เรื่องสั้น : ขริบ (จบ)

ย้อนอ่าน ตอนแรก 

แม้ว่าจะจบจากปอเนาะ แต่เธอเป็นผู้หญิงมุสลิมที่ค่อนข้างสมัยใหม่ในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องความคิดความอ่านบางอย่าง ความคิดเรื่องการทำงาน ถ้าอยู่นอกเครื่องแบบเธอเป็นคนช่างแต่งตัว ผ้าคลุมผมที่เห็นนั้นไม่เคยซ้ำ และเธอก็ไม่เคร่งครัด บางครั้งก็นั่งกินข้าวกับผมในร้านข้าวไทยพุทธที่ผมสั่งกะเพราหมูกรอบ เธอก็กินข้าวผัดกุ้ง (แน่นอนว่าห่างจากตัวจังหวัดที่เราอยู่) ดูเหมือนเธอจะโอนอ่อนผ่อนตามผมไปเสียทุกเรื่อง แต่เมื่อถามว่า ถ้าเป็นเธอที่มานับถือศาสนาพุทธได้หรือไม่ เธอบอกไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเธอตกนรกแล้วได้ออกจากนรกเป็นคนสุดท้ายก็ยังดีกว่าเข้านรกแล้วไม่ได้ออกมาเลย–ว่าไปนั่น แต่ถึงจะมีความคิดสมัยใหม่ ผมก็ยังคิดว่ามีข้อยกเว้นอีกเรื่อง

แม้ไม่ได้คิดเรื่องเซ็กซ์กับเธอ แต่ก็รู้สึกตลอดเวลาว่าเธอหวงพรหมจรรย์ จนมารู้ทีหลังว่าเธอขยะแขยงการมีเซ็กซ์ มันเนื่องมาจากข่าวข่มขืนที่ผมกับเธอนั่งดูด้วยกันผ่านจอโทรทัศน์ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธออาเจียนออกมาแทบจะทันทีไม่ทันวิ่งไปห้องน้ำ เมื่อในข่าวประกาศว่า คนที่ข่มขืนเด็กหญิงอายุ 13 จนท้องนั้นเป็นปู่วัย 70 ปีของเด็กหญิง แถมมีพ่อเลี้ยง บวกลุงด้วย จนไม่รู้ว่าเด็กในท้องเป็นลูกใคร

เธอไม่ได้หวงพรหมจรรย์ เธอว่า แต่เธอเกลียดกลัวการมีเซ็กซ์จนไม่อยากจะเห็นหรือได้ยิน น้ำตาปริ่มขอบตา ปากสั่น เสียงสั่น ทั้งขนแขนของเธอลุกชันไปด้วยขณะพูดคุยกับผม

สิ่งที่ผมได้รับรู้–เมื่อเธอเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ เกือบถูกพี่ชายของเพื่อนหลอกไปข่มขืนด้วยการชี้ชวนให้ดูกระต่ายที่เลี้ยงไว้หลังบ้าน ทั้งๆ ที่บ้านนั้นไม่ได้มีกระต่ายอยู่จริง สองพี่น้องนั่นร่วมมือกันโกหก แต่สุดท้ายพระเจ้ายังเห็นใจเด็ก 7 ขวบ เธอโชคดีอย่างเหลือล้นที่รอดมาได้เพราะยายของเพื่อนกลับมาที่บ้านและมาช่วยไว้ทัน หลายปีหลังจากนั้น เธอได้ข่าวว่าพี่ชายของเพื่อนไปทำมิดีมิร้ายกับวัวตัวเมีย ส่วนที่โรงเรียน เธอกับเพื่อนทะเลาะกัน เพื่อนป่าวประกาศว่าเธอถูกพี่ชายตนเองข่มขืนมาแล้ว จนครูต้องพาไปตรวจร่างกายอย่างเร่งด่วน

เรื่องนี้ทำให้ผมนิ่งอึ้ง…ผมเชื่อมาตลอดว่าในสังคมมุสลิม โดยเฉพาะชายแดนใต้ ไม่มีเรื่องชายมุสลิมข่มขืนหญิงมุสลิม ข่าวในทีวีก็แทบไม่มีให้เห็น เสียงเล่าของเธอกับน้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสายพร้อมๆ กัน

