การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ มีใครกำลังบิดผ้า…

หล่อนทอดร่างแผ่ลงบนพื้น หายใจหอบเหนื่อยอยู่รวยริน เสื้อลูกไม้ที่บัดนี้ร่างกายเปลือยเปล่าเบียดตัวเข้าหาอย่างรักใคร่

เหมือนมีแต่พวกหล่อนอยู่ลำพัง

ปากคอฉันแห้งขมไปหมด มันเลยพ้นขีดความโกรธ ความแหนหวง เท่าที่ฉันรู้สึกมันเหลือแต่ความเกลียดชังจับใจ

ฉันไม่เกลียดหล่อน ไม่เกลียดเสื้อลูกไม้ แต่เกลียดตัวเอง และเกลียดคนบางคนที่ผ่านมา

มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าฉันไม่เคยมีความหวัง ไม่เคยตั้งใจ

…ไม่เคยฝันถึงวันที่จะดีกว่า

 

“เหนื่อยจัง” เสียงของหล่อนเอ่ยขึ้นในความเงียบ

“แววด้วย” เสียงของเจ้าบ้าน

และนิ่งไปครู่หนึ่ง เสื้อลูกไม้ก็พูดต่ออีก

“นลทำอะไรนี่…ดูสิ ตัวเลอะไปหมดแล้ว”

“ไม่เลอะหรอก ห้องนี้ทำความสะอาดไว้แล้วนะ นลมาถูพื้นอยู่ตั้งนาน”

“แน่ะ!” เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อเบาๆ “วางแผนไว้แล้วเหรอ!”

“ก็ต้องวางสิ” หล่อนหัวเราะเบาๆ “ไม่งั้นจะได้เอาคุณหรือ”

“นี่!”

เสียงทุบตีกันอีกอย่างกระเง้ากระงอด หล่อนหัวเราะเสียงดัง ฟังดูก็รู้ว่าคงมีความสุขกันเหลือล้น

จนพวกหล่อนอาจลืมไปแล้วจริงๆ ว่า ยังมีฉัน

 

แต่อาจเป็นเสียงการขยับตัวเคลื่อนไหว ที่ทำให้เสื้อลูกไม้พลันคิดขึ้นได้ หล่อนชันตัวลุก เปล่งเสียงอุทาน

“เอ๊ะ”

“อะไรฮะ”

“…ตายจริง”

สองมือรีบไขว้ปิดนม แต่ขอโทษทีเถอะ ส่วนอื่นๆ ยังพูนพงอยู่เต็มตา และฉันก็สบตาหล่อนได้ชัดเจนในนาทีนั้น

“…เด็กนั่น”

“อ๋อ…” หล่อนยันตัวบ้าง เหลียวมา ในตาเป็นประกายยิ้มย่อง

ฉันจ้องทั้งคู่เขม็ง เราต่างอยู่ในแสงสลัวนานพอจะเห็นกันชัดขึ้นเรื่อยๆ

“อย่าสนใจเขาสิฮะ” หล่อนขยับปากพูด แต่ตายังมองตาฉันอยู่

 

มันมีกี่แบบกันหรือ การข่มขืนใจ การใช้อำนาจบังคับให้ต้องยอมรับ สิ่งที่คนเราทำต่อกัน ไม่ว่าชั้นไหนๆ เพศอะไร ล้วนแต่ชั่วช้าสามานย์ได้เหมือนๆ กันสินะ

ฉันเคยเกือบรักหล่อน ยอมนอนกับหล่อน หลงใหลไปว่าโลกยังมีที่ทางให้กับฉัน แต่วันหนึ่งหล่อนก็เผยธาตุแท้ออกมา

ไม่ต่างจากครูลินดา ชายหนวดหนา อ้ายโคะ เฮียสมพงศ์ อ้ายชัย อ้ายชาติ อ้ายชาย ผัวเจ๊หม่วย และแม้กระทั่ง…อัมพร

ปอกเปลือกจนเปลือยล่อน พวกมัน พวกหล่อน แค่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองต้องการ

รสชาติของความใคร่

ซึ่งฉัน…พยายามวิ่งหนีจนสุดฝีเท้าเสมอมา

ทว่า ก็ไม่เคยพ้นได้

ฉันจะไปจากเรื่องห่าเหวพวกนี้ได้อย่างไร

จะพ้นจากเรื่อง_ีๆ ค_ยๆ ควายๆ ไปอยู่ดีมีสุขกับชีวิตธรรมดา ฉันจะต้องทำยังไง

 

