เรื่องสั้น : บนแผ่นหลัง

“เอาไม่อยู่แน่ แค่เห็นจากหน้านะ” มิชาบอกกับผม

ความสูงและโค้งเว้าของส้นสูงตรงหน้ากำลังพอดี ทำให้เรียวขาทั้งสองข้างสวยงามไปหมด จริงๆ ผมอยากใช้ “เรียวขาทั้งผืน” อันมุ่งถึงสองขาขาวเนียน หอมงามเป็นที่หมายปองราวกับย่อเธอเป็นปลอกหมอนนอนหนุนปลอกหมอนกอดข้างห้อมล้อมตัว

ผมรู้ว่าเธอใช้ปากน้อยบอบบางนี้กับอะไรบ้างก่อนจะมาจูบผม คิดแบบนี้ คือผมเคยไม่ปรารถนาอยากจูบ ภาพอวัยวะความเป็นชายเกิดขึ้นในหัวทันทีที่โน้ม ผมแทบจะอ้วก แต่การประกบกอบก็ก่อเกิด ผมรู้สึกว่ามันเหนียวเหนอะ เหมือนสายสัมพันธ์ยืดยาวจากปากสู่ปาก

มิชาย้ำอีกครั้ง “เอาไม่อยู่แน่ เชื่อผม ผมไม่อยากให้คุณตรมด้วยพิษรักและการสูญเสีย” แถมเขายังยกตัวอย่างแบบคนมีภูมิ เป็นชั้นหนังสือปรัชญาและวรรณคดีชั้นเลิศ

“…ฟิตซ์เจอรัลด์กับแซร์…เธอจะรุดไปข้างหน้าแต่ถ่ายเดียว แล้วคนอย่างคุณก็ไม่เหมือนเคมาลเบย์ผู้สามารถกักขังซูฟุนไว้ในความเป็นเมียได้” พอมิชาอธิบายทั้งหมด ผมถึงเข้าใจว่าเหตุใดหญิงสาวน้อยใหญ่ถึงรายล้อมเขา เชิดชูเขาราวกับเป็นสามีผู้ปราดเปรื่องขจัดยากแค้น

แต่เธอสนใจสงครามในซีเรียและความซับซ้อนของผลประโยชน์และความหายนะ (นะ) สนใจพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนตาดำๆ ผู้ต้องสูญเสียตั้งแต่บ้าน ครอบครัว เด็กๆ เสียมือที่จะหยิบจับเด็ดดอกไม้มามอบให้แก่กัน รวมถึงชีวิตนับหมื่นนับแสนที่ตายไปในซากเมืองปรักหักพัง

แล้วเธอก็เริ่มวาดรูปกองรองเท้านับร้อยข้าง ของเด็ก ของชาย-หญิง สึกเก่า ใช้งานอย่างหนัก เปื้อนฝุ่นควันดำ ปราศจากคู่เหมือนสูญหายไปในโลกหลังความตาย

และก่อนที่เธอ ฟีโอสาวแว่นผมสั้นในชุดกระโปรงของผมจะวาดรูปต่อไป เธอจะทำเหมือนเดิมทุกครั้ง เรียวมือวาดน้ำหนักโอนอ่อนปลดสายคล้องบ่าเล็กๆ ชุดขาวเนื้อซาตินลงไปกองกับพื้นเสื่อขัดกร้านมันวาว ชั้นในสีอ่อนเข้ากับชุด เซ็ตเป็นพันถูกเปลื้องออกช้าๆ เหมือนกับดึงอารมณ์ออกมาให้เห็นก่อนมีใคร่และใช้มันอย่างเผ็ดร้อนรุนแรง ดวงก้นน้อยๆ ขาวเนียนของเธอนั้นกรุ่นงาม เป็นความโหดร้ายของสาวแว่น สาวแว่นผู้มีการเขียนจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่างบนแผ่นหลัง

