เรื่องสั้น : ฝนพรำที่สถานีหมอชิต

เมื่อผมหลุดออกจากขบวนรถไฟฟ้า มวลอากาศชื้นปะทะใบหน้า กลิ่นฝนกลางเมืองไม่หอมเหมือนอยู่ในทุ่งโล่ง ผมรีบสาวเท้าลงจากสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต แทรกกายผ่านช่องทางออกอย่างรวดเร็ว ย่ำเท้าถี่ปะปนไปกับสายธารมนุษย์วัยทำงาน รีบล้วงร่มในกระเป๋าออกมากางหลังก้าวออกจากบันไดเลื่อน ผู้คนชักแถวเดินเป็นสาย ไหลลงสู่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบ้าง มุ่งไปยังป้ายรถเมล์บ้าง บางคนกระโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างซึ่งแม้จะถูกโก่งราคาก็ยินยอม ส่วนผมเดินเบียดผู้คนไปหยุดอยู่ท้ายแถวของคิวรถตู้สายรังสิต

บรรยากาศเร้าให้คิดถึงบ้านเกิด ประกายของดวงไฟจากตึกไกลโพ้นในช่วงเวลาย่ำค่ำไม่ต่างดวงดาว ไม่ควรจะมีรถราจอดเรียงเป็นขบวนอยู่เบื้องหน้า ผู้คนมากมายขนาดนี้ก็ไม่ควรมี เม็ดฝนที่หยอกล้อกับแสงไฟวิบวับก็ไม่ชวนให้รู้สึกโรแมนติก ครั้นแล้วหญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามายืนประชิดทำผมหลุดจากเหม่อลอย ฉากเดิม เวลาต่างกันเล็กน้อย ตัวละครหญิงสาวเปลี่ยนเป็นอีกคน แต่เหตุการณ์ทั้งหมดเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน

ผมรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเมื่อหญิงสาวที่ก้าวเข้ามายืนใกล้ไม่มีร่มอยู่ในมือ

เมื่อวานผมก็พบเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ เป็นเวลาก่อนตะวันทิ้งดวง สายฝนพรำ ขบวนรถจอดนิ่งบนท้องถนนเบื้องหน้า เสียงคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างตะโกนโหวกเหวก ระหว่างที่ผมยืนกางร่มเข้าคิวรอรถตู้โดยสาร ผมเอ่ยชวนหญิงสาวที่ยืนถัดจากผมให้ขยับเข้ามาหลบฝนอยู่ใต้ร่มด้วย เธอสั่นศีรษะปฏิเสธ และไม่สบตาผมอีกเลย หลังจากนั้นผมก็พยายามเบนสายตาออกจากเธอผู้นั้นตลอดเวลาเช่นกัน

แต่วันนี้ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว ฝนพรำและหนาวเย็นกว่าเมื่อวาน วูบแรกของความคิด…ผมไม่อยากจะแสดงความมีน้ำใจนักหรอก กลัวจะถูกปฏิเสธเหมือนเมื่อวาน ถึงแม้ผมจะลังเล แต่ก็ตัดสินใจได้ภายในเสี้ยวนาที ก็เธอยืนกอดอกตัวสั่นระริกอย่างนั้น ผมไม่ควรจะนิ่งเฉยไม่ใช่หรือ? หากสายตาสักคู่หนึ่งมองมาจะหาว่าผมใจดำ

“ขยับเข้ามาใกล้อีกก็ได้ครับ”

เมื่อผมจบประโยค เธอสืบเท้าเข้ามาใกล้ในทันที ผมโล่งใจ เธอไม่ปฏิเสธความหวังดีของผมเหมือนกับหญิงสาวคนเมื่อวาน ผมโน้มคันร่มเอียงเข้าหาเธออีกเล็กน้อย ขยับข้อมือ ตั้งศอกให้ได้องศาอยู่ในท่าถนัดที่สุด กระนั้นก็ยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างพอเหมาะ

