เรื่องสั้น : ชีวิต!

“จินตรัย” แปลจากภาษาลาว

หนังสือรวมเรื่องสั้นชีวิต ไม่มีข้อมูลพิมพ์ที่ใดและเมื่อใด

“Ia vie” parleune vie d”un fruit qui passe de mains en mains. Et le moral de cet histoire…

“ชีวิต” สามารถกล่าวได้ว่าเป็นชีวิตของผลไม้ลูกหนึ่งที่ส่งจากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่ง

และคุณธรรมของเรื่องนี้มีอยู่ว่า…*

พระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่าวิกรมาทิตย์ เสวยราชสมบัติแห่งนครอุชเชนี นับตั้งแต่กาลนั้นจนมาถึงบัดนี้ ล่วงเลยมาเกือบสองพันปีแล้ว พระองค์เป็นกษัตริย์ที่กล้าหาญ ปรีชาชาญในการยุทธ์และการปกครอง ทำให้พสกนิกรใต้ร่มพระบารมีอยู่เย็นเป็นสุข ทรงทุ่มเทพระทัยในการศึกษาเล่าเรียนเป็นเลิศ ซึ่งทรงมีนักปราชญ์ในวังตั้ง 9 ท่าน ซึ่งทรงเรียกว่า “เนาวรัตน์กวี” อันมีท่านอาจารย์กิลาทาสเป็นต้น ได้ถวายคำแนะนำ คำสอน ส่วนท่านกบิทาสได้ประพันธ์บทกวีอาเศียรวาทสรรเสริญถวายพระเกียรติไว้ให้ปรากฏจนล่วงมาถึงปัจจุบันนี้ สมัยพระบาทสมเด็จวิกรมาทิตย์นั้นเป็นยุคที่วิทยาการเจริญรุ่งเรืองมาก..

พระบาทสมเด็จวิกรมาทิตย์เสวยราชสมบัติทรงสุขเกษมสำราญมาหลายขวบปี กระทั่งพระชนมายุได้ 30 พรรษา วันหนึ่งทรงดำริว่า นานาประเทศต่างบ้านต่างเมืองนั้นได้สดับเพียงชื่อเท่านั้น หากไม่เคยได้ประจักษ์แก่พระเนตรเลยซึ่งมีอยู่มากมาย สมควรอย่างยิ่งที่จะท่องเที่ยวทัศนาให้เห็นประจักษ์สักคราครั้ง! มีพระประสงค์เที่ยวท่องสอดส่องพินิจกิจการบ้านเมืองนั้นๆ หาช่องทางที่จะรวบรวมเป็นประเทศราช ทั้งด้วยกำลังอาวุธหรือกำลังสติปัญญา สุดแท้แต่จะพอเป็นได้ ครั้นดำริดังนั้น จึงทรงมอบราชการบ้านเมืองแก่พระอนุชาผู้ทรงพระนามว่าท้าวภัตติราช ปกครองบ้านเมืองเป็นการชั่วคราว ส่วนพระองค์ทรงแปลงพระวรกายเป็นพ่อค้าวาณิชเสด็จประพาสไปตามหัวเมืองต่างๆ พร้อมด้วยพระราชโอรสองค์ที่สอง ทรงพระนามว่าธัมมะธวัช

ท้าวภัตติราชพระอนุชาทรงปกครองบ้านเมืองแทนนั้น เป็นพระราชบุรุษที่หัวใจเปี่ยมแปล้ด้วยความโศกซึมเศร้าเหงาหงอยอยู่เสมอ อันสืบเนื่องจากการสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักยิ่งด้วยเหตุอันแปลกประหลาด

