สิ่งที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน เกี่ยวกับ ความเสียใจ ของท่านโซอิจิโระ ฮอนดะ ที่มีต่อแอฟริกาทวินสีแดง

วันนี้เป็นวันที่เจ็ดของการเดินทางมากับทัวร์ในประเทศเวียดนาม รถยนต์สามคัน และมอเตอร์ไซค์สิบสี่คัน ระยะทางจากดาหลัตไปเปลกู ประมาณสามร้อยเจ็ดสิบห้ากิโลเมตร และกูเกิลประมาณเวลาในการเดินทางไว้ที่แปดชั่วโมงยี่สิบห้านาที

หากเวลาที่ใช้มากอย่างนี้ คาดการณ์ได้เลยว่า หากไม่เป็นการจราจร ก็ต้องเป็นสภาพถนนที่ไม่เอื้อต่อการใช้ความเร็ว

เราสายชิล ขี่ช้า จึงต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง เอ้ย ต้องปฏิรูปการเดินทาง โดยการออกก่อน ถึงทีหลัง ตามกำหนดที่ทัวร์แจ้งไว้ คือออกเจ็ดโมงเช้า เราต้องออกเช้ากว่านั้น

ณ เวลาหกโมงเจ็ดนาที ในเวลาไทยที่แสดงอยู่บนหน้าจอของดูคาติ หรือตีห้าเจ็ดนาทีในเวลาเวียดนาม อุณหภูมิสิบแปดองศา เป็นเช้าที่เยี่ยมยอด เหมาะแก่การขี่มอเตอร์ไซค์

ดูคาติส่งเสียงอันธพาลน่าฟัง ผ่านท่อไอเสียคู่ใต้เบาะของมัน แสดงความพร้อมอย่างเต็มที่ และเมื่อเจ้านายของมันปล่อยคลัตช์และบิดคันเร่งอย่างนุ่มนวล ล้อของมันก็หมุนพาให้ดูคาติสีเหลืองเคลื่อนตัวอย่างงดงามสมบูรณ์แบบ สู่ถนนที่ประกอบด้วยโค้งอันสวยงามของเมืองดาหลัต

วันที่สวยงามถูกเริ่มต้นขึ้นอย่างดีที่สุดที่เป็นไปได้

เราผ่านเมืองดาหลัต มุ่งตรงสู่ทางด่วนสาย CT14 ขนาดสี่เลนถนนราบเรียบ ที่ไม่อนุญาตให้มอเตอร์ไซค์วิ่ง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เราสามารถจะวิ่งได้

อยู่บนทางด่วนประมาณยี่สิบกิโลเมตร ก็ถึงทางเลี้ยวสู่ถนน QL27 ถนนสายเล็กไม่มีไหล่ถนน ลาดยางแบบหมดสภาพ เต็มไปด้วยหลุมบ่อ และเมื่อคืนมีฝนตก หลุมบ่อจึงเต็มไปด้วยน้ำ

ช่วงเริ่มต้นของถนน QL27 อยู่ในความเป็นเมือง มีตลาด มีโรงเรียน และเราผ่านไปในช่วงเวลาเร่งด่วนพอดี ในเวียดนาม รถใหญ่ไม่สนใจรถเล็ก เขาคงเห็นมอเตอร์ไซค์เหมือนแมลงหวี่ แมลงวัน นึกจะแซงสวนมาก็แซง โดยไม่สนใจว่าเรากำลังสวนไป

เราต้องหลบหลุม ฟันฝ่ารถติด หลบรถสวน ซึ่งการหลบรถสวนมาทำให้เราต้องใช้ขอบถนนจนหมดทุกเซนติเมตรเลยทีเดียว

เรามาถึงจุดเช็กพอยต์แรกเป็นปั๊มน้ำมันอยู่ซ้ายมือ ในเวลาประมาณหกโมงยี่สิบเอ็ดนาทีในเวลาเวียดนาม หนึ่งชั่วโมงกับสิบห้านาที เราทำระยะได้หกสิบกิโลเมตร

