรงพลัง ออกแรงพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ข้อต่อของแต่ละตู้ต้องรับแรงกระชากอย่างรุนแรงทุกครั้งที่รถพุ่งไปข้างหน้า และรวมทั้งแรงกระแทกทุกครั้งที่สารถีแตะคันเบรก ฟันเฟืองทุกตัวรับแรงบดเบียดอย่างหนัก คันชักที่ต้องส่งกำลังถึงล้อทุกล้อ ออกแรงประสานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเครื่องยนต์ แต่ที่ต้องทนที่สุดคงไม่เกินล้อเหล็กนับร้อยที่เรียงรายอยู่เบื้องล่างสุด มันต้องทนรับน้ำหนักทั้งหมดของรถทั้งขบวนและบดตนเองลงไปบนวิถีของรางเหล็กที่ทอดตัวยาวเหยียดอยู่เบื้องหน้า พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจวางขวางไว้ อย่างไม่สะพรึงกลัว…

ฉันพยายามแทรกตัวผ่านบันไดขึ้นมายืนอยู่บนที่ว่างเล็กน้อยตรงช่วงรอยต่อระหว่างตู้ รถแน่นมากเมื่อผ่านสถานีกลางทางเมื่อครู่ เนื่องจากพายุใหญ่ที่โหมกระหน่ำมาเมื่อเช้า น้ำเอ่อล้นทะลักตัดเส้นทางรถยนต์ขาดหมดทุกเส้น ผู้คนมากมายจึงมีทางเลือกที่ต้องฝากความหวังสุดท้ายเพื่อจะไปยังจุดหมายปลายทางเอาไว้กับรถไฟขบวนนี้เพียงทางเดียว…

ฉันมองลอดช่องว่างของผู้คนเข้าไปในตู้ เห็นแววตาและความรู้สึกหลายๆ อย่างที่แฝงอยู่ในสีหน้าหลายแบบ ชีวิตหลายหลากอัดแน่นอยู่เต็มขบวน คนที่นั่งอยู่ก่อนยังคงนั่งอยู่ที่เดิม คนที่มาทีหลังยืนเบียดเสียดอยู่ตามช่องว่างทุกแห่งเท่าที่มี เมื่อรถชะลอความเร็วและจอดที่สถานีถัดไป ยังไม่มีใครคิดที่จะลงตรงนี้ มีคนใหม่ขึ้นมาอีกถึงแม้ต้องเริ่มห้อยโหนกันบ้างแล้วก็ตาม แต่แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี ความเต็มใจ สำหรับความเหน็ดเหนื่อยเหล่านี้ของพวกเขายังมีให้เห็น แล้วรถก็เคลื่อนต่อไป ขบวนรถหนักกว่าที่เคยเป็นมา ฉันสังเกตเสียงเครื่องยนต์ที่ฟังดูรอบจัดขึ้น แต่ความเร็วของลมที่สวนทางมาปะทะใบหน้ากลับรู้สึกเบาลงกว่าเมื่อครู่ รถคงหนักขึ้นจึงวิ่งช้าลง

รถจอดแวะรับคนตามรายทางตลอดมา ตะวันบ่ายแล้ว ยังไม่มีวี่แววของจุดหมายปลายทาง ทิวทัศน์ที่เคยดูงดงามกลายเป็นความเวิ้งว้างที่น่ากลัว ลมเย็นวูบปะทะใบหน้า ฉันมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเห็นเมฆก้อนทะมึนที่ตั้งเค้าอยู่เบื้องหน้า เดี๋ยวฝนห่าใหญ่คงจะตกลงมา สักครู่รถชะลอความเร็วลงนิดหนึ่ง เมื่อเห็นฝนเป็นสายอยู่เบื้องหน้า แล้วก็กระชากตัวเองพุ่งไปตามรางนั้นอย่างแรง เหมือนเป็นการท้าทายสายฝนที่เห็นมืดมาแต่ไกล