เรื่องราวถูกเล่าต่อๆ กันมาว่า

วันหนึ่ง ท้าวภัตติราชเสด็จประพาสป่าล่าเนื้อ ทรงพบสตรีหนึ่งกระโดดเข้ากองเพลิงซึ่งกำลังเผาศพสามี สตรีนั้นแสดงความมั่นใจปราศจากสะท้านกลัวใดๆ ทั้งปวง ครั้นท้าวภัตติราชเสด็จนิวัตถึงพระราชวัง ทรงเล่าเรื่องที่ได้พบเจอนั้นแก่พระชายาว่า นางนั้นมีสัจจะและกล้าหาญ น้ำใจช่างเด็ดเดี่ยวจริงแท้ พระชายาทูลว่า

“เมื่อสามีสิ้นชีพไปแล้ว ภรรยาที่ดีควรต้องสิ้นชีพตกไปตามกันโดยไฟแห่งความทุกข์ มิใช่สิ้นชีพในกองเพลิงที่เผาศพสามีหรอก พ่ะย่ะค่ะ”

ท้าวภัตติราชได้สดับดังนั้น ทรงเงียบสงบ ไตร่ตรอง และมิได้ตรัสอะไรเลย ครั้นรุ่งเช้าก็นำบ่าวไพร่ประพาสป่าล่าเนื้อต่อไป ไม่นานนักก็ตรัสกับมหาดเล็กให้นำฉลองพระองค์ที่ขาดวิ่นและเปื้อนโลหิตกลับสู่พระนคร ไปทูลพระชายาว่าเกิดอุบัติเหตุในป่า สมเด็จพระภัตติราชทรงสิ้นพระชนม์เสียแล้ว

พระชายาสดับดังนั้น ก็ล้มพระกายลงสิ้นพระชนม์ด้วยไฟแห่งความทุกข์

พระภัตติราชนิวัตจากป่า ทรงเสียพระทัยเป็นที่สุด จึงมีอาการโศกซึมเศร้าเหงาหงอย คลับคล้ายจะออกบวชเป็นฤๅษี แม้ว่าล้อมรอบพระวรกายจะมีพระสนมจำนวนมากมาย ก็มิอาจทำให้พระทัยชื่นบานได้ จนกระทั่งได้พระสนมองค์ใหม่มาเพิ่มอีก จึงดูเหมือนค่อยผ่อนคลายมีพระพักตร์สดชื่น พระชายาองค์ใหม่นี้มีใบหน้าขาวนวลประหนึ่งเดือนเพ็ญ ช้องมวยผมเหมือนก้อนเมฆตั้งเค้าอุ้มฝนหลั่งรินในน่านฟ้า ผิวกายนั้นดอกมะลิมิอาจสู้ได้ นัยน์ตาเหมือนเนื้อทรายระแวงภัย ริมฝีปากปานดอกขนุน ลำคอดั่งคอนกเขา นิ้วมือเหมือนดั่งสีเนื้อเนียนท้องหอยสังข์ บั้นเอวคอดกิ่วปานเอวเสือโคร่ง และบาทาปานดอกบัว

พระชายาองค์ใหม่ช่างงดงามถึงเพียงนี้ ท้าวภัตติราชให้หลงลืมพระชายาองค์เดิม พระทัยเคยซึมเศร้า บัดนี้กลับเบิกบาน แต่ว่าพระนางนั้นมิมีพระทัยจงรักภักดีต่อพระสวามีเลย หากไปฝักใฝ่รักอำมาตย์หนุ่มคนหนึ่งนามว่ามหิบาล

ไม่นานนักก็เกิดเรื่องอาเพศ…

บริเวณใกล้ๆ กำแพงพระราชวัง (เรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือคูเวียงนี่เอง) มีพราหมณ์เฒ่าคนหนึ่งกับเมียซึ่งเป็นคนทุกข์ยากเข็ญใจ ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยบำเพ็ญตบะ ด้วยไม่มีข้าว และทรมานสังขารตัวเองด้วยวิธีการต่างๆ นานา หน้าหนาวจะลงไปนอนแช่น้ำ หน้าร้อนจะก่อไฟไว้รอบตัว จนเทวดาที่ไร้ศรัทธาน้อยใหญ่ในละแวกนั้นพากันยำเกรงไปหมด ในที่สุดก็ร้อนถึงเทวทูตต้องลงมาจากสวรรค์นำผลไม้ลูกหนึ่งมายื่นให้พร้อมเอ่ยว่า นี่คือผลไม้อมฤต หากกินแล้วจะมีอายุยืนยาวอยู่ค้ำฟ้าอสงไขย พร้อมกันนั้นเทวทูตก็หายวับไปกับตา พราหมณ์ก็อ้าปากง้างฟันขึ้น คิดว่าจะกัดกินผลไม้อมฤต ครั้นเมียเหลือบมาเห็นเข้าจึ่งร้องห้ามว่า

