เรื่องสั้น : น้ำตก

ผมไม่ได้ยินเสียงนั้นเหมือนเช่นที่เคยฟัง รอบตัวผมเงียบเป็นเวลาเนิ่นนาน และดำเนินอยู่ในรูปการณ์นั้นไปจนกระทั่งเรื่องราวทั้งหมดได้จบลง

จู่ๆ วันหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นอีก บางทีความบังเอิญก็เป็นเรื่องน่าขำ และน่าเศร้าในเวลาเดียวกัน

ทำนองแบบไหนนะ เหมือนในบทเพลงหนึ่งที่ไม่คุ้นหู จะตราตรึงหรือก็ไม่ แต่มันก็ลืมไม่ลง จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมจำได้แต่ภาพบางภาพที่ซ่อนดวงตาและรอยยิ้มของผมเอาไว้ เป็นบางสิ่งซึ่งสะท้อนอยู่ในภาพจำของผมเอง และมันไม่เคยมีท่วงทำนองอื่นใดอีกเลย ยาวนานไปจนกระทั่งในตอนที่ผมเขียนประโยคหนึ่งที่ขึ้นต้นว่า “อยากลืม”

เสียงทุ้มต่ำ หรือเร้าจังหวะรัวเร็วด้วยเส้นเสียงซึ่งกำลังเปลี่ยนเป็นเหมือนเชือกเส้นหนึ่ง ซึ่งลากปลายของมันอ้อมมาทางข้างหลัง แล้วตวัดด้วยความโกรธหรือแค้นเคือง ค่อยๆ รัดแน่นจากแขนไปจนถึงขา ตรึงผมไว้ตรงนั้นนานหลายนาทีก่อนผมจะพบว่าออกมายืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง

เป็นคุณที่ยืนอยู่ตรงนั้น ในภาพของเมื่อวานที่ผมเคยพบคุณครั้งแรก และผมเอ่ยว่า “ดินแดนสวรรค์เป็นของเราทุกคน แต่ขุมนรกกลับเลือกไปเฉพาะคนบาป

นี่หรือโลกที่เราอยู่ โลกที่เรามีชีวิตอยู่เพื่อเฝ้ามองตัวเองเดินหลงเข้าไป และกลับออกมาไม่ได้”

เมื่อเพลงเพลงหนึ่งมีเพียงดนตรี ก็ไม่ได้หมายถึงมันขาดความหมาย ในแง่ของสุนทรียะแล้ว นั่นคือศิลปะขั้นสูงสุดของการฟัง

ผมยังคงได้ยินเสียงคุณแว่วมา “เราไม่เคยอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ฉันหมายถึงอีกสิบปีข้างหน้า ผาน้ำตกแห่งนี้จะเหือดแห้ง และคงมีใครสักคนเนรมิตมันขึ้นมาในกลางตึกหรูย่านการค้าแห่งสำคัญของเมืองใหญ่”

“เราไม่ได้ออกไปพบสวรรค์ในป่าลึกของใครหรอกว่ามั้ย ที่นี่คือนรกเพียงแห่งเดียวที่พรากเราไปจากสิ่งที่เรารับรู้มันมาแต่เริ่ม”

“งั้นเหรอ”

“อืม.. ใช่”

“สวรรค์และนรกใกล้กันแค่เอื้อม”

“เหมือนปืนที่จ่อหัวเราอยู่ในตอนนั้นหรือเปล่า”

“คุณหมายถึง?”

“ใช่ หลายสิบปีก่อนเรายอมแลกอิสรภาพของตัวเองจากสิ่งที่เราเชื่อ และเราหักหลังตัวเองด้วยการเป็นใครสักคนที่จะเนรมิตทุกสิ่งขึ้นด้วยอำนาจที่เราเคยเกลียดชัง”

“แล้วไงต่อล่ะ ถ้าคุณหมายถึงเราต้องถอยหลัง”

“เรามาไกลแล้ว ไกลเกินกว่าจะจำว่าเราได้เชื่อมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่มีอยู่จริง”

เสียงดนตรีทำนองอะไรนะ แว่วมาจากป่าเขาลำเนาไพร ทำนองเพลงเพื่อชีวิต อุดมการณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยน แน่วแน่เพื่อแก้ไข ประชาชนผู้ทุกข์ยาก บทเพลงจะกล่อมเกลาหัวใจให้กล้าหาญ

ทว่าเสียงดนตรีทำนองนั้นแผ่วลง และค่อยๆ หายไปๆ

เรื่องที่ผมจำได้ไม่ได้เกี่ยวกับเสียงน้ำตกจากผาสูงเมื่อหลายปีก่อนนั่นหรอก แต่คือเสียงลมที่พัดเข้ามาในซอกตึกช่วงเย็นย่ำของวันหนึ่ง ซึ่งผมได้พบกับคุณโดยบังเอิญ คุณผู้กำลังถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศต่ออุดมการณ์ของตัวเอง กำลังนั่งเศร้า เตรียมตัวออกไปยืนบนดาดฝ้าบนตึกสูงเพื่อฆ่าตัวตาย