เราเริ่มจะรับรู้ได้ว่าคงไม่ง่ายนักในวันนี้

ตั้งเป้าไว้ว่า หากเราได้กินอาหารเช้าที่บวนมาถวด ซึ่งเป็นเช็กพอยต์ที่สาม ระยะทางจากจุดเริ่มต้นประมาณสองร้อยกิโลเมตร ถือว่าสวยแน่นอน เพราะเราได้ระยะทางเกินครึ่งก่อนเที่ยง จอดไม่นาน เราจึงออกเดินทางไปยังเช็กพอยต์สองทันที

ระยะทางจากเช็กพอยต์หนึ่งไปเช็กพอยต์สอง ประมาณแปดสิบสองกิโลเมตร กูเกิลคำนวณไว้ว่า น่าจะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง

สิ่งแวดล้อมค่อยๆ เปลี่ยนจากสภาพความเป็นเมืองไปเป็นภูเขา สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ ถนนยังคงไม่มีไหล่ทาง และรถที่สวนมายังคงไม่เห็นเราอยู่ในสายตา เราจึงต้องใช้ทุกเซนติเมตรของถนนลาดยางมะตอยหมดสภาพเหมือนเดิม

แต่สิ่งที่แย่ลงคือสภาพถนน สภาพถนนแย่ลงไปมาก

นัยมาด้วยฮอนด้า ฟอร์ซ่า สกู๊ตเตอร์สามร้อยซีซี และใครๆ ก็รู้ว่ารถญี่ปุ่นมีความทนทาน บำรุงรักษาง่าย และค่าบำรุงรักษาก็ไม่แพง นัยก็รู้…มันจึงขี่แบบไม่เห็นหลุมอยู่ในสายตา ไม่หลบ ไม่เบา ขี่ผ่านไปเลย รถมอเตอร์ไซค์ทัวร์ริ่งแอดแวนเจอร์ที่มาด้วยกัน ยังขี่แบบแซงไม่ลง

ส่วนแอฟริกาทวินสีแดงของพี่ป๊อกที่มีพี่หมวยนั่งเป็นตุ๊กตา แกว่งหัวที่สวมไว้ด้วยหมวกใบใหญ่ ซ้อนอยู่ข้างหลังน่ะ ไม่ต้องห่วงเลย แซงทุกคน แซงทุกคันไปแทบไม่เห็นฝุ่น ด้วยช่วงล่างที่ยอดเยี่ยมทนทายาทของมัน และทักษะการขี่ของเจ้านายของมัน

แซงไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า แซงไปแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไฟท้ายก็ไม่ได้เห็น ไอเสียก็ไม่ได้ดม

ชื่นชมพี่หมวยนั่งแกว่งหัวด๊อกแด๊กด๊อกแด๊กอย่างน่ารักอยู่ได้ไม่เกินกะพริบตาสามครั้ง แอฟริกาทวิน และพี่หมวยก็หายลับไปกับเส้นขอบฟ้าของประเทศเวียดนาม

เราล่ะ…ดูคาติ สแครมเบลอร์

สแครมเบลอร์ แปลว่ามีความพร้อมที่จะวิ่งทางฝุ่น แต่เมื่อมันมาอยู่กับดูคาติน่ะ มันไม่ได้แสดงไว้เลยว่ามันมีความพร้อม คู่มือก็เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า มันเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ถูกออกแบบมาให้วิ่งบนทางเรียบ ช่วงยุบของช่วงล่างหน้าและหลัง ก็แสดงออกมาเช่นนั้น มันเป็นเพียงดีไซน์

ดีไซน์สแครมเบลอร์ ไม่ใช่ฟังก์ชั่นสแครมเบลอร์

เมื่อบวกกับทักษะการขี่ออฟโรดของเรา ซึ่งไม่มี ทำให้ดูคาติ สแครมเบลอร์ ขี่ไปแบบเก็บทุกหลุมอย่างนุ่มนวล สง่างาม ชวนมอง

เรามาถึงบวนมาถวดในเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงนิดๆ สำเร็จดั่งใจหมาย แล้วก็พิจารณาการขี่ในช่วงเช้าที่ผ่านมา

เวียดนามน่ะ มอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ใหญ่ ยังมีคนใช้น้อยมาก หลายๆ คนที่เราพบแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เคยเห็นมอเตอร์ไซค์ใหญ่ยักษ์ที่งดงามขนาดนี้มาก่อน และคนจำนวนมากเห็นมันผ่านหนังสือหรืออินเตอร์เน็ตเท่านั้น ผู้คนเวียดนามที่ได้เห็นมันจึงชอบดูความงดงาม ความใหญ่โต และพลังบางอย่างของมัน