“ตาเฒ่าเอ้ย! หยุดคิดไตร่ตรองให้ดีก่อน ความตายนั้นเป็นเพียงความทุกข์ทรมานชั่วครั้งชั่วคราวขณะอึดใจเดียวเท่านั้น แต่ความเป็นยืนนานนั้น การอยู่อย่างทุกข์เข็ญอย่างเราทุกวันนี้ มันเป็นทุกข์ทรมานที่ยาวนานที่สุด แกอยากมีความทุกข์เข็ญทรมานไปจนค้ำฟ้าเยี่ยงนั้นหรือ ความทุกข์ทรมานนี้มันเป็นบาปที่เราได้ทำเอาไว้แต่ครั้งชาติปางก่อนนะเว้ย แล้วแกจะมาหอบทุกข์เข็ญเป็นชีวิตนี้ไว้ทำไมกัน ผลไม้ลูกนี้แกอย่ากินเลย”

พราหมณ์เฒ่าได้ฟังเมียห้ามดังนั้นก็เกิดลังเลงใจ นั่งอ้าปากค้าง ตาจ้องมองแวบหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า

“เอ้อ! ข้าได้ผลไม้นี้มาจากเทวทูตก็ตั้งใจว่าจะกิน แต่เมื่อแกมาคัดค้านดังนี้แล้ว ข้าชักงสงสัยเสียแล้วล… แกผู้มีปัญญามากเห็นว่าควรจะให้ข้าทำอย่างใด ลองว่ามาซิ!!!?”

เมียจึงบอกว่า

“แกกับข้าได้กันมาก็นานโขมากแล้ว ขณะนี้ต่างก็แก่ชราหงำเหงอะซึ่งมากีดกันความสุขของวัยหนุ่มสาวออกไปเสียสิ้นแล้ว คนเฒ่าชราจะมีอายุยืนนานตลอดไปเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์อันใด แต่หากว่ากินผลไม้นี้ทำให้กลับกลายเป็นหนุ่มอีก ข้าจะไม่คัดค้านเลย”

พราหมณ์ฟังเมียบรรยายดังนั้นก็หมดความสงสัยลังเลใจ จึงโยนผลไม้นั้นลงพื้น ฝ่ายเมียเห็นเข้าก็เกิดความยินดี แต่ก็ซ่อนความดีใจนั้นไว้ไม่แสดงออกหน้าออกตาให้ผัวเห็นความผิดปกติ ความยินดีพึงพอใจนั้นเกิดจากความเห็นแก่ตัวซึ่งเธอเห็นว่า นางได้อยู่กินฉันผัวเมียกับเฒ่าพราหมณ์มาก็เนิ่นนานจนแก่ชรากันป่านนี้ หากผัวได้กินผลไม้อมฤตและมีอายุยืนยาวแต่เพียงคนเดียว ส่วนตัวเองกลับหนีความตายไม่พ้นเสียแล้ว ความยุติธรรมก็หามีไม่ (นางพราหมณ์คงคิดว่าในโลกนี้ยังมีความยุติธรรมหลงเหลือพอทำยาได้) ครั้นเมื่อเห็นผัวโยนผลไม้นั้นลงดินดังนั้นแล้ว เธอจึงกล่าวตำหนิการมีอายุยืนยาวเพิ่มเติมอีก จนเห็นว่าผัวหลงเชื่อจนถึงกับโกรธให้กับเทวทูต หาว่าเทวทูตเอาผลไม้อมฤตมอบให้โดยมีความประสงค์จะให้ตนทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างเนิ่นนานมิจบสิ้น จึงคว้าผลไม้นั้นจะขว้างเข้ากองไฟ ฝ่ายเมียจึงคว้าข้อมือได้ทันท่วงที พร้อมกับร้องว่า