ฝนตกช่วงเย็นย่ำต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว ช่างแสนเบื่อหน่าย ผมรู้แก่ใจว่าการรอคอยรถตู้โดยสารกินเวลานับชั่วโมง เมื่อเช้าขณะนั่งรถตู้จากรังสิตมายังสถานีหมอชิต ภรรยาผมพ่นคำสนทนาเกี่ยวกับการจราจรในเมืองหลวง คล้ายเธอจะอิ่มอกอิ่มใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ มีหลายอย่างเปลี่ยนไปมากในช่วงที่คณะรัฐประหารบริหารบ้านเมือง เรื่องรถติดถูกจัดการอย่างจริงจัง จุดที่การจราจรหนาแน่นถูกกำหนดเป็นพื้นที่ห้ามจอด โดยเฉพาะการจัดระเบียบคิวรถตู้ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ และจัดสรรพื้นที่จอดให้บริการอย่างเป็นสัดส่วน เธอย้ำว่าคลิปเหตุการณ์รถตู้ประสานงากับรถกระบะจนผู้โดยสารถูกไฟคลอกตายยี่สิบห้าศพที่ชลบุรี ทำให้เธอนึกกลัวเวลาต้องโดยสารรถตู้ แต่เดี๋ยวนี้เธอมั่นใจในระบบขนส่งของรถตู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาก

จริงอย่างที่เธอว่า แม้รถราบนถนนยังหนาแน่น แต่ก็คล่องตัวกว่าเมื่อก่อน กระนั้น เรื่องการจราจรก็ยังแพ้ฝนอยู่ดี โดยเฉพาะหากฝนตกลงมาในช่วงเวลาเร่งด่วน การจราจรจากสถานีรถไฟฟ้าหมอชิตไปถึงห้าแยกลาดพร้าวก็แทบเป็นอัมพาต

โดยเฉพาะเมื่อล่วงเวลาเย็นไปแล้ว ช่วงเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่กำลังเดินทางออกจากเมือง หากฝนเทลงมา หลังรถตู้โดยสารขาออกส่งผู้โดยสารที่รังสิตเรียบร้อยแล้ว รถตู้ส่วนใหญ่ไม่อยากวนรถเปล่ากลับมารับผู้โดยสารอีก เพราะดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบเงินที่ได้มากับเวลาที่สูญเสียไป

นั่นจึงทำให้การรอคอยรถตู้ใช้เวลานานเกือบชั่วโมง อ้อเดี๋ยวก่อน, ที่จริงผมไม่ควรสรุปเช่นนั้น เมื่อวานผมอดทนรอเกินกว่าหนึ่งชั่วโมง นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้วก็หน้าชาขึ้นมา การถูกปฏิเสธความหวังดีนั้นให้ความรู้สึกประหลาด หญิงสาวคนนั้นตั้งมั่นอยู่ในเจตจำนงของตน เว้นรอยต่อของแถวไว้จนเกินพอดี หลังผ่านหนึ่งชั่วโมงผมก็หมดความอดทนกับการรอคอย อีกนัยหนึ่งก็เพื่อต้องการหนีให้ห่างจากเธอผู้ปฏิเสธความหวังดี ผมจึงตัดสินใจเก็บร่มแล้วกระโจนขึ้นรถโดยสารประจำทางทันที

แต่สถานการณ์ในวันนี้ให้ความรู้สึกแตกต่าง อะไรจะสุขเท่ากับมีผู้น้อมรับความหวังดีล่ะ…จริงไหม? ในบางจังหวะฝนพรมเม็ดหนา ผมและเธอขยับเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ใกล้จนไหล่เกือบชนกัน กระเป๋าสะพายหลังที่บรรจุโน้ตบุ๊กและสมุดบันทึกเล่มโตถ่วงบ่าทั้งสองข้างจนล้า ผมใช้มืออีกข้างประคองคันร่ม ค่อยขยับอย่างระมัดระวังที่สุด เงยหน้าขึ้นสำรวจหยดน้ำฝนที่ไหลลงชายผืนผ้าร่ม ก่อนขยับอีกครั้งจนแน่ใจว่าร่มที่กางนั้นอยู่ในตำแหน่งคุ้มฝนที่ดีที่สุด แล้วจึงละมือที่ประคองร่มมาล้วงโทรศัพท์ พิมพ์ข้อความระบุสถานการณ์รถติดส่งถึงภรรยา