เหตุการณ์ต่อมา เกิดขึ้นเมื่อเธอเรียนพยาบาลได้ไม่นาน ช่วงปิดเทอมเธอเลือกที่จะทำงานพิเศษเพื่อหารายได้เสริม จึงรับหน้าที่ดูแลพิเศษชายชราผ่าตัดสมองคนหนึ่ง แรกทีเดียวเธอเข้าใจว่าชายชราเอ็นดูเธอ และก็เข้าใจอีกว่าอาจเป็นเพราะความคิดถึงลูกคิดถึงหลานจึงอยากเห็นเธอนั่งเฝ้าใกล้ๆ ตลอดเวลา เธอจึงเฉยๆ เมื่อชายชราจับมือแล้วทำตาเศร้า แต่เมื่อหญิงชราผู้เป็นภรรยาหลับไปบนโซฟาในห้องเท่านั้น เธอกลับถูกชายชราพยายามจะลวนลาม เขาจับแขนเธอแล้วจูบซ้ำๆ บนท้องแขน น้ำลายเหนียวหนืดติดมาด้วย เธอรีบดึงแขนออกมา

“คุณตาจะทำอะไร”

ชายชราทำเสียงจุ๊ๆ แล้วบอก

“เบาๆ เดี๋ยวยายแก่ตื่น”

เธอว่า-ไม่รอให้ใครตื่นทั้งนั้น เดินตัวตรงออกจากห้องเข้าห้องน้ำ ขัดถูแขนจนถลอก อาเจียนออกมาจนหมดเรี่ยวหมดแรง และยกเลิกเฝ้าไข้คนอื่นตั้งแต่นั้นมา เงินค่าจ้างที่ทำก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้รับ

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอเลิกคิดเรื่องการแต่งงาน หวาดกลัวที่จะใกล้ชิดกับผู้ชายโดยเฉพาะคนแก่ แม้จะมีคนพาผู้ชายมาดูตัวเธอถึงบ้านหลังเรียนจบ แต่เธอถามกลับไปว่า ผู้ชายได้เงินสินสอดจากไหน ขอพ่อแม่หรือไปติดหนี้ยืมสินใคร พ่อกับแม่เธอหน้าม้านไปหลายวัน

…แต่เธอหัวเราะตอนพูดเรื่องนี้ให้ฟัง

ผมออกจะแปลกใจที่เธอเล่าเรื่องเหล่านี้กับผม เคยคิดว่า–เธอไม่นึกว่าผมอาจจะเกลียดเธอ ขยะแขยงเธอบ้างหรือ หรือไม่คิดกลัวผมเหมือนกลัวผู้ชายคนอื่นๆ หรืออย่างไร แต่ที่ผมไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือ ถ้าเธอเกลียดกลัวการมีเซ็กซ์ขนาดนั้น เธอจะมาคบกับผมทำไม

“ถ้าอย่างนั้น–ทำไมจึงเป็นแฟนกับพี่” ผมถามเธอ

เธอเงียบไปอึดใจเหมือนรอคอยให้คำตอบมาหา “…ไม่รู้สิ อาจจะต้องการความรัก…มั้งนะ? และเซนส์ฉันบอกว่าพี่คือผู้ชายที่สุภาพที่สุดที่เคยเจอมา ฉันมั่นใจว่าพี่จะไม่มีวันทำอะไรฉัน”

ผมรู้สึกถึงหัวใจที่พองคับอก ไม่เคยมีแฟนคนไหนชมผมอย่างนี้ ซ้ำยังถูกด่าเมื่อตอนเลิกกันอีกด้วย แต่เมื่อเด็กสาวต่างศาสนาอย่างเธอพูด ผมรู้สึกราวจะลอยได้ ไม่แปลกนักหรอก ผมสัมผัสได้ว่าในจังหวัดชายแดนใต้แห่งนี้ ไม่มีใครมองทหารว่าเป็นคนสุภาพหรือน่าคบหา หรือน่าเข้าใกล้ ยิ่งข่าวเด็กสาวมุสลิมกับทหารต่างถิ่นหนาหูมากเท่าไหร่ ทหารยิ่งไม่เป็นที่ต้องการ เธอกลับคิดว่าคนอย่างผมสุภาพพอที่จะรับฟังเรื่องราวที่เธอมองว่าย่ำแย่นั้นได้ แม้ว่าตอนพูดเธอจะไม่มองตาผมก็ตาม นั่นเป็นปกติ ผมไม่เคยเห็นเธอจ้องตาคู่สนทนา–แม้แต่กับผม หากมีอาหารตรงหน้า สายตาก็จะจับจ้องอยู่ตรงอาหารราวกับจะคุ้ยค้นว่ามีส่วนผสมแปลกปลอมใดบ้าง แต่ถ้าไม่มี สายตาเธอจะตกที่ผนัง ที่ใดสักแห่งที่ไกลออกไป

