เรื่องสั้น : ยามะ-อะคาเดีย

ยามะ-อะคาเดีย (1)

พิหารไม่คิดว่าการเป็นไกด์เชอร์ปาจะต้องมานั่งอยู่ต่อหน้าตำรวจและถูกซักไซ้ราวกับเป็นอาชญากร ก็เพียงเพราะว่าลูกทัวร์ของเขาเป็นคนอเมริกันที่มีชื่อเสียงว่าร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐี แล้วมาเกิดหายตัวไประหว่างการเดินเทรกกิ้งไปตามเส้นทางขึ้นเขาเอเวอเรสต์ หรือที่รู้จักเรียกขานว่าเอเวอเรสต์เบสแคมป์ หรืออีบีซี

“ผมถูกมอบหมายให้ดูแลคณะนี้ เพราะผมชำนาญเรื่องต้อนรับแขกเส้นทางอีบีซีมานานน่ะครับ” พิหารบอกกับตำรวจ “ผมไปรับคณะที่สนามบินตรีภูวันตามกำหนดการ ช่วงวันแรกก็พาแขกไปเยี่ยมชมภัคตาปูร์ ผมยังแวะไปถวายดอกไม้ให้องค์เทพยามะตามธรรมเนียมก่อนเดินทาง…”

“เอาละๆ เราไม่สนใจเรื่องของแกหรอก” ผู้หมู่ขัดขึ้น “เอาเป็นว่า แกเล่าเรื่องเฉพาะเรื่องของแขกในคณะก็พอ”

“ครับๆ แขกวีไอพีคณะนี้มีเพียงสี่คน ชาย-หญิงสองคู่ เป็นคู่หนุ่ม-สาวกับคู่ของวัยกลางคน คู่ชาย-หญิงอายุมากกว่า ชื่อพอลกับแมรี่ ดูท่าทางเป็นกันเองตามแบบชาวอเมริกัน และมักซักถามเรื่องต่างๆ ตลอดทางจากสนามบิน

ส่วนคู่หนุ่ม-สาวกลับเงียบขรึมกว่า สวมแว่นดำและไม่ค่อยพูดจา แม้แต่ตอนแนะนำชื่อยังเบาแทบไม่ได้ยิน ปีเตอร์กับเจน ซึ่งไม่ใช่คู่รักแต่เป็นพี่สาวกับน้องชาย ทุกคนดูจะพยายามเอาใจเด็กหนุ่มปีเตอร์

“เทพยามะของคุณ ท่านดูดุร้ายเหลือเกิน” แมรี่ตั้งข้อสังเกต

“อ้อครับ ท่านเป็นเทพยิ่งใหญ่ เทพแห่งยมโลก ดินแดนแห่งความตาย และยังเป็นเทพแห่งความยุติธรรม ที่ตัดสินวิญญาณทุกดวงอย่างเท่าเทียมกัน มาถ่ายรูปหมู่กันสิครับ ผมจะถ่ายให้”

“ไม่ต้องหรอก” ปีเตอร์พูดขึ้นห้วนๆ แต่พอลคะยั้นคะยอให้ถ่ายด้วยกัน “เอาเถอะ ให้พิหารถ่าย พิหารถ่ายให้ติดพญายมของคุณทั้งองค์ด้วยนะ ทีนี้เราก็จะได้รูปครบวงเลย ปีเตอร์พอลแอนด์แมรี่ แถมเจนอีกคน ฮะฮะ”

หลังจากเดินชมพระราชวังเก่าและวิหารแล้ว พิหารก็พาแขกไปนั่งพักดื่มน้ำชา แล้วสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับสิ่งของที่แขกจำเป็นต้องเตรียมไว้สำหรับการเดินเขาเทรกกิ้ง 14 วัน ทั้งเรื่องเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ หยูกยา ซึ่งหากยังมีสิ่งที่ขาดอยู่จะได้หาเช่าหรือซื้อในกาฐมาณฑุให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่องพรุ่งนี้เช้า แมรี่ดูจะเป็นคนจัดการเรื่องรายละเอียดต่างๆ สำหรับคณะ และเอาใจใส่ในเรื่องเล็กน้อยทุกเรื่อง บางครั้งเธอจะหันไปถามเจนเกี่ยวกับข้าวของส่วนตัวเพื่อเตรียมการ แต่พวกผู้ชายดูไม่สนใจอะไร