“เมื่อยมั้ย” หล่อนโยนเสียงข้ามห้องมาหา “อยากจะลุกหรือยัง”

น้ำเสียงยังกลั้วความแจ่มใส แต่อะไรสักอย่างเตือนว่า เกมของหล่อนอาจจะแค่เพิ่งเริ่มเท่านั้น

ฉันเกลียด…

ฉันเกลียดจริงๆ

เกลียดสิ่งที่ทำให้ฉันเป็นฉัน

แค่ฉันไม่ต้องเกิดมา ไม่ต้องมีหู ไม่ต้องมีตา ไม่ต้องมีแขนขาเพื่อจะถูกพันธนาการอย่างนี้

ไม่ต้องมี_ี ไม่ต้องมีแก่นใดๆ

เป็นแค่ก้อนหินดินไม้ ไม่ต้องมีหัวใจ

ทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้

“พี่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ” ฉันเอ่ยปากในท้ายที่สุดนั้น “จะฆ่าฉันด้วยก็ดี รีบๆ ทำเถอะ จะเสียเวลาไปทำไม”

หล่อนชะงักไปเหมือนผิดความคาดหมาย เสื้อลูกไม้รีบควานหาเสื้อผ้าสวมใส่

“เดี๋ยว” หล่อนยึดแขนคู่นอนใหม่ไว้

“…นลคะ”

“อยู่เฉยๆ”

แล้วหล่อนก็ลุกมา

มานั่งยองๆ ข้างหน้าฉัน

 

“เก่งนักหรือเรา”

มือที่ยังนุ่มนวลเชยคางของฉันขึ้น และกระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน

“จะดื้อไปถึงไหน”

“…มึงไม่ใช่พี่กู” ฉันปล่อยเสียงออกไป “มึงมันโรคจิต”

หล่อนมองฉันอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วหัวเราะขบขัน

“ใคร? พี่นะหรือ?” แล้วส่ายหัวอีก “โธ่เอ๋ย เด็กน้อย พี่จะช่วยเธอได้ยังไงนี่”

“มึงไม่ต้องมาช่วยกู” ฉันกัดฟันพูดอีก “ถ้าจะช่วยก็ปล่อยกูไปสิ”

“จะไปไหน”

“เรื่องของกู”

จริงๆ ในหัวของฉันพูดว่า กูจะไปตาย

ถ้ามีอิสระในตอนนี้ อย่างแรกที่ฉันจะทำคือ ไปหาความตาย

“ไม่ พี่ปล่อยเราไม่ได้หรอก”

“ปล่อยกู…ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!” ฉันแผดเสียงเข้าใส่ หวังใจว่าหน้าขาวๆ จะสะทกสะท้านบ้าง

แต่ไม่ได้ผลอะไร หล่อนเพียงยิ้มใส่ แล้วเดินกลับไปหาคนที่ละล้าละลังรอ

 

หล่อนกับเสื้อลูกไม้หายลงเรือนไปแล้ว เวลาผ่านไป จนแสงสว่างค่อยๆ หายไปในทุกทิศทาง เหลือเพียงตัวฉันกับห้องมืดอับ หล่อนหับทุกบานหน้าต่าง และคงคล้องกุญแจหน้าประตูด้วย

ด้วยเชือกที่ล่ามเอาไว้ แขนเข้าเฝือกอีกข้าง ฉันคงไม่มีทางหนีหลุดไปไหน

ขยับตัวเท่าที่ทำได้ หัวกระทบเสาไม้ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าถูกขังไปอย่างนี้ชั่วชีวิต

จะมีคนพบศพฉันเมื่อไหร่

โดยปราศจากการดิ้นรนอีกต่อไป ฉันคิดแล้วว่า จะยอมจำนนกับชีวิตห่าเหวเหล่านี้ เมื่อไม่มีรัก ไม่มีชัง ไม่มีหวัง ฉันอาจจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป

แต่แล้วก็มีเสียงหึ่งๆ ใกล้หูเข้ามา ชั่วฉับพลัน แขนก็เจ็บจี๊ดและตามด้วยอาการคันคะเยอทันที