แต่ก็นั่นแหละ แต่ละคันขี่กันเร็วมาก ทั้งด้วยทักษะของคนขี่ และด้วยศักยภาพของมอเตอร์ไซค์ ไม่เหมือนดูคาติ สแครมเบลอร์ ที่ขี่ผ่านไปอย่างแช่มช้าสง่างามนุ่มนวล หากมีหนุ่มสาวชาวเวียดนามกำลังพลอดรักกัน ชายหนุ่มผู้มีความรักในการขี่มอเตอร์ไซค์คงจะมองเห็นมอเตอร์ไซค์สีเหลืองสด

มอเตอร์ไซค์ที่สะกดสายตา สะท้อนแสงแดด แหวกว่ายผ่านสายลม ค่อยๆ หย่อนล้อหน้าที่หุ้มไว้ด้วยยางพีรารี่ เบรดเบรมโบ้คู่ ยึดไว้ด้วยโช้กหัวกลับขนาดอวบอั๋นสมส่วน

ตามมาด้วยถังน้ำมันรูปทรงงดงามหยาดเยิ้ม เครื่องยนต์แอลทวินสูบคู่ระบายความร้อนด้วยอากาศ พร้อมระบบวาล์วไร้สปริง อันเป็นซิกเนเจอร์ของดูคาติ ติดตามมาด้วยโช้กเดี่ยว คู่กับสะวิงอาร์มหลังที่โค้งราวกับสะโพกที่งดงามของคิมคาร์เดเชียน

ข้างบนมีเบาะโค้งกว้างใหญ่นั่งไว้ด้วยชายผู้หล่อเหลาราวรอสซี่ (อยู่ในหมวกกันน็อก หน้าเหมือนกันทั่วโลก) มีพุงเล็กน้อยแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และความรักความเอาใจใส่จากภรรยา

ตามมาด้วยล้อหลังขนาดใหญ่ยักษ์ กับยางพีรารี่เอ็มทีหกศูนย์ลายปุ่มที่สวยงาม ปิดท้ายด้วยป้ายทะเบียนประเทศไทยลอยสูงเด่นท้าทายแรงโน้มถ่วงโลก พร้อมเสียงอันธพาลน่าฟัง

หนุ่มคงจะเปรยกับสาวคนรักว่า “น้องช่างงดงามราวกับมอเตอร์ไซค์สีเหลืองคันนี้…น้องก็งาม มอเตอร์ไซค์ก็งาม อ้ายมีความสุขยิ่งนัก…”

สาวเจ้าคงจะขวยเขินที่ถูกยกย่องให้ตัวเองมีความงามระดับดูคาติ

แต่หากเป็นสายโหด บิดอย่างเดียวผ่านไปล่ะ โดยเฉพาะฮอนด้าแอฟริกาทวินสีแดงนั้นน่ะ

ยิ่งใหญ่อลังการ วิ่งผ่านสายตาของชายหนุ่มหญิงสาวที่กำลังพลอดรักกัน

ผ่านไปด้วยความเร็วสูง

แทนที่ไอ้หนุ่มนั้นจะบอกว่า “ดูสองคนนั้นสิ แต่งตัวเหมือนกัน กะหนุงกะหนิงกันบนมอเตอร์ไซค์ที่สวยงามแอฟริกาทวินสีแดง สีแห่งความรัก…ความรักของเฮาสองคน”

แต่ด้วยความเร็วปานสายฟ้า มันจะไปเห็นอะไรล่ะ

มันคงมีเพียงคำถาม

คำถามที่ทำให้ท่านโซอิจิโระ ฮอนดะ เสียอกเสียใจ ที่ไม่ได้โชว์ความงดงามของมอเตอร์ไซค์แอฟริกาทวิน

คำถามที่ทำให้ความโรแมนติกของชีวิตรักหนุ่มสาวลดน้อยลง

คำถามที่ไม่รู้จะตอบว่าอะไร

คำถามที่เราเคยได้ยินกัน

“อ๊ะ น้อง อะไรแว้บๆ อ่ะ”

5555555555555555