แล้วรถทั้งขบวนก็ปะทะกับลมพายุ ซึ่งแรงเกินกว่าที่คาดไว้ รถเอียงวูบด้วยแรงลมหมุนที่ดูบ้าคลั่ง สายฝนสาดเข้าใส่อย่างดุดัน หน้าต่างรถถูกดึงลงมาปิดหมด แต่ตามรอยต่อของตู้กลับต้องรับการโหมเข้าใส่ของสายฝนอย่างจัง ผู้คนที่ยืนอยู่ พยายามหลบหลีกสุดความสามารถ ใครคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในตู้ กระชากประตูโบกี้นั้นปิดลงเพราะกลัวสายฝนนั้นสาดเข้าไป ฉันก้มหน้าหลบเม็ดฝนผสมลูกเห็บที่สาดเข้ามาอย่างไม่ลืมหูลืมตา คนที่ยืนอยู่ระหว่างตู้เปียกปอนไปหมด หลายคนสบถออกมาแข่งกับเสียงสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงปร้างเหมือนขู่ใจให้กลัว

รถแล่นฝ่าสายฝนนี้อย่างน่าหวาดเสียว เอียงซ้ายที ขวาที แทบตกจากราง พายุร้ายก็ยิ่งโหมกระหน่ำเหมือนได้ใจ เสียงตะโกนโหวกเหวกเริ่มจากคนที่อยู่ระหว่างตู้ก่อน ตามมาด้วยเสียงร้องกรี๊ดของผู้หญิงในตู้ เมื่อรถเอียงวูบทำท่าจะคว่ำให้ได้ คนขับดูท่าจะบ้าบิ่นที่ไม่ยอมเบาเครื่องลงแม้แต่น้อย

เขาคงโหมแรงโยกคันเร่งอยู่ต่อไป เหมือนไม่ไยดีกับเสียงกรีดร้องและตะโกนโหวกเหวกของผู้โดยสาร

 

ความหนาวอย่างน่าสะพรึงกลัวจากพายุฝน ผลักให้ผู้โดยสารที่ทนรับพายุฝนอยู่ตามรอยต่อของโบกี้กระแทกประตูบานที่ปิดนั้น จนประตูนั้นเปิดออก คนหนึ่งตะโกนลั่น เมื่อประตูเปิดผาง

“เฮ้ย… เปียกก็ต้องเปียกด้วยกันสิวะ มารถคันเดียวกันนี่หว่า”

“เราต้องยอมเสียสละคนจำนวนหนึ่งให้ต้องเปียก เพื่อรักษาคนส่วนใหญ่เอาไว้” คนหนึ่งตะโกนสวนขึ้นจากภายในโบกี้ด้วยหลักการคมคายแม้เพียงแค่ไม่อยากเปียก

“แล้วทำไมไม่เป็นแกล่ะ ออกไปซิ ออกไปเสียสละแทนข้าบ้าง ข้าเปียกมาพอแล้ว”

น้ำเสียงที่เคร่งเครียดนั้นสะกดชายคนที่นั่งอยู่ให้หยุดชะงัก

รถเอียงวูบอีกครั้งเมื่อเข้าโค้ง จนคนที่ยืนอยู่บางคนเสียหลักล้มลง เสียงร้องหวีด ดังมาอีกจากโบกี้ถัดไป อาจมีคนตกจากรถบ้างแล้ว

“จะบ้าหรือไงวะ ขับรถอย่างนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้น

“ไอ้ห่า จะพากันไปตายหมดนะสิ” อีกเสียงหนึ่งสอดรับทันที

“ดึงไอ้นั่นสิ สัญญาณฉุกเฉิน” คนหนึ่งออกความเห็นพร้อมทั้งชี้มือไปยังโซ่สีแดงข้างรถ คนที่อยู่ใกล้ กระชากมันเต็มแรง แต่รถยังวิ่งห้อต่อไปเหมือนม้าที่บ้าคลั่ง ชั่วอึดใจ มีเสียงดังผ่านลำโพงว่า…

“รถหยุดไม่ได้ เราจะฝ่าข้ามไป จุดหมายปลายทางสดใสเรืองรองอยู่เบื้องหน้า”