“อย่าเพิ่งใจร้อนไปสิ! ผลไม้นี้ไม่ใช่สิ่งของที่หามาได้ง่ายๆ นะ เมื่อได้มาแล้วก็ควรใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ควรโยนทิ้งเสียเปล่า นั่นก็คือ ให้แกเข้าไปเฝ้าท้าวภัตติราช และนำผลไม้นี้ถวายพระองค์คงจะได้รับพระราชทานรางวัลให้แกเป็นแน่แท้ ซึ่งรางวัลนั่นแหละจะช่วยแก้ความทุกข์ยากของเราได้ เจ้าบำเพ็ญตบะมาช้านาน จนกระทั่งได้ผลไม้นี้มา จงทำตามคำแนะนำนี้เถิด”

พราหมณ์เฒ่าผู้เป็นผัวได้ฟังเมียว่าดังนั้น ก็เห็นดีด้วย จึงนำผลไม้นั้นไปถวายท้าวภัตติราช ทูลให้ทรงทราบถึงคุณสมบัติวิเศษของผลไม้นั้นว่า “พระองค์เชิญเสวยผลไม้ที่ข้าพระบาทน้อมทูลถวายนี้ แล้วพระองค์จะมีพระชนมายุยิ่งยืนยาว พระบารมีแผ่แก่พสกนิกรทั่วหล้า และถ้าฝ่าพระบาททรงเมตตาคุณประทานรางวัลแก่ข้าพระบาทสมกับคุณค่าของผลไม้นี้แล้ว พระบารมียิ่งแผ่ไพศาลทับทวีเกริกไกรออกไปมิยั้งหยุด”

ท้าวภัตติราชได้สดับพราหมณ์กราบทูล ทรงยินดีรับเอาผลไม้จากพราหมณ์ แล้วตรัสให้ตามเข้าไปในคลังทองสายที่ตั้งเรียงรายอยู่หลายกระบุง ให้พราหมณ์เฒ่าขนเอาไปตามใจชอบตามกำลังที่พอจะขนไปได้ พราหมณ์ก็เปลื้องผ้าคลุมออกหอบห่อเอาทองคำสาย สอดใส่บรรจุไว้ในที่ต่างๆ ที่พอจะใส่ได้

รวมทั้งในปากที่ใช้พูดจาไม่หยุดนั้น ก็อมทองไว้จนเต็มแปล้แก้มพองปรี่อูบอูม

ครั้นพราหมณ์เฒ่าออกจากวังไปแล้ว ท้าวภัตติราชเสด็จไปยังตำหนักพระชายาองค์ใหม่ ประทานผลไม้นั้นแก่พระนางพร้อมตรัสว่า

“น้องจงทานผลไม้นี้เสียเถอะ ความงามของน้องจะคงทนงดงามอยู่ตลอดไป เพื่อพี่จะได้ชื่นชมไปชั่วชีวิต”

พระชายามีพระพักตร์ขาวนวลดังเดือนเพ็ญนั้นรับเอาผลอมฤตจากพระองค์แล้วยื่นพระหัตถ์ไว้ที่พระอุระของพระสวามี บรรจงจุมพิตที่พระเนตรและพระโอษฐ์ พร้อมกับทูลว่า

“พระองค์เสวยผลไม้นี้เหอะ หรือมิเช่นนั้นก็แบ่งกันเสวยคนละครึ่ง เพื่อจะได้มีอายุยาวนานไปด้วยกัน ความเป็นสาวงามอยู่เสมอไปนั้น หากมิมีชายคนรักอยู่ด้วยแล้ว จะเกิดประโยชน์อันใด”