“ฉันไม่ได้เป็นคนคิดค้นรูปแบบการใช้ชีวิตอันบรรเจิดด้วยสิ่งทันสมัยนั้นหรอก ฉันเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่ง เป็นส่วนเสี้ยวที่ถูกหยิบยืมมาจากความไม่รู้ของคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจอะไรผิดพลาดเกี่ยวกับการเพิกเฉยต่ออำนาจที่มองไม่เห็น” คุณพูดประโยคนั้นก่อนยิ้มให้ผมแล้วเดินจากไป ตอนนั้นคุณเปลี่ยนใจแล้วที่จะไม่ตาย คุณบอกผมว่า คุณจะกลับไปบ้านเกิด

ครานี้ถ้าผมจะเล่าให้ฟังถึงประเด็นสำคัญที่ไม่เคยได้พูดออกไป ผมอยากเล่าในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเมืองเมืองนี้ ซึ่งน่ารื่นรมย์กว่าการโกหกแทนคนนับล้านเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีที่เราได้แลกมันมาด้วยการหลอกตัวเองไปวันๆ ว่าเราเลิศหรูอยู่ในความไม่สิ้นหวังของคนอีกนับล้านเหล่านั้น

ฟังอีกครั้ง เสียงที่ผมได้ยิน เป็นเสียงของอะไรนะ หยดน้ำร่วงลงจากใบไม้ หล่นลงบนผืนหญ้าหรืออย่างไรไม่แน่ใจ

ตอนนั้นเรานอนอยู่ใต้ร่มไม้ ยามเช้าหรือยามค่ำ ยามค่ำหรือยามเช้า ผมออกจะสับสนเรื่องเวลาอยู่บ่อยๆ แต่ช่างเหอะ เอาเป็นว่าคุณกุมมือผม ยื่นหน้ากระซิบข้างหูขณะเรานอนเอนหลังบนผืนหญ้า

“ฉันกลายเป็นอะไรไปแล้วรู้มั้ย เป็นเสียงที่คุณไม่ได้ยิน เสียงที่ดังอยู่ในหัวคุณ และจะดังตลอดไป”

นานวันโลกที่ผมยืมมาจากคนอื่นกลายเป็นโลกใบปลอมๆ ที่ผมค่อยๆ ลอกเปลือกมันออกทีละชั้น เพื่อได้เห็นแกนกลางที่มีคุณอยู่ แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ผมหลับตาเพื่อมองหาตัวเองในนั้น ก่อนลืมตา และเล่าให้คุณฟัง

“แม่ผมตายไปเกือบยี่สิบปีแล้ว แม่ไม่ได้อยู่ในส่วนที่ผมได้ยินเสียงโหยไห้ของลมพัดอีกแล้ว แม่อยู่ในทรงจำของภาพถ่ายสีซีดจาง ภาพถ่ายที่ไม่มีวันเกิดขึ้นซ้ำได้อีก อย่างดีเราแค่คัดลอกมาจากอดีตในครั้งนั้นมา ไม่อาจร้องไห้ซ้ำ ไม่อาจก่ายกอดความอบอุ่นใดๆ ที่เคยมี”

“คุณหมายถึงเสียงใช่มั้ย”

“ใช่ ผมหมายถึงเสียงที่หายไป อาจเป็นเสียงที่เราเคยฟังด้วยกัน จะเป็นเสียงร่ำไห้ หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งเราเคยได้กอดมันไว้เป็นเจ้าของ นานมาแล้ว”

ผมลืมไปแล้วแน่ๆ ว่าเล่าเรื่องถึงตอนไหน ตอนที่นอนบนเตียงนุ่มบนหอคอยงาช้างหรือพรมหญ้า กลางสมรภูมิของพี่น้องร่วมผืนดิน จำได้เพียงว่าตอนนั้นผมไม่มีใครนอกจากคุณ และเสียงกระซิบจากคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์

แปลความว่า เราจะตายไปจากการรับรู้ในสิ่งที่เราสร้างมันขึ้นมาหลอกตาตัวเอง จากนั้นวิ่งวนไปรอบๆ เพื่อตะโกนทำลายมันจากสำนึกที่หลบซ่อนอยู่ข้างใน