“ไปตายซิ ไอ้เวร…” เสียงตะโกนอย่างฉุนเฉียวดังสวนขึ้นมาจากผู้โดยสาร

“ดูซิ มันไม่ฟังพวกเราเลย…ดึงอีก…ดึงอีก…ให้มันเบาหน่อยก็ดี ไปแบบนี้เสี่ยงเกินไป…”

“เบาหน่อย ช้าหน่อย…ไอ้พวกบ้า…เบาหน่อย…” เสียงดังเซ็งแซ่ อลหม่านไปทั้งขบวน

ชั่วครู่คนในเครื่องแบบพนักงานของรถขบวนนี้ วิ่งกระหืดกระหอบมาจากหัวขบวน เมื่อมาถึงเขาตะโกนลั่น

“ดึงสัญญาณฉุกเฉินทำไม…หัวหน้าเขาบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า เราจะฝ่าข้ามไป”

“ไปลงนรกอย่างงั้นเรอะ” เสียงดังพอกัน สวนขึ้นทันที

“พวกคุณไม่อยากไปถึงที่หมายอย่างนั้นรึ” พนักงานคนนั้นตั้งคำถามย้อนกลับอีก

“ไปแบบเสี่ยงๆ อย่างนี้หรือ… ถ้าต้องคว่ำเสียก่อนล่ะ มันจะมีประโยชน์อะไรกับการอุตส่าห์อดทนเดินทางมาตั้งไกล”

“คว่ำไม่ได้หรอก…เชื่อมั่นเราสิ…เชื่อมั่นเรา” การโต้ตอบดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อน

“คุณรู้ได้อย่างไร ว่าคว่ำไม่ได้”

“คุณมากับเราแล้ว คุณต้องเชื่อมั่นเรา”

“การเชื่อมั่นจะต้องมีเหตุมีผล ไม่ใช่เชื่อกันได้อย่างงมงาย”

“นั่นมันแล้วแต่คุณจะคิด…ผมว่าพวกคุณคิดมากไปเอง…ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ พวกคุณยิ่งต้องเชื่อมือหัวหน้าเรา…”

“อย่าเอาสถานการณ์มาบีบเลย ถ้าเราจะเชื่อมั่นมันต้องเป็นความสุกงอมของเราเอง ที่ได้ผ่านการพิสูจน์ฝีมือคนขับของคุณมาแล้ว…”

“คุณต้องหวังสิ…ต้องมีความหวัง อนาคตเราต้องสดใส…หลังจากพายุร้ายก็คือแสงสว่างยังไง”

“ความหวังนั้นต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง สภาพการณ์ปัจจุบันนี้แหละที่จะเป็นบทตัดสินอนาคตได้ว่า เราควรจะหวังได้หรือไม่…”

“แต่พวกเราต้องพยายามมีความหวังเข้าไว้นะ”

“ที่คุณพูดถึงอยู่นี่ ผมว่ามันคือความเพ้อฝันมากกว่า…”

“พวกคุณไม่กล้าใช่ไหม…” เขาโกรธจนตัวสั่นขณะกัดฟันพูดประโยคนี้ออกมาในที่สุด

“เรากล้าตั้งแต่ตัดสินใจเหยียบขึ้นมาขบวนรถของคุณแล้ว กล้าพอที่ได้ให้เวลาพวกคุณพิสูจน์ตนเองมาระยะหนึ่งแล้ว…แต่มาถึงตอนนี้ เราไม่กล้าพอที่จะให้ความมุทะลุ ไร้สติของพวกคุณนำชะตากรรมของผู้คนนับพันในรถขบวนนี้ไปตายอย่างไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น…”

“นั่นแหละ คุณไม่กล้า…” เขายืนยัน ขณะที่มีผู้คนมากมายห้อมล้อมเขาอยู่ด้วยเหตุผล

“แล้วคุณกล้าพอที่จะเบารถ เพื่อไปได้อย่างปลอดภัยมากกว่านี้ไหม” ผู้คนยังรุกหนักอยู่