“ปล่อยให้พวกผู้หญิงดูแลเราดีกว่า” พอลพูดยิ้มๆ แล้วหันไปกระดกแก้วเบียร์ต่อ

เครื่องบินเล็กใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็นำคณะจากกาฏมาณฑุไปที่ลุคลา พอลงจากเครื่องพิหารก็พาคณะแขกไปกับกลุ่มเชอร์ปาที่มารับที่สนามบิน เพื่อเดินไปพาร์กดิ้งทันที เพื่อให้ไปถึงที่พักก่อนค่ำ เพราะไม่แน่ใจว่าคณะจะเดินไปเร็วแค่ไหน

มีนักเดินเขาหลายคณะร่วมเดินไปในเส้นทางเดียวกัน พอลที่ท่าทางเป็นมิตรเป็นคนเดียวที่ไปทักทายพูดคุยกับคณะอื่นๆ ในขณะที่แมรี่มัวสาละวนกับข้าวของ และปีเตอร์กับเจนยังคงเงียบเฉยใต้แว่นดำ การเดินเขาวันแรกเป็นไปอย่างช้าๆ เพื่อให้คณะได้ปรับตัวกับความสูง เสียงพูดคุยในช่วงแรกของการเดินค่อยๆ แผ่วเบาลง เพื่อประหยัดพลังงานและออกซิเจน

ที่พักแรกเป็นบ้านไม้ขายน้ำชา พอไปถึงทุกคนก็ดูหมดแรง พวกเชอร์ปานำสิ่งของไปวางรวมไว้ให้ในห้องพัก แล้วออกไปจิบชาสมุนไพรผสมนม คุยกันเสียงดัง พิหารนำชามาเสิร์ฟให้ในห้องพร้อมขนมพื้นเมือง

“พวกคุณดูไม่เหนื่อยเลยนะ ขนาดผมไม่ได้แบกของอะไรยังแทบแย่” พอลพูดพลางจิบชา

“พวกคุณยังไม่ชินกับความสูง ค่อยๆ พักผ่อนปรับตัวครับ ถ้าอาหารเย็นพร้อมแล้ว ผมจะมาเรียกอีกที”

“ได้เลย ผมคงต้องเอนหลังสักหน่อยก่อน” แมรี่กับเจนช่วยกันจัดปูถุงนอนลงกับพื้น

ทุกอย่างดูราบรื่นดี พิหารคิด งานนี้ก็ไม่ต่างจากคณะอื่น เพียงแต่คณะนี้ยินดีจ่ายสูงกว่าทัวร์ทั่วไป เพื่อให้ได้บริการที่ดีที่สุด เท่าที่จะจัดให้ได้ แต่บางอย่างรบกวนใจของพิหาร โดยเฉพาะท่าทางของปีเตอร์ ซึ่งดูเหมือนทุกคนพยายามเอาใจ แต่ชายหนุ่มดูเฉยชาและเหม่อลอย

วันรุ่งขึ้น จากพาร์กดิ้งไปนัมเช เส้นทางเดินล้อมรอบด้วยเขาเขียวชอุ่ม มีแม่น้ำดัดโคชิไหลเลียบทางเดินไปจนถึงนัมเช คณะไม่ได้เดินทางอย่างโดดเดี่ยว เพราะพวกเหล่าเทรกกิ้งคณะอื่นๆ เดินเรียงตามกันมา เพื่อจะไปพักรับอาหารกลางวันที่มอนโจ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่จะได้รับอาหารก่อนถึงนัมเช เส้นทางระหว่างมอนโจและนัมเชค่อยๆ ลาดขึ้นไปท่ามกลางป่าเขียวขจี ยอดเขาเอเวอเรสต์และล็อตเซโผล่มาให้เห็นบ้างแม้ไม่ค่อยชัดเจน คณะใช้เวลากว่าหกชั่วโมงเพื่อไปพักค้างคืนที่กระท่อมบนเขาของนัมเชบาร์ซา