เธอเอ่ยต่อ

“…ถ้าพี่ไม่เป็นมุสลิม ฉันกับพี่ก็ไม่ต้องแต่งงานกันไง”

แล้วเธอก็หัวเราะกับคำตอบนั้น ก่อนจะบอกด้วยเสียงจริงจังขึ้นว่า เธอไม่ชอบผู้ชายมุสลิม กลัวความเคร่งศาสนาของผู้ชายทุกรูปแบบ ทั้งการออกดะวะห์ที่ต้องทิ้งลูกทิ้งเมียอยู่บ้าน กลัวการบังคับเรื่องแต่งตัว หวาดกลัวว่าจะต้องคอยขออนุญาตเมื่อต้องออกจากบ้านทุกครั้งทุกคราว หวาดกลัวว่าวันหนึ่งสามีจะขอมีภรรยาเพิ่ม หวาดกลัวว่าผู้ชายจะดีเฉพาะช่วงแรกแล้วออกลายติดยาเที่ยวเตร่ ติดอยู่ตามร้านน้ำชาเช้าเย็น เธอไม่ชอบผู้ชายเลี้ยงนก ต่อให้พวกเขาบอกว่ารักลูกเมียมากก็ตามเถอะ

“มองผู้ชายแง่ร้ายมากไปหรือเปล่า”

“ฉันไม่อยากเป็นแบบแม่–จงรักภักดี สุดท้ายโดดเดี่ยว”

เธอไม่เคยเล่าเรื่องแม่หรือเรื่องพ่อให้ฟังสักครั้ง ผมจึงไม่รู้ว่าเพราะอะไร และแม่เธอเป็นแบบไหน

“แม่อาจจะมีความสุขแบบนั้นก็ได้ และพี่เห็นผู้ชายมุสลิมดีๆ ก็มีเยอะแยะไป พ่อเธอไม่ดีหรือ”

เธอเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

“อืม–ใช่ มีเยอะ แต่ก็แต่งงานไปแล้วไง”

“ที่ยังไม่แต่งงานก็มี้” ผมสะบัดปลายเสียงสูง เธอมองผมแวบหนึ่ง แล้วเลยไปยังทิวทัศน์เบื้องหลัง “โลกมันเปลี่ยนแล้วนะ คงไม่มีผู้ชายแบบนั้นเหลืออยู่หรอก”

“ที่บ้านฉันไง พี่วาดฝันไว้สวยหรูก่อนแต่งงาน แต่ไม่กี่เดือนก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเจอแบบนั้นบ้างหรือเปล่า”

“ไม่มีใครรู้ได้หรอก–แล้วถ้าพี่เป็นมุสลิม แล้วเกิดไม่ได้ดั่งใจล่ะ”

“ไม่รู้สิ อย่างน้อยๆ พี่ก็คงไม่สั่งให้ฉันอยู่ติดกับบ้านเพื่อเลี้ยงลูกอย่างเดียวหรอก พี่เป็นทหาร และฉันเป็นพยาบาลเหมือนเดิม แล้วพี่จะไม่ไปนั่งจับเจ่าเฝ้าดูกรงนกที่ร้านน้ำชาด้วย ไม่มีใครอยากให้ทหารนั่งร้านน้ำชากับพวกเขาหรอกมั้ง พี่พูดมลายูไม่เป็นด้วยนี่ เป็นแต่ว่า “มาแกนาซิ”1 “อีงะอาเดะ”2 คราวนี้ได้อิ่มข้าวพุงย้วยตรงนั้นแหละ ไม่ก็ถูกไล่กลับไปเฝ้าเมียที่บ้าน” เธอหัวเราะ “แล้วอีกอย่าง…” เธอเว้นจังหวะพูด หน้าพราวด้วยรอยยิ้มที่เห็นขบขัน “…เดี๋ยวฉันขริบให้พี่เอง”

ผมหัวเราะไปกับมุขของเธออีกครั้ง หลังๆ ผมมักจะหัวเราะเมื่อเธอเอ่ยประโยคนี้ ผมไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ตอนที่เอ่ยถึง แต่ท่าทางเธอมีความสุขเมื่อได้หยอกผม