ก่อนจะดิ่งลึกเข้าไปในเครือข่ายสังคมออนไลน์ฆ่าเวลา

ผ่านครึ่งชั่วโมงไปอย่างเชื่องช้า ยังไม่มีรถตู้เข้าเทียบรับผู้โดยสารสักคัน ผมเมื่อยล้า อึดอัดอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แถวหน้ากระดานยืนเรียงสิบสามคนพอดีกับจำนวนที่นั่งในรถตู้ยังเหลือไม่ต่ำกว่าสิบแถว แขนข้างที่ถือร่มล้าเต็มที จะย้ายร่มมาถือด้วยมือซ้ายก็ไม่ได้ ผมจึงต้องเก็บโทรศัพท์แล้วใช้มือซ้ายมาช่วยประคองร่มถาวร ขณะเธอยังคงยืนกอดอกตัวสั่นและเงียบใบ้อยู่เช่นเดิม

คนที่เดินทางประจำมักจะมีร่มพร้อม ทางด้านซ้ายมือของผมเป็นหญิงสาวเกือบทั้งหมด พวกหล่อนถือร่มคนละคันยืนเล่นโทรศัพท์อย่างไม่ใส่ใจสิ่งใดรอบกาย ที่แถวด้านหน้ามีหญิงสาวคนหนึ่งยืนกางร่มให้หญิงชรา ท่าทีเหินห่างไม่พูดคุยกันบอกผมว่าทั้งคู่ไม่ได้มาด้วยกันแน่ ถัดไปเป็นหญิงสาวยืนโอบเอวชายหนุ่มผู้ที่ถือร่มกางกันฝนให้ ถัดขึ้นไปอีกแถวทางด้านริมขวามือ ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนกางร่มให้เด็กหญิงในชุดนักเรียน มองเผินๆ ก็รู้นั่นเป็นพ่อลูกกันแน่นอน ก็ไม่แปลกหรอกที่ใครสักคนจะกางร่มให้ใครอีกคน ผมปลอบใจตัวเอง

หนึ่งชั่วโมงล่วงไป คล้ายเป้สะพายหลังหนักขึ้นอีกเท่าตัว ฝนเริ่มโรยเม็ดเหลือเพียงบางๆ รถประจำทางผ่านไปหลายคันแล้ว แปลกที่วันนี้ผมไม่กล้าก้าวออกจากแถว ผมสามารถเก็บร่มแล้วเดินไปขึ้นรถโดยสารประจำทางโดยไม่บอกกล่าวเธอได้หรือไม่ หรือจะต้องขออนุญาตเธอก่อน หรือชวนเธอขึ้นรถโดยสารประจำทางด้วยกันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป จังหวะนั้นภรรยาโทร.หาผมพอดี เธอสอบถามว่าผมถึงห้องพักหรือยัง ผมตอบว่ายังยืนอยู่ที่เดิม

“ทำไมวันนี้ไม่ขึ้นรถเมล์ล่ะ” เสียงดุลอดมาตามสายโทรศัพท์

“รออีกสักพัก รถเมล์คนแน่นเหมือนกัน” ผมรีบตอบก่อนเฉไฉไปเรื่องอื่น “…วันนี้กลับกี่โมง ให้รอกินข้าวหรือเปล่า”

ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงไม่ตัดสินใจเปลี่ยนไปขึ้นรถโดยสารประจำทาง ไม่แน่ใจนักว่าร่มที่ผมกางมีอำนาจลึกลับอะไรข่มความคิดภายในไว้จนรู้สึกตีบตันไปหมด ไม่กล้าเดินออกจากแถวแม้เพียงก้าว กังวลว่าเธอจะเปียกฝนหรือก็ไม่เชิง กระบวนการตัดสินใจเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด

“ผมขออนุญาตเก็บร่มนะครับ ผมจะไปขึ้นรถเมล์ครับ”

ผมซ้อมพูดอยู่ในใจหลายครั้ง แต่ไม่อาจเค้นเป็นคำพูดออกมาได้

ท้องถนนยังเจิ่งน้ำ ขบวนรถคืบคลานไปช้าๆ ผู้คนไหลออกจากสถานีรถไฟฟ้าหมอชิตเรื่อยๆ ผมเงยขึ้นมองดวงไฟกะพริบอยู่ตามตึกสูง มันช่วยผ่อนคลายได้บ้าง เมื่อลดสายตามองตรงไปเบื้องหน้า อาคารซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าเปิดไฟสว่างโร่ รถไฟฟ้าขบวนหนึ่งฉุดให้ผมเหลือบมองด้านบน มุมมองจากจุดที่ผมยืนแลคล้ายขบวนรถไฟฟ้าไต่อยู่บนทิวยอดไม้ที่ยืนต้นอยู่ตรงเกาะกลางถนน ที่หัวขบวนมีอักษรไฟกะพริบระบุสถานีปลายทางหมอชิต ในตู้โดยสารร้างคน อีกไม่นานสถานีนี้จะไม่ใช่สถานีปลายทางอีกต่อไป เสาตอหม้อโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายกำลังก่อร่าง ทางเชื่อมรถไฟฟ้าจากสถานีหมอชิตยกสูงข้ามทางด่วนโทลล์เวย์ไปยังสถานีห้าแยกลาดพร้าวกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ข่าวว่าทางเชื่อมนี้จะยกสูงเท่าตึกแปดชั้นไม่ต่างรถไฟเหาะ ทำนองเดียวกับการยกระดับชีวิตคนเมือง

ล่วงเลยไปถึงเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง รถตู้เริ่มทยอยเข้ามารับผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดผมและเธอก็ขยับขึ้นไปยืนแถวที่สาม ผมชะโงกมองไปยังป้ายรอรถโดยสารประจำทาง เธอเสมองไปทางเดียวกัน คล้ายไม่อยากเผชิญหน้ากับผมเท่าไรนัก ผู้คนที่ป้ายรถเมล์เนืองแน่นไม่แพ้กัน ต่างกันตรงที่มีรถโดยสารหลายสายวนเข้าไปจอด ไม่ห่างจากตรงที่ผมยืนมากนัก หนุ่มสาวชาวต่างชาติหัวทองสะพายกระเป๋าสัมภาระใบเบ้อเริ่มเข้าไปคุยกับชายคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ชายเจ้าของมอเตอร์ไซค์ชูสามนิ้ว อีกฝ่ายโคลงศีรษะพร้อมเพรียงแล้วเดินจากมาอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงคิวรถตู้สายรังสิต ผมจึงได้รู้ว่าจุดหมายของคนทั้งสองคือสนามบินดอนเมือง ชายหนวดเฟิ้มผู้ดูแลคิวรถตู้ขยับแว่นดำ ก่อนชี้ให้เขาและเธอย้อนกลับไปทางเดิม พลางตะโกนสำทับระบุหมายเลขรถประจำทางตามหลังไป