“คุณตายไปกี่หนแล้วจากการพูดความจริงของคุณ” ผมน่าจะได้ยินเสียงนี้มาแล้ว

เราอยู่ที่ไหนในตอนนั้น บนสะพานข้ามแม่น้ำกลางเมือง หรือบนถนนย่านจอแจไปด้วยร้านรวงสองข้างทาง หรือบนตึกสูงหลายสิบชั้นที่บรรจุเอกสารสำคัญที่จะเนรมิตต้นไม้ปลอม นกปลอม มนุษย์ปลอม และนโยบายปลอม ที่เขียนขึ้นมาเป็นเพื่อนยามเหงาของคนเมือง หรือว่าเราอยู่ในรถไฟฟ้าใต้ดิน ยืนอยู่ด้านประตูผู้โดยสาร แอบมองใครบางคนร้องไห้ เขาเหมือนพยายามเก็บเสียงร้องไว้ในฝ่ามือบอบบางของเขา

ช่างเถอะ เราไม่ได้อยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ เราอยู่ในโรงแรมเล็กๆ ในชนบทแห่งหนึ่ง ซึ่งเราแวะพักระหว่างการเดินทางไกลนับพันกิโลเมตร จากใจกลางเมืองหลวงมุ่งลงใต้สุดของประเทศ

ผมได้กลับบ้านอีกหน พร้อมภาพถ่ายของคุณที่ถ่ายเก็บไว้เมื่อตอนที่เราออกไปยืนบนสะพานสูงที่มองเห็นเมืองทั้งเมืองตกในม่านหมอกควัน ผมไม่ได้ยินเสียงชัตเตอร์ขณะคุณแอบถ่ายภาพนี้ ซึ่งดูไปก็เหมือนภาพขาว-ดำของแม่ผม เป็นภาพเดียวกับที่เคยวางหน้าโลงศพเมื่อสิบกว่าปีก่อน

คุณรู้ไหมว่าผมไม่ได้ไปร่วมงานศพแม่ตัวเอง

ผมพยายามฟังเสียงนั้นอีก ทุ้มนุ่ม เสนาะหูราวลมทุกสายพัดรวมมาที่นี่ ใบไม้ร่วงลง เสียงร่วงหล่นไม่มี เสียงทักทายก็ไม่มี

“ฉันเก็บคุณไว้ตรงไหนรู้มั้ย”

“ตรงไหน”

“วันที่คุณได้กลับบ้าน ฉันเก็บคุณไว้ตลอดระยะทาง ตรงนั้น ตรงนี้” คุณชี้นิ้วไปบนอกและดวงตาทั้งสองข้าง ก่อนถามขึ้นว่า “ตอนนั้นคุณคิดอะไรอยู่”

“หมายถึงในภาพนี้เหรอ”

“อืม..”

“ผมคิดถึงบ้าน อยากกลับไปบ้านของแม่ ไปหาใครอีกหลายคนที่ผมทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลัง”

ผมไม่เคยบอกใครไปว่าโดดเดี่ยวมานานแค่ไหนกับบางสิ่งที่สับสน และเมื่อถึงคราวที่ผมเลือกจะทิ้งตัวเองลงจากบ่าของคนอื่น แต่ท้ายที่สุดผมก็ได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงที่หยุดผมไว้ตรงนั้นเนิ่นนาน

เหมือนลมพัด เหมือนทุกสิ่งที่คุณเคยกระซิบบอก

คุณยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เชิงเขาทางเข้าน้ำตก ที่ซึ่งบ้านของผมซ่อนตัวอยู่ในนั้น บ้านที่ซ่อนเราไว้ด้วยความไม่ไว้วางใจต่อกัน ให้กลายเป็นสิ่งลึกลับ เป็นสิ่งเตือนใจอะไรบางอย่างที่หลอกหลอนเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

แม่เคยบอกผมว่า ถ้าบ้านหลังหนึ่งกลายเป็นที่คุมขังความชั่วร้าย เราควรเปิดประตูทิ้งไว้อย่างนั้น ให้ผ่านวันคืนไปสักชั่วอายุคน จนกว่าเราจะมั่นใจว่าไม่มีใครฉกฉวยอะไรออกไป จนกว่าความชั่วร้ายมาถูกทำลายลงจากมือของใครสักคนที่มีเจตจำนงต่อความดีงามอย่างแรงกล้า และเขาคนนั้นได้นั่งลง ถามไถ่ถึงญาติมิตรที่ตายจากไปทีละคน และเขาไม่หักหลังเราด้วยการลั่นกลอนประตูความทรงจำอันโหดร้ายนั้น

เมื่อนั้นบ้านเราจะเป็นบ้านที่สะอาดเอี่ยม พร้อมจะเป็นที่พักพิงของเราตลอดไป

คุณเป็นใครกันนะ เป็นประวัติศาสตร์ที่เรียกร้องการชำระหรือเปล่า หรือเป็นเพียงเสียงกระซิบจากสำนึกของเราเอง หรือเป็นเสียงร้องที่ดังก้องในป่าเขาลำเนาไพรเมื่อครั้งที่เราต้องหนีเข้าไปอยู่ในนั้น และไม่เคยกลับออกมาได้อย่างแท้จริง