ท้าวภัตติราชได้สดับคำทูลจากพระชายาที่มีพระพักตร์ดังเดือนเพ็ญนั้น ก็เบิกบานพระทัย และตรัสกับพระนางว่า

“ผลอมฤตนี้ ต้องเสวยคนเดียวเท่านั้นจึ่งจะเกิดความอมตะ หากมาแบ่งกันเสวยแล้วไซร้ มิบังเกิดผลประการใดเลย”

ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จออกจากตำหนักไป ทิ้งผลอมฤตไว้ให้พระนางเสวยตามสบาย

ฝ่ายพระชายา ครั้นพระสวามีเสด็จไปแล้ว จึงบอกทาสีผู้ไว้ใจได้ให้ไปเรียกอำมาตย์ผู้ที่พึงใจนั้นมาเฝ้า แล้วพระนางก็ประทานผลอมฤตนั้นแก่มหิบาลอำมาตย์หนุ่มผู้เป็นที่รักด้วยกิริยาวาจาอันเปี่ยมด้วยเสน่หา อย่างน้อยก็เท่าๆ กับที่ได้แสดงต่อท้าวภัตติราชพระสวามีนั้น

มหิบาลรับผลไม้อมฤตด้วยกิริยาอันแสดงความรักอย่างสุดซึ้งไม่น้อยไปกว่ากัน จึงออกจากตำหนักไปถึงกลางถนนได้พบกับนางสนมรูปงามคนหนึ่ง ซึ่งอำมาตย์หนุ่มมีความเสน่หาแต่เก่าก่อน มหิบาลจึงมอบผลไม้อมฤตนั้นแก่นางด้วยกิริยาวาจาอันแสดงออกด้วยความรักที่ไม่แตกต่างจากที่แสดงต่อพระชายาเมื่อประมาณ 5 นาทีที่ผ่านมาแล้ว

นางสนมรูปงามได้ผลไม้อันเลิศ แต่ไม่รู้เรื่องราวมาแต่ต้นนั้น ก็เลยคิดที่จะหาความดีความชอบจากท้าวภัตติราช โดยฝันหวานว่าจะได้ตำแหน่งใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ จึงได้นำผลไม้นั้นไปถวายท้าวภัตติราช ทูลว่าผลไม้อมฤต เมื่อเสวยจนหมดแล้วก็จะมีพระชนม์ยืนยาวไปชั่วกัปชั่วกัลป์

ท้าวภัตติราชได้สดับคำทูลของนางสนม และทอดพระเนตรผลไม้นั้นก็ทรงจำได้ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการให้ผิดสังเกตแต่ประการใด ทรงรับผลไม้จากนางแล้วประทานทรัพย์สมบัติเป็นรางวัลมากมาย ครั้นนางสนมออกจากปราสาทราชวังไปแล้ว ก็ทรงพินิจพิเคราะห์ผลไม้ในพระหัตถ์พลิกไปมาพร้อมรำพึงว่า

“มายาคือความมั่งมี และมายาคือความรัก ความรักนี้ช่างมีคุณดีนัก อยู่แห่งหนใดก็มีแต่ความชื่นบาน สำราญใจ อันเกิดแก่มายาทั้งคู่นี้ อยู่ประเดี๋ยวเดียวก็กลับกลายเป็นความขมขื่นตลอดชาติ สมบัติเหล่านี้เปรียบดั่งเหล้าในจอกของนักเลงสุรา เมื่อจิบครั้งแรกมีรสดีซึมซาบวูบวาบไปทั่วสรรพางค์กาย ครั้นดื่มมากเข้าก็ทำให้เกิดทุกข์แก่ชีวิต มันมิใช่ใดอื่น มันคือความวนเวียนเปลี่ยนแปลงแห่งความชื่นบานอันกลัดด้วยความหลงกับความเร่าร้อนอันเป็นความจริงแท้เช่นนั้นเอง วันที่จะตื่นขึ้นจากชีวิตก็คือวันแห่งชีวิตนั้นเอง ทางสายที่สองแห่งการตื่นจากชีวิตนี้ ก็คือความเป็นฤๅษี ตั้งมั่นศรัทธาในตบะเพื่อพระผู้เป็นเจ้า จะได้ทรงกรุณาธิคุณประทานความสุขในโลกหน้าอันซึ่งมิได้ประทานสำหรับโลกนี้”