เพื่อให้คุ้นเคยกับสภาพอากาศและที่สูง วันถัดไปเป็นวันพักผ่อน คณะสามารถเดินชมตลาดพื้นเมือง หรือเลือกไปที่พิพิธภัณฑ์ ซึ่งต้องใช้เวลา 20 นาทีจากที่พัก พอลกับแมรี่อยากเดินตลาด แต่ปีเตอร์ขอเดินไปพิพิธภัณฑ์เพราะพิหารบอกว่าที่นั่นจะเห็นยอดเอเวอเรสต์และล็อตเซได้ชัดเจน ทั้งหมดจึงพากันไปพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องราวของพวกเชอร์ปา แสดงสิ่งของเครื่องใช้พื้นเมือง มีภาพถ่ายของเหล่าลูกหาบเชอร์ปาที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ รวมทั้งภาพเซอร์เอ็ดมันด์ ฮิลเลอรี่ และเทนซิงนอร์เก แม้ว่าในพิพิธภัณฑ์จะมีร้านอาหารและเครื่องดื่มไว้คอยบริการ แต่พิหารให้ลูกหาบสองคนช่วยขนน้ำชากับของว่างพร้อมผ้าปูพื้นไปกับคณะ เมื่อคณะเดินดูพิพิธภัณฑ์เสร็จ ที่ปิกนิกก็พร้อมบริการ เป็นวันที่แจ่มใส ท้องฟ้าเปิด พระอาทิตย์ทอแสงจ้าสลับกับร่มเงาเมื่อเมฆใหญ่น้อยลอยผ่าน ยอดภูเขาหิมะสะท้อนแสงแวววาว ปีเตอร์ดูผ่อนคลายลง กำลังนอนมองดูท้องฟ้า

“ผมเพิ่งดูสารคดีเกี่ยวกับเบสแคมป์ก่อนมาที่นี่” พอลพูดขึ้น “ถ่ายสวยมาก พอมาเห็นก็สวยจริงๆ ถึงแม้ความสูงจะทำให้มึนหัวบ้างก็เถอะนะ นับว่าคุ้มอยู่ คุณว่าไงล่ะปีเตอร์”

“ใช่ ผมว่าที่นี่แหละคือดินแดนอะคาเดีย”

“ปีเตอร์ พ่อนักอุดมคติ อะคาเดียแดนสวรรค์ยูโทเปีย แต่ดูพวกลูกหาบของเราไม่คิดอย่างนั้นเลยนะ ว่ามั้ยพิหาร”

“ผมว่า ให้คณะค้างที่นัมเชอีกสักคืนดีกว่า ทุกคนจะได้พักกินยาปรับตัวกับความสูง พรุ่งนี้วันเสาร์จะมีตลาดนัด เราจะได้เห็นพวกชาวบ้านมาขายของพื้นเมือง และผมอยากได้อุปกรณ์ปีนเขาบางชิ้น ที่ตลาดนัดมักมาเลหลังถูกๆ” พิหารเสนอแนะ พอลรีบพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ เราน่าจะพักสักหน่อย ไม่ต้องรีบร้อนอะไร ใช่มั้ยปีเตอร์” ปีเตอร์พยักหน้าช้าๆ “ได้เลย เจนจะได้พักอีกสักหน่อย”

เช้าวันต่อมา ความโกลาหลก็เกิดขึ้น ปีเตอร์หายตัวไป เจนมีท่าทีตกใจร้อนรน มีแมรี่คอยปลอบใจอยู่ข้างๆ ส่วนพอลก็เร่งให้พิหารกับพวกลูกหาบช่วยกันตามหา พวกผู้ชายพากันวิ่งวุ่นไปทั่วบาร์ซา ถามไถ่ผู้คนเผื่อจะมีใครพบเห็น พิหารเดินไปถึงพิพิธภัณฑ์แต่ก็ไม่พบ ทุกคนเหนื่อยอ่อนกลับมาที่พัก พอลเหงื่อท่วมตัวทั้งๆ ที่อากาศเย็น แมรี่รีบชงชาให้ทุกคนดื่ม เจนเริ่มน้ำตาไหล คร่ำครวญเบาๆ แมรี่กระซิบบอกให้เจนลองค้นข้าวของในห้องปีเตอร์ แล้วก็พบว่าเป้ใบเล็กของปีเตอร์หายไปด้วย แต่เสื้อผ้าข้าวของอื่นๆ ยังอยู่ครบ

