เรื่องสั้น l ก้อนขี้หมา

“เรียนเชิญครูทุกท่านประชุมพร้อมกัน เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมสันติภาพ” ข้อความในกลุ่มไลน์ข่าวสารราชการของโรงเรียนแจ้งเตือนก่อนเวลาพักเที่ยง ตามด้วยเสียงโห่ร้องดีใจของนักเรียนส่งต่อกันเป็นทอดๆ จนทั่วโรงเรียน ครูอ่านข้อความให้นักเรียนฟัง นักเรียนได้กลับบ้านก่อนเวลา

“หายหัวไปอาทิตย์หนึ่ง โผล่หัวมาก็ประชุม” ครูกัลยาบ่นกับเพื่อนในห้องพักครู

ครูกัลยาไม่พอใจ ผอ.เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่ปีนี้แกไม่ได้สองขั้น ทั้งที่ครูหลายคนมองว่าถึงคิวแก และแกสมควรได้

ครูผู้หญิงคนหนึ่งถาม ผอ.ในที่ประชุมหัวหน้ากลุ่มงาน ซึ่งมีครูประมาณสิบคน ว่าทำไมไม่ให้สองขั้นครูกัลยา แต่กลับไปให้ครูสกาวใจ

ผอ.อธิบายว่า “ปกติคนเราเลี้ยงแมว เราต้องการสองอย่าง หนึ่งคือ เพื่อไว้ใช้งาน สอง เพื่อความสบายใจ แมวตัวที่จับหนูเก่ง ทำให้บ้านเรือนสงบสุข ไม่มีหนูมากัดทำลายข้าวของ แมวตัวนั้นมีความดี แมวตัวที่คอยอ้อนคลอเคลีย คอยประจบประแจงเอาใจเจ้าของ ทำให้เจ้าของมีความสุข แมวตัวนั้นมีความชอบ แมวตัวไหนมีคุณสมบัติทั้งสองอย่าง ตัวนั้นคือสุดยอด”

แต่เมื่ออยู่ในวงเหล้ากับครูผู้ชายที่สนิท ผอ.บอกว่า “ครูกัลยากับครูสกาวใจความดีเท่ากัน ต้องตัดสินกันที่ความชอบ ครูสกาวใจนมใหญ่กว่า ผอ.ชอบคนนมใหญ่”

การประชุมเริ่มต้นเหมือนทุกครั้ง วาระแจ้งเพื่อทราบ ผอ.พูดถึงนโยบายเดิมๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง

“ปีนี้คะแนนโอเน็ตของโรงเรียนต้องสูงขึ้นห้าเปอร์เซ็นต์ ท่านรัฐมนตรีเน้นย้ำเรื่องนี้” ผอ.พูดถึงการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน ระดับชั้น ม.3 และ ม.6 ที่สอบเหมือนกันทั้งประเทศ “เพราะฉะนั้น ผอ.ขอประกาศนโยบายเลย ให้ครูทุกคนสอนเน้นเฉพาะเนื้อหาที่ออกข้อสอบก่อน ข้อสอบก็ออกประเด็นเดิมๆ เก็งไม่ยาก ปีนี้การพิจารณาความดีความชอบจะใช้คะแนนโอเน็ตเป็นตัวตัดสิน เดือนสุดท้ายโรงเรียนจะจ้างติวเตอร์จากกรุงเทพฯ มาติวให้ มั่นใจว่าวิธีนี้คะแนนโอเน็ตของโรงเรียนสูงขึ้นแน่นอน”

ครูส่วนใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย ครูวิสุทธิ์ยกมือ ครูสมหมายเหยียบเท้าครูวิสุทธิ์ให้อยู่เฉยๆ ด้วยความหวังดี แต่ครูวิสุทธิ์ไม่ฟัง