ในช่วงสถานการณ์ฝนตกรถติดน่าเบื่อหน่าย ยิ่งฝนพรำยิ่งสุดแสนจะเบื่อหน่าย เหมือนกับว่าสายฝนจะพรมจากผืนฟ้าเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด ท้องฟ้าที่ฉ่ำน้ำไร้เมฆ ไร้สายลมแรง ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ไม่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ จึงคาดเดายากยิ่งว่าเมื่อไรฝนจะหยุดตก แต่ในความเบื่อหน่ายนั้นก็ยังมีเรื่องให้ชุ่มฉ่ำดวงใจบ้าง ก่อนหน้านี้ผมเพิ่งเห็นชายหนวดเฟิ้มผู้ดูแลคิวรถตู้สละร่มให้หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่แถวหน้า ส่วนเขายืนตากฝนถือวิทยุสื่อสารทำหน้าที่ประสานงานรถตู้อย่างขันแข็ง

ชั่วครู่จากนั้น ไม่แน่ใจนักว่าสายฝนขาดเม็ดไปเมื่อไร ผมมั่นใจว่าฝนหยุดแน่แล้วละ แต่ไฉนเลยผมจึงไม่กล้าหุบร่ม กระทั่งเมื่อผู้คนที่ยืนอยู่แถวด้านหน้าเก็บร่มเกือบหมดแล้ว ผมจึงเบี่ยงร่มลง ค่อยๆ สลัดน้ำฝนออก แล้วม้วนเก็บอย่างประณีตเรียบร้อย ผมถอนใจเฮือกหนึ่งอย่างโล่งอก จังหวะนั้นมีรถตู้วิ่งเข้ามาเทียบรับผู้โดยสารอีกคัน ผมและเธอขยับขึ้นไปยืนเป็นแถวที่สอง

รถราบนท้องถนนเบื้องหน้าเริ่มเคลื่อนที่ได้เป็นปกติ ผู้คนเริ่มบางตา ผมชะเง้อมองหารถตู้เพราะรู้สึกว่าทิ้งช่วงนานกว่าคันก่อนหน้า จังหวะนั้นเองเมื่อรถโดยสารประจำทางสาย ปอ.ห้าหนึ่งศูนย์ จอดรับผู้โดยสาร ป้ายเหลืองที่หน้ากระจกสะดุดตาบ่งบอกว่าใช้เส้นทางด่วนโทลล์เวย์ ผมพยายามก้าวออกจากแถวอีกครั้ง แต่ก็ต้องหยุดชะงัก!

ผมเลือกที่จะยืนรอรถตู้โดยสารต่อไป ในเมื่อเสียเวลารอคอยมาเกือบจะสองชั่วโมงแล้ว ไม่ว่าจะไปโดยรถตู้หรือรถโดยสารประจำทาง ก็ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงไม่ต่างกัน ค่ารถโดยสารประจำทางถูกกว่าเล็กน้อย แต่ก็เสี่ยงกับการต้องยืนไปตลอดทาง

ไม่ถึงห้านาทีรถตู้เข้าเทียบรับผู้โดยสารพร้อมกันสองคัน ผมได้ขึ้นรถเป็นลำดับต้นๆ ได้เลือกที่นั่งตามใจ เมื่อทิ้งตัวกับเบาะนุ่ม เอนหลัง แล้วคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย

ผมเปิดโปรแกรมไลน์ส่งข้อความถึงภรรยา “เซ็ง เบื่อ อึดอัดเวลาที่ต้องยืนกางร่มกลางสายฝนพรำที่สุด”

จากนั้นทิ้งศีรษะพิงกระจกข้างรถ พริ้มตาหลับ นึกภาวนาให้พรุ่งนี้ฝนไม่ตก ขณะก็หวนนึกถึงตอนที่เธอหมุนตัวก่อนออกวิ่งมุ่งตรงไปหารถโดยสารประจำทางจนผมต้องชะงักเท้าไว้ เธอจากไปโดยไม่กล่าวคำพูดใด

กระนั้นผมก็รู้สึกเหมือนหายใจสะดวกขึ้น ผ่อนคลายลง เฝ้ามองจนเธอกระโจนพรวดเข้าไปในห้องโดยสารสี่เหลี่ยมปรับอากาศก่อนที่ประตูรถจะปิดเพียงเสี้ยวนาที