“สรุป–เธอรักพี่มากกว่า” คราวนี้ผมพูดเข้าข้างตัวเอง—อย่างภาคภูมิใจ

เธอยังคงหัวเราะ …อาจจะเป็นอย่างนั้น–เธอว่า

อา…ผมมาอยู่ที่นี่เจ็ดปีแล้ว และเป็นปีที่ห้าที่ผมคบกับเธอ หลังจากเธอถามเรื่องจะเข้าอิสลามได้ไหม รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ มันไม่ใช่ธรรมชาติของเธอเลยที่คอยเซ้าซี้เรื่องเดิม หลายต่อหลายครั้งผมเพียรคิดอยากจะบอกเลิก แต่ก็ไม่อาจจะหลุดปากออกไป ทำแต่เพียงหาซื้อหนังสือศาสนาอิสลามเพื่อเรียนรู้ให้มากขึ้นกว่าการรู้ว่าเป็นอิสลามแล้วจะมีเมียได้ 4 คน

เช้านี้เป็นอีกเช้าที่ผมไปปฏิบัติภารกิจ หน้าที่คือไปคอยปกป้องคณะแพทย์ พยาบาลที่จะออกไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหมู่บ้านที่ไกลออกไป–เช่นทุกครั้ง ผมนั่งคิดตลอดทางเรื่องของเธอ ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันยาวนานจริงจังคือสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยภารกิจอันยุ่งเหยิงของเธอ บวกกับการคิดหนักคิดมากของผม ทำให้เราแทบไม่มีเวลาคุยกัน นอกจากส่งข้อความสั้นๆ ผ่านเฟซบุ๊กที่ทำให้เราไม่เงียบและเมินเฉยกันมากนัก

“อย่าลืมกินข้าวด้วยนะ”

“ฝันดี”

“เหนื่อยไหม”

“อดทนหน่อยนะ”

“สุขสันต์วันเกิด 27 ปีครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

“สู้ๆ”

…ผมไม่อยากเริ่มต้นใหม่

รถเคลื่อนออกเมื่อสายแล้ว แดดยามสายของฤดูร้อนในมายอร้อนร้ายไม่ต่างจากที่อื่นๆ ในพื้นที่ ความเงียบสงัดในรถทำให้ผมค่อนข้างอึดอัดอยู่บ้าง แต่ในหัวผมไม่ได้เงียบ เมื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนลูกรัง รถคันข้างหน้าแล่นเร็วขึ้นกว่าเดิมราวกับจะหนีความคิดของผม แต่รถของเรายังคงตามหลังด้วยความเร็วเท่าเดิม

เสียงดัง “ตูม” ทึบหนักทำรถสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คนขับเบรกรถกะทันหันจนลูกน้องอีกสามคนชนกันดังอั๊ก รู้สึกหูอื้อและแน่นหน้าอกจนอยากอาเจียน ท่าทีพร้อมปกป้องหลุดหายไปจากทุกคนในรถ ภาพเบื้องหน้าทำให้สายตานิ่งค้าง อาการเย็นร้อนวูบวาบทั่วตัว รถคันข้างหน้าที่อยู่ห่างไกลออกไปลอยขึ้นฟ้าโผล่แพลมพ้นฝุ่นสีแดงของถนนลูกรังที่ลอยฟุ้งขึ้นสู่อากาศ และร่างที่อยู่ข้างในรถนั้นกำลังกระจัดกระจายไปตามทิศทางต่างๆ ฝุ่นโรยตัวลงเป็นสายเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างลงมาตกกระแทกพื้น

นั่นร่างของเธอที่กำลังลอยละลิ่วตามลงมาเป็นร่างสุดท้าย

ความเจ็บปวดตรงขั้วหัวใจทำให้รู้สึกชาไปทั่วร่าง ลำไส้ปั่นป่วนกำลังขมวดปมอยู่ในท้อง ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้ด้วยหรือเปล่า ผมอยากจะให้คำตอบเธอเสียเดี๋ยวนี้ ราวได้ยินเสียงหัวเราะสดใสดังขึ้นทั่วบริเวณ

“พี่ไม่ต้องกลัว…ฉันขริบให้พี่ได้”

เธออาจจะกำลังสบตาผมก่อนกระแทกร่างลงสู่พื้น และรอยยิ้มคงพราวอยู่ในดวงตาคู่นั้น

(1) มาแกนาซิ หมายถึง กินข้าว

(2) อีงะอาเดะ หมายถึง คิดถึงน้อง