รอยสักบอกตามตรงว่าเป็นเรื่องเล่า “ใครจะยอมง่ายๆ ให้จิ๋มของตัวเองเป็นมากกว่าเรื่องเล่าดาดๆ คือมันต้องถูกเล่าถูกพูดถึงอยู่แล้ว พอเข้าใจ ผู้ชายบางคนมักทำอย่างนั้น และอีกหลายคนก็ทำให้จิ๋มเป็นที่ทางแสดงอำนาจของตน ของสิ่งต่างๆ จากชาย อ่ะ เป็นใหญ่ด้วย รวมถึงการเอ่ยผ่านการมีลูก เป็นผู้นำครอบครัว…”

มือที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี สามารถเปลี่ยนแผ่นหลังอันว่างเปล่าให้หนักอึ้ง ลวดลายร้อยรัดขับเน้น แปลงหญิงสาวเบาหวิวให้ล่องลอยเป็นนางอัปสร ผมอ่านมันนับครั้งไม่ถ้วนจนจำขึ้นใจ อ่านทีละตัวทีละคำในขณะกำลังถูหลัง อ่านเผินๆ ตอนร่วมรักเต้นรัวตุบตอด หนำซ้ำยังเคยฟุบหลับไปบนความคิดความอ่านเธอ

เธอวาดเงาร่างโปร่งใสอันเป็นความทรงจำของเด็กชาย เด็กชายผู้มองดูครอบครัวพร้อมหน้า และฝันจำนั้นกำลังสลายซ้ำรางเลือนจางจากเมื่อเด็กชายกำลังจะตายในไม่ช้าเพียงลำพังเพราะความยากแค้นแสนสาหัส ผมเคยถามเธอแต่แรกๆ ว่าเหตุใดถึงต้องเปลือยเปล่าเวลาทำงาน

“มันแสดงถึงความเป็นส่วนตัว”

ราวกับโดนไม้ฟาดหน้าจนชา

นับแต่นั้นผมก็ย่างกรายเข้าไปในห้องของเธอนับครั้งได้ และกลายเป็นพวกถ้ำมองบ้างเป็นบางครั้ง

เราใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย มิชาชอบมาที่บ้านเวลาฟีโอทำงาน เขามักจะพกโครงการการท่องเที่ยวในโลกกว้างมาด้วย อาทิ ตุรกี รัสเซีย ภาคพื้นทวีปยุโรป ปรากฏความเชื่อมโยงแต่ไม่ยักจะสนใจตะวันออกกลาง คงเป็นจริตของชนชั้นกลางใหม่ผู้ร่ำรวยเมามันในการดื่มกิน แล้วเขาก็คะยั้นคะยอให้เราไปด้วย โน้มน้าวผมให้เห็นว่าการเดินทาง เห็นโลกกว้างและที่หนึ่ง โลกนั้นจะปรับเปลี่ยนมุมมองให้เราเข้าใจวิธีคิดของผู้คน เห็นที่มาที่ไป รับรู้ที่จริงของจริงเพื่อเสริมกระบวนการการได้มาซึ่งความรู้

แต่ผมไม่มีสมาธิเท่าไหร่เพราะการมาของเขา ซึ่งดูเหมือนจะมีวาระซ่อนเร้นต่อแผ่นหลังของฟีโอ ทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ ความขุ่นเคืองจะลากไปถึงเรื่องราวอื่นอันเกี่ยวเนื่อง เธอจะบันทึกสิ่งใดลงไปอีก รูปแบบตัวอักษรจะเปลี่ยนไปหรือไม่ จะเป็นมือเดิม มือใหม่ หรือวกกลับไปที่มือเก่ากว่าเดิม เธอจะให้ผมเขียนสักถ้อยคำไหม และแท้จริงแล้วเธอคิดประโยคนั้นขึ้นเองอย่างที่เธอว่าหรือเปล่า