“เราทำไม่ได้ เมื่อถึงพายุฝนแล้ว เรารู้ว่า เราต้องฝ่าข้ามไป…เราลดธงไม่ได้…มันเป็นการลดศักดิ์ศรีของเรา” แล้วในที่สุดเขาก็เค้นเอาเหตุผลจากส่วนลึกออกมาจนได้

“นั่นไง…ในที่สุดคุณนั่นแหละเป็นฝ่ายที่ไม่กล้า ไม่กล้าที่จะละจากความรู้สึก เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีโง่ๆ เหล่านั้น…ทั้งที่มันมีเหตุผล มีหลักการมากกว่า…แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะยอมรับความเป็นจริง…”

“แต่เราเป็นขบวนรถไฟ เราต้องรักษาลักษณะของเราไว้”

“ใช่…ขบวนรถไฟ มันต้องนำพาคนทั้งหลายไปสู่จุดหมายปลายทางร่วมกัน หัวใจของการเป็นขบวนรถไฟที่แท้จริงนั้นมันอยู่ตรงนี้ แต่การจะไปอย่างไร จะขับช้าบ้าง เร็วบ้าง ก็ต้องดูตามกาลเทศะ แม้บางครั้งถ้าจำเป็นต้องหยุด คุณก็ต้องหยุด เพื่อรักษาส่วนทั้งหมดไว้และเป็นการรักษาสถานภาพการเป็นขบวนนำพาเอาไว้ด้วย เหล่านี้มันเป็นปัญหาวิธีการที่จะไปบรรลุเป้าหมาย ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นการทำลายคุณลักษณะของขบวนรถนี้ตรงไหน…”

“เรารู้…เรารู้ว่าเราเป็นขบวนรถไฟและเราต้องฝ่าข้ามไป”

“เลิกท่องจำไอ้คำขวัญนั่นสักทีเถอะ มันเป็นคำขวัญปลุกเร้าและช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก หันมามองดูความเป็นจริงดีกว่า”

“เราจะฝ่าข้ามไป…เราจะต้องฝ่าข้ามไป…” เขาตะโกนลั่นเหมือนคนบ้าคลั่ง ขณะที่เสียงพายุฝนกำลังโหมกระหน่ำอยู่อย่างหนัก

นั่นคือข้อสรุปสุดท้ายของการถกเถียงกัน อย่างดุเดือดเผ็ดมันเมื่อครู่… “งี่เง่า” … เสียงสบถดังปิดท้ายการโต้เถียงนี้ การเผชิญหน้าระหว่างเหตุผลของคนสองกลุ่มในขบวนรถเดียวกัน ยุติลงด้วยการท้าทายกันอยู่ในที ขณะที่รถขบวนนั้นยังคงห้อตะบึงอย่างไม่หยุดยั้ง

เสียงเครื่องยนต์ที่เร่งกระหึ่มขึ้นแข่งกับเสียงฟ้าร้องและรวมทั้งเสียงฟ้องร้องของผู้โดยสาร จากสายโซ่สัญญาณฉุกเฉินที่ถูกดึงจนแทบขาด…

 

พายุฝนเบาเม็ดลง สถานีถัดไปอยู่อีกไม่ไกลนัก แต่ที่น่าห่วงกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่ก็คือ เมฆฝนที่ก่อตัวทะมึนครึ้มยิ่งกว่า อยู่ที่ขอบฟ้าเบื้องหน้า

“บอกให้รถจอด เราจะลงที่สถานีข้างหน้า…” เสียงจากผู้โดยสารที่ยืนอยู่ดังขึ้นอีกครั้ง

“พวกคุณจะลงรถยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางเลย” พนักงานที่ยังอยู่ตรงนั้นพูดขึ้น

“เราไม่พร้อมสำหรับการเดินทางร่วมกับความสุ่มเสี่ยง และความไร้เหตุผลที่อับเฉาเบาปัญญานี้”