ผมไม่รู้หรอก ผมแค่มองคุณจากสำนึกที่ผมรับรู้ได้จากการกระทำของคุณในวันนี้ หากคุณจะนำผมไปยังความทรงจำใหม่ๆ จำเป็นไหมที่คุณต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาทดแทนให้มันดูโอ่อ่า ผมเห็นแล้ว เห็นผลผลิตจากความพยายามของคุณ มันเหมือนบทเพลงที่ผมฟังอยู่ซ้ำๆ ในร้านเหล้ากลางเมืองใหญ่

คล้ายเราต่างเมามายอยู่ในกลางม่านควันของความไม่เข้าใจ เคลิ้มฝันว่าเสียงนั้นคือทำนองใหม่ที่จะนำความหวังอย่างหนึ่งให้เราได้เต้นรำ ที่ไหนได้ มันก็แค่เสียงผิดเพี้ยนไม่เป็นจังหวะ ระคนปนเปอยู่ในห้องที่ประตูปิดตาย ซึ่งมีคุณขังตัวเองอยู่ในนั้น เล่าเรื่องราวของผมและเพื่อนพ้องผ่านทำนองใหม่ที่ผมไม่รู้จัก

ผมเต้นรำได้อยู่เพียงครู่ จากนั้นก็ล้มลงต่อหน้าคุณอีกครั้ง เหมือนที่เคยเป็นมา เหมือนที่ประวัติศาสตร์ของเราได้เตือนใจเราไว้ด้วยการบันทึกความจริงไว้เพียงครึ่ง ซึ่งผมอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เข้าใจ ไม่เคยเข้าใจมันได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับความทรงจำของผม

ผมยืนอยู่ตรงนั้น ตรงที่แสงสว่างยามเช้าลอดผ่านกิ่งไม้ อวลไออากาศยามเช้าลอยหายเข้าไปในลมหายใจของผม ในมือของผมมีภาพถ่ายขาว-ดำของคุณ ซึ่งคุณถ่ายผมไว้ก่อนตาย

เดินออกไปหลังบ้าน ที่เดิมที่เคยพาคุณมาก่อนคุณหายตัวไปจากเส้นบรรทัดที่เราเขียนคำระลึกถึงไว้ให้กันเมื่อสิบปีก่อน มันเป็นเหมือนคำสัญญา เป็นเหมือนรอยจารึกของอุดมการณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยน แต่คุณก็จากลาเราไปก่อนที่เราจะได้เห็นดอกผลของมัน

“ได้ยินเสียงน้ำตกหรือเปล่า” แม่เคยถามคุณตอนที่คุณนั่งกุมมือท่านก่อนตาย คุณน่าจะจำได้ น้ำตกหลังบ้านเรายังอยู่เหมือนเช่นเดิม น้ำตกที่คุณทิ้งตัวลงไป และจมหายไปในนั้น

นรกหรือสวรรค์ใกล้กันแค่เอื้อมจริงหรือ เรื่องราวทั้งหมดที่ค่อยๆ ปะติดปะต่อขึ้นมาด้วยตัวมันเอง ทำให้นึกถึงตอนที่ปืนกระบอกหนึ่งจ่อหัวเรา และมันได้บางสิ่งแก่เราว่า หนทางชนะย่อมตกเป็นของประชาชนเสมอ ไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเริ่มต้นจากความโหดร้ายของใครก็ตาม แม้ทั้งหมดจะเหมือนภาพฉายซ้ำของประวัติศาสตร์ แต่อำนาจทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยนมือไปเป็นอื่น นอกจากมือของเราที่มั่นคงต่อความดี เชื่อมั่นในกฎแห่งนรกและสวรรค์

ผมนึกถึงตอนที่คุณยืนอยู่บนสะพานสูงกลางเมืองหลวง และบอกผมว่า “เราจะไม่ได้ยินเสียงนั้นอีกแล้ว เสียงของน้ำตกในกลางป่าลึก และเสียงของเพลงหนึ่งที่เราเคยร้องด้วยกันในป่าลึกเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน”

แต่คล้ายว่าผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เบื้องหน้าน้ำตกที่ส่งเสียงซ่านซ่า ซึ่งอวลไอเย็นชื้นห่มคลุมผมไว้ เนิ่นนาน ซึ่งทั้งผมและคุณต่างก็รู้ว่าเรื่องมันยังไม่จบเพียงเท่านี้ ท่วงทำนองของสายน้ำอันเย็นชุ่มและส่งเสียงซ่านซ่าจะยังคงดังยาวนานตลอดไป