การประชุมแต่ละครั้งมีครูเข้าประชุม 80 คน มีเพียงครูวิสุทธิ์คนเดียวที่กล้าแสดงความคิดเห็นแย้งกับ ผอ. วันไหนครูวิสุทธิ์ไม่เข้าประชุม ผอ.จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“มีอะไร คุณวิสุทธิ์”

“ผอ.ครับ ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็น ผมว่าความรู้ในโลกนี้มีมากมาย และมีความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน การที่เราเน้นเฉพาะเรื่องที่จะออกข้อสอบโอเน็ต เป็นการตีกรอบและจำกัดโอกาสในการเรียนรู้ของเด็ก เท่ากับเราบอนไซ ฆ่าเด็กทางอ้อมนะครับ”

“จะฆ่าเด็กได้ยังไง เมื่อเด็กทำคะแนนโอเน็ตได้ดี คะแนนนี้เป็นองค์ประกอบใช้ในการคัดเลือกเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย ผมว่าเป็นการสร้างอนาคตให้เด็กที่ตรงประเด็นที่สุด เปรียบเหมือนนักมวยออกอาวุธมากแต่ไม่เข้าเป้าก็ไม่ได้คะแนน เสียแรงเปล่าๆ ออกอาวุธน้อยแต่เข้าเป้า ประหยัดแรง และยังได้คะแนนด้วย พวกคุณสอนน้อยๆ ให้ตรงประเด็นดีกว่า เด็กสามารถเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็เท่ากับได้โอกาสในการเรียนรู้เอง” ผอ.ยืนยัน

“ผอ.ครับ คุณภาพของคนไม่ได้วัดกันที่ข้อสอบ และความสำเร็จของชีวิตไม่ได้วัดกันที่ใบปริญญานะครับ” ครูวิสุทธิ์พยายามจะยกเหตุผลอภิปรายต่อ แต่ถูก ผอ.ขัด “ที่คุณเป็นครูอยู่ตอนนี้ได้เพราะคุณจบปริญญาไม่ใช่หรือคุณวิสุทธิ์ คุณเป็นครูก็คิดแบบครู ถ้าคุณมาเป็นผู้บริหารแบบผม คุณก็จะคิดแบบผม”

ผอ.พูดต่อ “ผมเองก็ได้รับการร้องเรียนมาจากผู้ปกครองด้วยว่าครูวิทยาศาสตร์สอนเด็กไม่ค่อยรู้เรื่อง พวกคุณอยากบอกอะไรเด็กก็บอกไป ไม่ต้องไปทำการทดลองให้มันยุ่งยาก นักวิทยาศาสตร์เขาค้นพบความรู้มานานแล้ว พวกคุณยังจะมาให้เด็กทำการทดลองหาความรู้เดิมๆ เด็กเขาก็ไม่อยากเรียน แห่ไปเรียนพิเศษกันหมด ฝากทุกคนปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอนด้วย โรงเรียนจะได้ประหยัดงบประมาณเรื่องอุปกรณ์และสารเคมีต่างๆ สารเคมีพอพวกคุณสอนเสร็จก็เทลงท่อน้ำ ไหลไปตามแหล่งน้ำต่างๆ เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม”

“อีกเรื่องที่เป็นนโยบายสำคัญ กีฬาสีปีนี้โรงเรียนทุ่มงบประมาณไม่อั้น ขอให้จัดให้ยิ่งใหญ่ พิธีเปิด ผอ.จะเชิญท่านอดีต ส.ส.มาเป็นประธาน ข่าววงในบอกว่าท่านย้ายพรรค เลือกตั้งรอบหน้าท่านอาจได้เป็นรัฐมนตรี”

ผอ.พูดต่อ “และอีกเรื่องที่จะแจ้งให้ทราบในวันนี้ ผอ.เขตท่านกำชับมาว่าไม่ให้ครูไปยุ่งเกี่ยวเรื่องการเมือง หากมีครูไปเกี่ยวข้อง ให้โรงเรียนรีบรายงานทันที ท่านจะได้รายงานท่านรัฐมนตรี คงไม่มีครูคนไหนทำให้ผมต้องเดือดร้อน โรงเรียนต้องเสียชื่อนะ”