“พวกคุณไม่กล้า” เขาชี้มือกราดไปยังผู้โดยสารที่ออกมายืนออกันอยู่ใกล้ทางลง

“ใช่แล้ว เราไม่กล้าพอที่จะเป็นคนดื้อดึง อวดดี อวดฉลาด ทั้งที่ไม่มีปัญญาสำหรับการนำพาผู้คนเลย เราไม่กล้าพอที่จะเป็นอย่างพวกคุณ ไม่กล้าพอที่จะอยู่ภายใต้การนำพาของพวกคุณ”

“ถ้าพวกคุณลงที่นี่ พวกคุณต้องเปียก คุณก็จะเจอพายุฝนที่สถานีนั่นอยู่ดี” เขาพูดเสียงดัง

“เราพร้อมที่จะเสี่ยง เพราะเราคิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ยังมีความหวัง…”

“พวกคุณละทิ้งจุดหมาย” เสียงของพนักงานคนนั้นฟังดูสั่นเครือ

“นั่นเป็นนิสัยของพวกคุณกระมังที่ชอบสรุป และใส่ความคนที่ไม่เชื่อพวกคุณอย่างนี้”

“พวกคุณไม่ทรหด ไม่อดทน” เขาพยายามต่อด้วยความรู้สึกที่กดดันยิ่งนัก

“เราจะไม่ยอมให้พวกคุณจูงจมูกไปด้วย ความศรัทธา งมงาย ที่ไร้เหตุผล”

“พวกคุณได้เปลี่ยนสีแปรธาตุ…” หลังคำต่อว่าต่อขาน ที่เข้มข้นรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นั้นได้เดินทางมาถึงจุดนี้จนได้ เมื่อพนักงานอาวุโสบนขบวนรถไฟคนหนึ่งซึ่งยืนฟังมาตลอดมิได้กล่าวสิ่งใด แม้มีทีท่าสุขุมสุภาพยิ่งนักกลับเป็นผู้ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างดุดัน

“ไอ้พวกยอมจำนน” คำสบถสุดท้ายของพนักงานคนนั้นดังลั่นตู้รถไฟ

“ใช่ เราคือพวกยอมจำนน ยอมจำนนต่อความถูกต้องและไม่เคยก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะที่ใดและกับใคร ไม่ว่าจะเป็นพายุฝนนั้นหรือกับพวกคุณ”

ผม ที่ยืนฟังมาตลอดก็ได้ตะโกนตอบไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจในทุกคำพูดที่เป็นเหมือนดั่งตัวแทนความรู้สึกของผู้คนอีกมากมาย…

 

รถชะลอความเร็วลงและจอดที่สถานีกลางทางนั้น ผู้ยอมจำนนก้าวลงจากขบวนรถไฟเป็นสายยาว อากาศหนาวเนื่องจากฝนที่ยังตกพรำๆ แผ่คลุมอยู่ ทั้งยังรุกเข้าครอบคลุมหัวใจของคนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเดี๋ยวนี้พบแต่ความเวิ้งว้าง ว้าเหว่…อย่างที่สุด

พวกเขานั่งมาตลอดทางและยังคงนั่งต่อไป

แต่สำหรับคนอีกจำนวนหนึ่งพวกเขาก้าวขึ้นมาทีหลังและลงก่อน ในหัวใจของพวกเขากลับร้อนรุ่ม อบอุ่นไปด้วยความรู้สึกใหม่ๆ…พวกเขามองไปยังเมฆทะมึนเบื้องหน้า และขบวนรถไฟที่จากไปอย่างเย้ยหยัน ถึงแม้อากาศภายนอกหนาวและฝนยังตกพรำ แต่หัวใจที่รุ่มร้อนด้วยเพลิงแห่งความหวังใหม่ ช่วยให้พวกเขาอบอุ่นอยู่ได้…

หัวใจที่ไม่เคยยอมจำนนของพวกเขาพองโตด้วยความปีติยินดี ที่เขากล้าพอสำหรับการตัดสินใจที่จะเป็นผู้โดยสารที่ยอมจำนนของรถไฟขบวนที่เพิ่งผ่านไปขบวนนั้น…