ส่วนเรื่องความกังวลว่ามิชาจะเห็นเรือนร่างแผ่นหลังจริงๆ ของฟีโอตัดออกไปได้ เธอจะสวมชุดคลุมหรือใส่เสื้อผ้าทุกครั้งที่ออกจากห้องทำงานประหนึ่งในบ้านคือที่สาธารณะ ประการสำคัญเธอเองรู้อยู่เต็มอกว่าบ้านเรามักมีแขกแวะเวียนมาโดยไม่บอกกล่าวเสมอ แต่อย่างไรเสียผมก็อดไม่ได้ในเมื่อมีรูปเขียนชุดแผ่นหลังประดับผนังบ้าน ถ้อยคำเหล่านั้นชัดเจนและเห็นการเปลี่ยนแปลง

ผมคิดเสมอว่าการมาของมิชาคือการแอบมาเสพแผ่นหลังจากฝีมือของฟีโอเอง เท่าที่ผมจำได้ ผมเข้าใจว่ามิชาไม่เคยเห็นแผ่นหลังจริงๆ ของฟีโอ เธอมีเสื้อคลุมเสมอเมื่อสวมชุดกระโปรงเปิดหลังไปข้างนอก และผมเป็นไม่กี่คนที่เคยเห็น นอกจากช่างสักพวกนั้นและบรรดาคนรักเก่าซึ่งตัวบทบนหลังบอกความนัยให้ตีความได้มากทาง หลายทางทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

การมุ่งมั่นของมิชาทำผมไหวหวาม เพียงเสี้ยวนาทีที่เขาเดินผ่านบรรดารูปแม้จะทำทีไม่สนใจให้นกตื่นเมื่อแรกเจอหรือซุกซ่อนความตื่นตัวไว้ใต้ความเคยคุ้นมองผ่าน แต่เขาได้สวาปามเกี่ยวเก็บด้านหนึ่งของฟีโออย่างตะกละตะกลามต่อให้ใครหลายคนจะไม่สนใจหรือมองว่ามันเป็นเพียงรูปเขียนธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ รวมถึงเป็นข้อเขียนเพี้ยนๆ ไร้สาระของพวกโลกสวยที่แต่งหน้าผัดแป้งอยู่หน้ากระจกบนหอคอยงาช้าง (ซึ่งหอคอยฯ นี้อาจเคยเป็นประภาคารส่องแสงสาดดวงไฟยามค่ำคืนให้หมู่เรือรู้ตำแหน่งแห่งที่อันปลอดภัย)

“ปีเตอร์ เปโตรวิช ผู้เชื่อในตัวเองอย่างเหลือล้น หลงในอำนาจตนจนน่าคิด ผมพึ่งพาเขาตรงไหน” ตรงนี้ผมเพียงคิด ไม่ได้พูดออกไปเพราะไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจไหม แต่ก็อาจหาญต่อกรกับมิชาบ้างในทางอื่น ความเหลื่อมล้ำฝังลึกในทุกสิ่ง การเหยียดมีอยู่ในทุกคน และการลิดรอนความเป็นมนุษย์ดำรงชัดในโลกที่ว่าดีกว่า แน่ว่าผมกับเขาต่างรู้ ไม่มีสิ่งใดดีที่สุด สมบูรณ์พร้อม ต้องปรับ ลดเหลื่อมกันอยู่ตลอดเวลา

เอาเป็นว่าผมกับฟีโอยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ไม่สามารถละได้ในปีนี้

แล้วแผนการของมิชาก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เขาค่อยๆ หายไปพร้อมการจากอย่างไม่มีวันกลับของฟีโอ ร่างหยาดเยิ้มถูกเผามอดไหม้ ถ้อยคำแตกเป็นเสี่ยงๆ จากน้ำมือ… (ซึ่งเคยถืออาชญากรรมกับการลงทัณฑ์) ไม่มีเธออีกแล้ว ไม่เหลือสิ่งใดให้จับต้องสัมผัสได้ทางกาย จะมีก็แต่ความทรงจำอันเปี่ยมความหมาย มีความหมายหยั่งลึกอยู่แนบแน่นอก วันนี้อาจชัด ถ้าชีวิตยืนยาว ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องราวทรงจำนี้จะชัดเจนเพียงใด มันอาจเป็นธรรมชาติที่สิ่งละอันพันละน้อยจะร่วงหล่นตามทาง เพื่อให้พออยู่ได้ ผมไม่ยี่หระต่อการใช้ชีวิตศฤงคารอีก บ่อยครั้งการคิดถึงเป็นทั้งความเจ็บปวดและเปล่าดายเปลื้องใจไปกับการโหยหาที่ไม่มีทางได้สวมกอด ไม่อาจได้โอบรัด ฟอนหาได้แต่สิ่งทดแทน