ได้กล่าวมาแต่เบื้องต้นแล้วว่า ท้าวภัตติราชเป็นผู้ทรงหฤทัยซึมเศร้า ทรงเป็นฤๅษีอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้อยคำที่ทรงรำพึงนี้จึงเป็นถ้อยคำของผู้ที่เตรียมพร้อมที่เข้าแรมไพรเป็นฤๅษี พวกเราฟังๆ ดูแล้วไม่เห็นได้ความหมายอะไร เพราะเรายังอยู่ห่างไกลจากความเป็นฤๅษีมากมายนัก และยังมิได้แสวงหาหนทางเข้าป่าไพร แต่ยังอยากสนทนากับพระชายา พระนางที่มีพระพักตร์ดังเดือนเพ็ญนั้นอยู่ พระองค์เสด็จไปยังตำหนักของพระชายาโดยซ่อนผลอมฤตไปด้วย ครั้นมาถึงจึงตรัสถามว่า

“ผลอมฤตที่ประทานให้นั้น พระนางเสวยแล้วฦๅ”

พระนางทูลว่า “เฮ้ย! ทำไมพระองค์จึงทรงถามเช่นนี้เล่า ข้าพระบาทได้รับพระราชทานก็ทานหมดไปแล้ว พระองค์ทรงเห็นข้าพระบาทงามน้อยกว่าเดิมหรือไร พ่ะย่ะค่ะ”

ท้าวภัตติราชทรงล้วงเอาผลไม้อมฤตนั้นออกมาอวดนาง แล้วมีดำรัสแก่ราชบุรุษให้บั่นเศียรพระนางเสียบประจาน

ส่วนผลอมฤตนั้น ทรงนำมาล้างให้หมดมลทินที่ปนเปื้อนจากมือผู้คนอื่นๆ นั้น แล้วเสวยจนหมดสิ้น

และแล้วทรงสละราชสมบัติเสด็จดำเนินไพร ทรงผนวชเป็นโยคี

มีชนลางกลุ่มเล่าขานปากต่อปากมาจนบัดนี้ว่า ฤๅษีภัตติราชยังคงทรงบำเพ็ญโยคะอยู่ที่เทือกเขาหิมาลัยอันเวิ้งว้างกว้างไกลนั้น ยากที่ผู้คนจะได้พบเจอ…

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2514/1971 นี้ หนังสือพิมพ์เสียงเสรีได้ลงข่าวเรื่อง “มีมนุษย์หิมะที่ภูเขาหิมาลัย” จากนักสำรวจชาวญี่ปุ่นนามว่านายมาซาซิโกะ ทานิกุชิ หัวหน้าคณะสำรวจได้พบรอยเท้ามนุษย์เดินไปตามพื้นหิมะเป็นระยะทางไกลถึงสองกิโลเมตร ร่องรอยนั้นจึงจางหายไป…

หรือว่านั้นเป็นรอยเท้าฤๅษีภัตติราช!?

ใครหนอจะรู้…ใครหน จะบอกได้…

นอกจากเทวทูต ซึ่งส่วนมากกำลังมัวเมาในอำนาจวาสนา หาเวลาว่างมาดูแลโลกนี้ช่างยากเย็นเสียเต็มประดา!!!

*ขอบคุณอ้ายไชสุวัน แพงพง นักกวีดับเบิลเหรียญทองระดับสากลแห่งรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ที่กรุณาแปลจากภาษาฝรั่งเศสที่โปรยไว้นั้นเป็นภาษาลาว แล้ว “จินตรัย” ได้แปลเป็นภาษาไทยอีกที