เรื่องสำคัญที่ ผอ.นัดประชุมในวันนี้คือการเตรียมการประชุมผู้ปกครองก่อนเปิดภาคเรียนหน้า

“ผอ.ต้องการให้ผู้ปกครองมาโรงเรียนแล้วเกิดความประทับใจ จึงต้องเตรียมการแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะวารสารโรงเรียนต้องทำออกมาให้ดูดี ผลงานต่างๆ ของโรงเรียนเอาลงให้ครบถ้วน”

“ไม่ทำอะไร จะเอาผลงานมาจากไหน” ครูกัลยาซุบซิบกับเพื่อนครูที่นั่งข้างๆ “มาอยู่กินบุญเก่าไปวันๆ”

ครูวิสุทธิ์ยกมือ ครูสมหมายเหยียบเท้า แต่ไม่เป็นผล

“ผอ.ครับ ผมคิดว่าเราควรทบทวนการทำวารสารโรงเรียน ปีที่แล้วพิมพ์สีทุกหน้า ราคาเล่มละร้อย พิมพ์พันเล่ม ใช้งบแสนหนึ่งนะครับ” ครูวิสุทธิ์เสนอ “ยุคนี้คนใช้โซเชียลมีเดียกันหมดแล้ว เราควรใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ หรือทำเป็นอีบุ๊กสแกนคิวอาร์โค้ดก็ได้ เงินแสนหนึ่งควรทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับเด็กมากกว่านี้”

“เรื่องนี้มันไม่ใช่หน้าที่คุณนะคุณวิสุทธิ์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่เขารับผิดชอบเขาก็อยากให้งานของเขาออกมาดี งบประมาณก็ตั้งไว้ในแผนแล้ว” ผอ.บอก

“ถ้า ผอ.จะทำ ผมขอให้มีสาระกว่าปีที่แล้ว” ครูวิสุทธิ์พูด “ปีที่แล้วสวย แต่ไร้สาระ”

ครูสกาวใจยืนขึ้น ตาแดงๆ ก่อนน้ำตาไหล “ปีนี้ ผอ.มอบหมายคนอื่นนะคะ หนูคิดว่าหนูเป็นคนไร้ความสามารถ อยากให้คนที่มีความสามารถด้านนี้มาทำ”

“ใจเย็นๆ ก่อนครูสกาวใจ” ผอ.บอก และหันไปทางครูวิสุทธิ์ “คุณวิสุทธิ์…”

“ครูวิสุทธิ์ไปเข้าห้องน้ำครับ” ครูสมหมายบอก

“ทุกเรื่องที่ผมสั่ง ผมมอบหมายไปแล้ว ถือเป็นความรับผิดชอบของผม” ผอ.บอก “ทุกคนทำหน้าที่ให้เต็มความสามารถ อย่าสนใจเสียงนกเสียงกา”

“หนูยืนยันว่าหนูขอลาออกจากงานประชาสัมพันธ์” ครูสกาวใจบอก มือกำกระดาษทิชชู่ที่เพิ่งเช็ดน้ำตา

“ได้สองขั้นไปแล้ว ไม่ต้องทำงาน คอยเสนอหน้าก็พอ” ครูกัลยาซุบซิบกับเพื่อนครู

“ผอ.ไม่อนุญาตให้ลาออก แต่จะแต่งตั้งคนไปช่วยเพิ่ม และปีนี้วารสาร ผอ.จะลงไปดูแลเอง” ผอ.บอก “หน้าปกวารสารปีนี้ เอารูป ผอ.ที่ถ่ายคู่กับท่านรัฐมนตรีขึ้นหน้าปกนะ ผอ.ส่งไลน์ให้ดูแล้ว ทุกคนคงเห็นแล้ว”