ผมให้ช่างสักเขียนถ้อยคำทั้งหมดซึ่งยังคงเป็นของฟีโอลงบนหลังตัวเอง รูปชีวิตเธอโชนแสง เพิ่มเติมถ้อยคำของตัวเองลงไปอีก ตั้งใจให้เป็นการเขียนแบบด้นถอยหลังเช่นการเย็บผ้า แต่ลวกๆ เพื่อเกี่ยวหนังสองผืน เย็บสองข้อความให้ติดกัน (โดยการบอกเป็นคำพูดซึ่งผมอยากให้เห็นเพียงแค่นี้) “…หลังจากนี้เธอจะมีชีวิต เธอจะปรากฏในตัวบนตัว ด้านในจึงทรงเสน่ห์ จึงเปี่ยมด้วยความเป็นเธอ ข้อความบนหลังซึ่งเธอจุดประกายไว้และลามไปทั่วทั้งทรวง ทั้งทรวงผมและคนต่อไป ถ้าเข้าใจในกัน เถ้าถ่านนี้”

คำว่า “จิ๋ม” ใต้ไฟดวงส้มกับบริบทในตัวบท ถ้อยคำสีดำที่ฉวยใช้ และบรรยากาศรอบข้างซึ่งเป็นห้องปิดม่านกลิ่นฟีโอลอยนวลคละควันบุหรี่ซองฟ้าของเราจึงสร้างความอีหลักอีเหลื่อต่อช่างเขียนที่จ้างมาให้เขียนภาพแผ่นหลัง เธอพยายามข่มมือไม่ให้ต้องรักความยียวน (ของฟีโอ) ขำเขิน เก็บใจเพื่อไม่ให้เสียการงานอาชีพ แม้ภาพจะออกมาดีขนาดไหนก็ตาม

“ต้องเป็นคนจริงจังกับความคิดความอ่านแน่เลย แบบนี้ถ้าเจอมุขบาทสองบาทต้องหัวเราะท้องคัดท้องแข็งชัวร์” เป็นอย่างที่คิดไว้ เธอรู้จักฟีโอดี

ผมกับฟีโอต่างโดดเดี่ยว ต่างอาศัยอยู่ในความคับข้อง ในความเดียวดาย ในประภาคาร คงด้วยโลกปัจจุบัน โลกวรรณกรรมเต็มไปด้วยสิ่งนี้ จะนอนที่ใดเหมือนได้ซุกหัวไปในช่องว่างความอ้างว้าง ไม่เปี่ยมเต็มพอดี แต่ปรี่ล้นเนืองนองเป็นของเหลวไหล คล้ายน้ำตา เช่น ความยาก ผู้ยากไร้อัดแน่นในที่คับแคบ คนรุ่มรวยครอบครองความกว้างใหญ่ไพศาลโดยไม่มีคนดีสักคนทักท้วง พูดแบบนี้คงจะเกินไป ต้องมีบ้าง สองสามคน