พิหารกล่าวปลอบใจคณะว่า ปีเตอร์อาจออกไปเดินเล่นแล้วคงกลับมา เพราะหากไม่มีไกด์นำทางก็คงยากที่จะเดินลุยเดี่ยว นอกจากว่าปีเตอร์จะเดินตามไปกับคณะเทรกกิ้งอื่นๆ ไปที่ที่หมายถัดไป คือเทงโบเชหมู่บ้านเล็กๆ และเป็นหนึ่งในที่ที่สวยที่สุดของการเดินเทรกกิ้งจุดสำคัญอยู่ที่วัดพุทธทิเบตใหญ่เก่าแก่สวยงาม

“นั่นแหละครับ เรื่องที่เกิดขึ้น มิสเตอร์ปีเตอร์หายตัวไป และคณะต้องติดอยู่ที่นัมเชสองสามวัน เพราะอยากรอว่าเขาอาจจะกลับมา ผมให้ลูกหาบลองเดินล่วงหน้าไปที่เทงโบเช เผื่อว่าเขาจะติดไปกับคณะเทรกกิ้งอื่นๆ ก็ได้ข่าวกลับมาว่า มีคนเห็นปีเตอร์ไปพักอยู่ที่วัดเทงโบเช คณะทั้งหมดเลยรีบเก็บของตามไป

ปีเตอร์ตั้งใจจะออกไปเดินดูตลาดเพียงลำพัง เขาสวมเสื้อคลุมสะพายเป้และกล้องแล้วรีบออกจากที่พักแต่เช้า เดินดูตลาดยามเช้าที่พวกคนพื้นเมืองพากันมาวางของขายบนพื้น เขาขยับกล้องถ่ายภาพไปรอบๆ ขณะที่เดินไปตามถนนลาดชัน พวกเหล่าเทรกกิ้งที่เริ่มออกเดินทางพากันเดินเป็นแถวเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายถัดไป

ปีเตอร์ถ่ายภาพในแสงอรุณยามเช้า เขากำลังจะเริ่มเดินกลับที่พัก แล้วเขาก็เหลือบเห็นกลุ่มพระลามะห่มจีวรแดงเดินเป็นแถว ชาวบ้านบางคนพากันก้มกราบและถวายดอกไม้

ปีเตอร์รีบเดินตามแถวนักบวชเพื่อเก็บภาพ แม้ว่าเหล่าพระลามะจะเดินกันตามสบาย แต่ปีเตอร์ก็ดูเหมือนจะไล่ตามไม่ทัน เขาเริ่มหายใจถี่ขึ้นและมีอาการมึนหัว จนต้องหยุดยืนพัก กลุ่มพระลามะก็หยุดเดินเช่นกัน พระองค์ที่เดินนำหน้าหันมามองเขาแล้วพยักหน้าเหมือนให้เขาเดินตาม ปีเตอร์รู้สึกเหมือนต้องมนตร์ เขาค่อยๆ ก้าวเท้าตามไปที่ปลายแถว

เหล่าพระเริ่มบทสวด “โอม มณี เปเม ฮุง” ซ้ำไปมาพร้อมเสียงกระดิ่งเป็นจังหวะ จนหูและปากของปีเตอร์เริ่มจับความได้ และพึมพำบทสวดตามไปด้วย เขาไม่แน่ใจว่าได้เดินไปกับกลุ่มพระลามะนานเพียงใดก่อนที่เขาจะเริ่มรู้สึกวิงเวียนและความรู้สึกดับวูบลง