ทันใด ยุงนับสิบๆ ตัวก็เล็ดลอดรูโหว่เข้ามา กลุ้มรุมกัดฉันทั้งแขนขา ต้นคอ ใบหน้า โหนกแก้ม ไม่เว้นนิ้วมือนิ้วตีน

หมู่แมลงพากันดูดกินเลือดของฉันอย่างโอชะ และมันมามากขึ้นเรื่อยๆ

มากขึ้นทุกที

 

นั่นเสียงของฉันเองใช่ไหม ที่กรีดร้องอยู่ในเรือนไม้ กังวานกู่ขานทรมานไปตามสายลม แต่ไม่เคยมีใครได้ยินมัน นั่นคือเสียงของฉันเองใช่ไหม ที่แผดสะท้านโหยไห้ ในจักรวาลอันมืดมิด

นั่นคือเสียงของฉันเองใช่ไหม ที่ตะเบ็งออกไปเพื่อจะเรียกหาวิธีปราศจากชีวิต นั่นคือเสียงของฉันเองใช่ไหม ในคืนมืดสนิท นั่นคือเสียงของฉันเองใช่ไหม ที่คลุ้มคลั่งระเหนระหนไปไร้เข็มทิศ

มีหญ้าบาดข้อเท้าอีกแล้ว และแง่งหินครูดเข้ากับนิ้วตีน ฉันกระชากครั้งแล้วครั้งเล่า จนเชือกหลุดจากเสามาได้ เจ็บแทบน้ำตาไหล ยามผลักหน้าต่างออกแล้วปีนลงมา

ขาฉันเจ็บ แขนฉันเจ็บ ฝูงแมลงยังบินจู่โจมติดตาม ใบหน้าฉันคงบวมเป่ง แสบคอที่แห้งผากดั่งกลืนทราย ไม่วอนขออะไรเท่าหวังให้หล่อนกำลังกระเส่าซ่านเสียวอยู่ในห้วงหฤหรรษ์ เพราะต้องมีแต่เวลาเหล่านั้นที่ฉันจะหายสาบสูญไปได้

สายน้ำกำลังรินไหลอยู่ข้างล่าง อีกนิดเดียวจะมีตลิ่งฝั่ง ฉันจำได้ แค่พาตัวเองไปให้ถึงตรงนั้นเท่านั้น ฉันแทบจะกลั้นความยินดีไม่ได้ ฉันจะต้องรีบกระโดดลงไป สายน้ำที่ขาวใสไสวสว่าง คืนนี้มีดวงดาวพราวพรายฟ้ากว้าง อดใจอีกเพียงนิด ฉันจะได้ลาจากชีวิตเสียที

แต่มีใครอยู่ตรงนั้น แว่บหนึ่งที่เห็นอกเปลือยล่ำสัน หรือฉันตาฝาด นั่นมันอ้ายชัย

ไม่…นั่นมันผัวอีพี่สร้อยสาย

ไม่…นั่นมันคืออ้ายชาติ อ้ายชาย

…อ้ายหมารอย

 

“อีพี่…อีพี่!”

เสียงใครที่เรียกใกล้หู คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

“…อีพี่ อีชาติหมา! มึงรีบฟื้นมาเดี๋ยวนี้เลย!”

ฉันตายแล้วใช่ไหม แต่ทำไมในนรกถึงยังมีคนมากมาย…และแน่ชัดขึ้นเรื่อยๆ มีใครกำลังบิดผ้า…มีน้ำหยดลงใส่หน้าผากฉันอยู่

แสบหน้า คันยุบยิบจนต้องกะพริบตา แต่ฉันไม่จำเป็นจะต้องทำตามคำบอกของใคร ฉันคงตายสมใจแล้ว ความตายเป็นอย่างนี้เองหรือ แต่ทำไมร่างกายยังเจ็บปวดอยู่อีก

พลันรู้สึกคลื่นไส้ ท้องปั่นป่วนเหมือนมีอะไรวิ่งวนจนขยักขย้อน พยายามทำตัวนิ่งยิ่งผะอืดผะอมมากทุกที

“อีพี่! อีชาติวอก!”

…เสียงนั้น

ตาฉันลืมโพลงขึ้น พร้อมก้อนอาเจียนพุ่งพรวดออกปาก ส่วนหนึ่งคงกระเซ็นใส่ใบหน้าที่ชะโงกมาใกล้

พี่โฟ…