ผอ.ไปประชุมที่กรุงเทพฯ ได้ถ่ายรูปคู่กับรัฐมนตรี ผอ.ยิ้มหน้าบาน ขณะที่รัฐมนตรีดูท่าทางอิดโรย ผอ.ส่งรูปเข้ากลุ่มไลน์ข่าวสารราชการของโรงเรียน และใช้รูปนี้เป็นหน้าโปรไฟล์เฟชบุ๊ก

“เพราะรูปนี้แหละ ถึงเรียกประชุมด่วน” ครูกัลยาซุบซิบกับเพื่อนครู

การประชุมเปิดภาคเรียนที่หนึ่งของปีการศึกษาใหม่ ช่วงเช้าเป็นการประชุมนักเรียน ม.ต้น และช่วงบ่ายนักเรียน ม.ปลาย ช่วงเช้ามีผู้ปกครองมาร่วมประชุมเต็มหอประชุม ช่วงบ่ายถึงเวลาแล้วแต่ผู้ปกครองมาไม่ถึงครึ่ง ผอ.สั่งให้ครูที่ปรึกษาโทรศัพท์ตามผู้ปกครอง

เสี่ยปรีชาเป็นผู้ปกครองนักเรียน ม.6 ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง มาโรงเรียนด้วยอารมณ์หงุดหงิดเพราะถูกครูโทรศัพท์ตาม เซ็นชื่อ รับวารสาร แล้วนั่งแถวหลังสุด ไม่นานก็ลุกออกไป

“พูดเหมือนเดิมทุกปี” แกบอกกับครูคนที่โทรศัพท์ตามที่โต๊ะเซ็นชื่อประตูหอประชุม

เสี่ยปรีชากลับเข้าบ้าน โยนวารสารไปในกองหนังสือพิมพ์เก่า ก่อนไปอุ้ม “ร่ำรวย” แมวตัวโปรดขึ้นพูดคุย พอคลายหงุดหงิด

แกมีแมวสามตัว มีเพียงร่ำรวยตัวเดียวที่รู้ใจแก วิ่งมาหาทุกครั้งเมื่อแกเข้าบ้าน

แกหันไปที่รั้วประตูบ้านที่แกเพิ่งเปิดประตูทิ้งไว้ “จัมโบ้” หมาบ้านตรงข้ามมายืนถ่ายและเห่าสองสามครั้งก่อนวิ่งหนีไป ไม่รู้เห่าแกหรือเห่าแมวที่แกอุ้มอยู่ ทำให้แกหงุดหงิดขึ้นอีกครั้ง

แกเกลียดหมาตัวนี้มาก เป็นคู่ปรับกับแกมานาน ครั้งหนึ่งมันมาถ่ายหน้าที่ประตูรั้ว แกลงจากรถแล้วเผลอเหยียบ แกถอดรองเท้าแล้วขว้างเข้าไปในบ้านเจ้าของหมาด้วยความโมโห จึงทำให้มีปากเสียงขัดแย้งกันตั้งแต่วันนั้น

“ถ้าไม่เพราะกฎหมายหมาๆ พ่อยิงมันทิ้งแล้ว” แกบอกกับร่ำรวย ก่อนตะโกนเรียกคนงานที่อยู่หลังบ้านมาจัดการ

“เล็ก เล็ก ไปโกยขี้หมาที่หน้าประตูที”

ชายแรงงานต่างด้าวร่างเล็กเหมือนชื่อเดินมาอย่างรู้หน้าที่ หยิบวารสารโรงเรียนดึงเฉพาะหน้าปกถือไปหน้าประตู ก้มลงใช้ไม้เขี่ยใส่หน้าปกวารสารโกยเอาไปทิ้งให้พ้นบ้าน

หากใครสังเกตดีๆ ตอนนี้จะเห็นก้อนขี้หมาบนหน้า ผอ. และรัฐมนตรี