มุสตาฟา เคมาล ผู้ถูกกล่าวถึงและอ้างโดยแอร์โดอาน เกี่ยวกับความสดใสในภายภาคหน้าของตุรกี ปามุกคงตั้งใจให้เป็นเคมาลเดียวกัน เพียงแต่สร้างรัฐกับสร้างพิพิธภัณฑ์อันเป็นสัญญะของรัฐ (แห่งความรัก ฯลฯ) สำหรับบางคน ทุกอย่างเป็นการเมือง ผมคิดถึงฟีโอเหลือแสนและศิลปินสาวมาหาเธอบ่อยครั้งแทนมิชา (เขาอาจกลายเป็นผู้สาบสูญ) เธอมักชวนฟีโอสนุกสนานกับชีวิตประจำวันอันสามัญ เป็นการดีกับการวางใจนี้

ผมเห็นว่าซัตจังเป็นหญิงสาวนุ่มลึก รอบรู้ และชาญฉลาด ซึ่งเป็นลักษณะที่ผมหลงใหลและโรคที่ผมเป็น ต่อให้ใครจะหาว่าผมเหยียดตัวเองและความไม่รู้ก็ตาม

“เป็นความล้มเหลวของมนุษย์เพื่อความมั่นคงของชาติ”

ซัตจังเคยเอ่ยถึงเรื่องผู้อพยพ และผมก็ไม่ใช่คนใช้ภาษาเขียนนี้แต่เติบโตหรือเป็นภาษาแม่ ผมเป็นคนอื่น คนนอกด้วย ซึ่งใครๆ ต่างพูดถึงมันด้วยความหมายอันต่ำ เกลื่อนกลาด

ไม่นานนักการอ่านของซัตจังในจังหวะหนึ่ง เป็นการอ่านสิ่งรายล้อม ปรากฏการณ์ สัญลักษณ์ และอื่นๆ เพื่อสัมพันธ์กับโลกและทำความเข้าใจมนุษย์ อย่างน้อยก็กับผมคนหนึ่ง เธอสงสัยและมองเห็นบางอย่างซึ่งถูกละไว้ ไม่พูดถึง พูดอีกแบบเธอนึกถึงสิ่งตรงข้ามกับที่ผมแสดงและพบความเป็นไปได้ว่าผมเก็บงำบางอย่างไว้ เธอจึงออกตามหามิชาอย่างลับๆ ยิ่งค้นพบความเงียบงันเท่าไหร่ กุญแจจะไขความจริงก็ค่อยๆ แจ่มชัดในกระเป๋ากางเกงผมที่ซัตจังสามารถล้วง ควานหาได้ไม่ยากเย็น

เป็นการเสแสร้งที่น่าอับอายเป็นที่สุด ผมบอก จะขอแวะเจอเพื่อนคนหนึ่งเมื่อบังเอิญผ่านมาทางนี้ ภาพยิ้มเยาะ ไม่ก็กระหยิ่มยิ้มย่องลอยมาแต่ไกล ผมพึ่งพาเขาเพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้เป็นตามที่ละไว้หรือมุ่งถึง หนำซ้ำยังมุ่งถึงให้ลึกลงไปว่าไม่ใช่การลวงเธอมาฆ่าทิ้งซึ่งเสี่ยงมากกว่า และในอีกไม่ช้ามิชาจะตามมาเย้ยหยันผมถึงที่บ้าน เล่นสนุกกับความหึงหวงในอก

“อ๋อ บอกตรงๆ กลัวจะไร้หลักฐาน แก้เผ็ดใช่ไหมคะ เข้าใจแสดงความอบอุ่นในคำนั้นนะ ทำให้สิ้นสงสัย”

ผายมือ ยักไหล่ ผมไม่อยากสรุปความใจกว้าง ช่างพยายามเข้าใจสัมพันธ์ของสาวน้อยใต้แว่น ล่วงเลยไปถึงนัยของมิชาว่ามันสะท้อนถึงผม “รุดไปข้างหน้าแต่ถ่ายเดียว” ในเมื่อฟีโอได้ตายโดยไม่กริ่งเกรงว่าสปิริตของเธอจะกลายเป็นเรื่องสั้นน้ำดีหรือไม่ เธอให้มันเป็นหน้าที่ของผม ซัตจัง ไม่ก็มิชา มิชาที่อาจเขียนเสร็จแล้ว มีคนอ่านแล้ว ผมกับฟีโอในเรื่องของมิชาอาจแสดงความนิยมการกดขี่ทางเพศ โลกแคบ หรืออาจดีกว่าจะคาดคิดได้

มิชาผู้มีเรือนกายสะอาดสะอ้านไร้ด่างดำสันสีอาจให้คำตอบง่ายๆ แต่ลึกซึ้งยิ่งใหญ่ว่า “ใครคือฆาตกร คือโสเภณี และผู้ช่วงชิงความหมาย” คิดอย่างนี้ผมเริ่มท้อใจ เขาไปไกลกว่าแผ่นหลัง การยั่วล้อของมิชาอาจเหมือนการหาเพื่อเสนอเรื่องราวความคิดผ่านคำโกหกนั่งเทียนเขียนหรือจะเรียกอะไรก็ตามแต่ตามคำของคนเขียน เช่นผมซึ่งเหนียมอายเหลือแสนจะเรียกตัวเองเช่นนั้น แต่เป็นเพียงผู้หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องโป๊เปลือยเปลื้องผ้าสัปดน

ยิ่งเห็นการเขียนของซัตจังแล้ว

“ฉันจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ ปรัชญา และวรรณกรรมทำหน้าที่ของมันด้วยตัวมันเองในสังคมอันพึ่งมิได้ ในขณะเดียวกันจะพยายามทำให้มนุษย์สนใจในมนุษย์อย่างที่ควรจะเป็นมากขึ้น ทำให้เป็นพื้นฐาน (ความรู้ การรู้เหตุผลความรู้สึก ตลอดจนความงามและการใช้) อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงรั้วการศึกษาในระดับต่างๆ และถึงจะเป็นการพูดซ้ำๆ ผ่านภาษาไม่ว่าจะวิธีการเขียนการอ่าน เสียงพูดคำอธิบายก็จำเป็นต้องทำ…”

ผมจะคิดจะเขียนเองได้เมื่อไหร่ หรือต้องรอกลิ่นแผ่นหลังสาบไหม้กรุ่นหอมปรุงสุกประหนึ่งกำลังสิ้นแสงแรงร้อน เมื่อไหร่ผมจะเขียนได้ (ต้องสังคมที่พึ่งได้หรือ) ริมปากสัมผัสไล้ไปทีละคำ แผ่วเบาแทบจะไร้แรงเสียด ถนอมกลัวฉีกง่าย ใช่ ฉีกง่าย ชัดเจน อ่านได้แต่เขียนไม่ได้

“ฟีโอ ซัตจัง” ดังถ้อยคำปลุกเร้า ลามไหลไปกับลมหายใจทวยอ่อน รินรดแผ่นหลังเสมือนน้ำชโลมผืนป่าแห้ง จะกี่แผ่นหลังกัน เนื้อนวลแข็งขืน กล้ามเนื้อเกร็งตึงตามปรารถนาแห่งด้านใน โค้งเว้า ร่องราง ก่อนตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง

“สนุกไหมคะ” ซัตจังใช้น้ำเสียงจริงจังที่ข้างหูอย่างซุกซนชื่นชอบ แม้คำถามจะคลุมเครือแต่ผมเข้าใจความหมายเธอ ผมอยากหยุดตรงนี้ ทิ้งรู้สึกระบมเอมอิ่มไว้ เธอรู้ว่าผมจะตอบความถูกต้องของรักใคร่เสมือนหนึ่งเคียงความเท่าเทียม เซ็กซ์ก้าวข้ามทัศนคติหนึ่งซึ่งไม่ตรงกันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันเช่นคู่สมรสยาวนาน ต่อให้เซ็กซ์นั้นดีเพียงใด

“น่ารักจัง! สนุกไหมกับไออุ่นในคำนั้นเหรอ” ผมพูดขณะมองตาเธอ เนื้อแนบเนื้อ เหงื่อสัมผัส เรายังมิหลุดออกจากกัน