เรื่องสั้น : ดาวส่องเมือง (จบ)

คลิกอ่านเรื่องสั้น : ดาวส่องเมือง (ตอนต้น)

เป็นเวลากว่าสองเดือนที่ชาวเขาราวสามสิบครัวเรือนเริ่มจะเดือดร้อนหลังจากพวกเขาย้ายลงมาพร้อมกับข้าวสารจำนวนหนึ่ง จอบ เสียม หอบไก่มาเพียงครอบครัวละไม่กี่สิบตัวและเกลือคนละกำมือ หมู่บ้านตีนเขาซึ่งเต็มไปด้วยหลังคาเรือนชานของผู้มาก่อน แม้ผู้มาใหม่จะยังปลูกเรือนไม่ครบทุกครัว แต่ก็สามารถคะเนได้ว่าจะมีพื้นที่เหลือไว้ทำกินไม่มากนัก อย่าว่าแต่จะเพาะปลูกเลย ไก่สักเล้าอาจต้องเลี้ยงแออัดกันใต้ถุนเรือน พื้นที่เพาะปลูกที่ถูกเตรียมไว้ไกลจากแหล่งน้ำ แม้เจ้าหน้าที่บอกว่าจะจัดการระบบน้ำให้ทั่วถึง แต่ก็เป็นไปอย่างล่าช้าและยังไม่เป็นระบบมากนัก ซ้ำพื้นที่ทำกินยังถูกจัดสรรเป็นล็อกเล็กๆ ซึ่งเมื่อลงมือปลูกข้าวและพืชไร่ ได้ผลผลิตเพียงหยิบมือ หลายครอบครัวเริ่มแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการแบ่งสมาชิกส่วนหนึ่งไปเป็นแรงงานรับจ้างในเมืองให้พอมีรายได้อีกทาง แต่ก็มีอีกนับสิบที่แอบหนีกลับขึ้นเขา มุ่งหน้าไปอยู่ตามรอยต่อของสองแผ่นดิน ชายชรามองอนาคตของตัวเอง นั่งถอนใจหลายครั้งอย่างคิดไม่ตกตัดสินใจไม่ได้ว่าจะหยิบจับทำอะไร แกมองร่างกายผ่ายผอม ผิวหนังเหี่ยวย่นของตนเองอย่างปลดปลง ทั้งร่างกายและจิตใจ แทบไม่มีเรี่ยวแรงใดให้ได้แลกเปลี่ยนเป็นเงินได้เลย แกไม่รู้จะทำอย่างไร คิดถึงหลานชาย หากเขาอยู่ด้วยคงดีไม่น้อย

วาลานั่งฟังเพื่อนหญิงในหมู่บ้านซึ่งกลับมาจากไปสมัครทำงานที่ร้านอาหารในเมือง พร่ำพรรณนาถึงสิ่งแปลกตา แสงไฟสวยๆ ที่ดูเหมือนจะไม่ยอมหลับใหลตลอดราตรีกาล ต่างจากดวงไฟในหมู่บ้านเรา ที่เมื่อพลบค่ำมาถึงทีไร ไฟทุกดวงก็เหมือนจะพร้อมใจกันดับแสงลง

เสื้อแขนตุ๊กตาและกระโปรงสีฟ้าติดปลายด้วยลูกไม้เล็กๆ สีขาว แลดูอ่อนหวานเมื่อหญิงสาวรุ่นพี่ผู้กำลังสวมบทนักเล่าสวมใส่ สิ่งที่เนรมิตให้ดวงตายาวรีและคมกริบถูกเรียกว่าอายไลเนอร์ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของหญิงสาวในเมือง หลายสิ่งถูกนำมาบอกเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น วาลาทำตาโตเมื่อรู้ว่าขนตางอนงามที่ติดอยู่ปลายเปลือกตาของเพื่อนนั้นคือขนตาปลอม เธอประหลาดใจกับหลายสิ่งที่เนรมิตความงามให้กับผู้หญิง ซึ่งต้องใช้เงินแลกซื้อมาทั้งสิ้น

วาลากลับมานั่งหลังบ้านอยู่คนเดียว ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพื่อนพูดเกี่ยวกับการไปทำงานที่ร้านอาหารในเมือง คำบอกเล่าหลายอย่างทำให้หัวใจเธอกระพือปีกพึ่บพั่บแทบจะโบยบินออกจากอก อยู่ที่นี่ก็เหมือนอยู่ไปวันๆ ไม่มีงานให้ทำมากเหมือนอยู่บนเขา ไก่ที่เลี้ยงไว้ก็เริ่มลดจำนวนลงเพราะถูกปู่จับทำอาหาร เธอไพล่คิดไปถึงพี่ชายผู้กล้าเลือกหนทางให้กับตัวเอง

แล้วหนทางของเธอล่ะ

เธอเริ่มคิดถึงดาวในเมือง ซึ่งเมื่อก่อนมักแอบไปยืนดูที่ริมผาบ่อยๆ แล้วตอนนี้เธอก็เดินทางลงมาอยู่เบื้องล่างห่างกันเพียงแค่เอื้อม นี่อาจเป็นพรวิเศษที่เธอเคยอธิษฐานขอจากดวงดาว แล้วจะมีเหตุผลใดที่จะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ แต่เมื่อนึกถึงประโยคหนึ่งของเพื่อนก็เกิดกังวลขึ้นมาอีก ในเรื่องที่เจ้าของร้านอาหารจะรับแต่คนงานที่อายุเกินสิบแปดปีขึ้นไป เธอก้มมองร่างเล็กๆ ของตัวเองใต้ชุดเซวา* ภาวนาในใจขอให้นายจ้างเห็นแล้วไม่สงสัยว่าเธอยังเป็นแค่เด็กหญิง แต่พอใบหน้าปู่ฉายขึ้นกลางอากาศ เธอก็ถอนใจให้กับอีกหนึ่งอุปสรรค เธอจะทำอย่างไรดี ปู่คงไม่ยอมแน่ๆ ปู่ไม่รู้อย่างที่เธอรู้หรอก เพื่อนเธอพูดว่า เมื่อพวกเราย้ายลงมาอยู่เบื้องล่าง วิถีชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไป เธอตัดสินใจจะลองพูดกับปู่ดู อยากจะลองเดินไปตามทางที่เลือกเอง เหมือนที่พี่วาโพเลือกที่จะไป

และมันก็จริงอย่างที่คาดคิดไว้ ปู่ไม่ยอมฟังทั้งที่เธอพยายามอธิบาย ขนาดอ้างคำพูดเพื่อนที่ซักซ้อมกันมาหลายอย่างซึ่งดูจะเป็นเหตุเป็นผลที่สุดแล้ว แต่ปู่ก็ไม่ฟัง ซ้ำยังห้ามแม้กระทั่งไปเจอเพื่อนที่ชักชวนกันไป ปู่หันหลังให้แล้วเดินออกจากบ้าน เธอรู้สึกหมดหวัง หนทางที่ต้องการเลือกกลับกลายเป็นทางตันด้วยน้ำมือปู่ เธอทิ้งตัวลงกับพื้น ร้องไห้อย่างขัดเคืองใจ เธอไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ปู่จะคอยเจ้ากี้เจ้าการให้อยู่แต่บนตักหรือนอนอยู่ในเปล เธอโตพอที่จะเลือกทางเดินของตัวเองได้แล้ว และสิ่งที่ต้องการก็ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ปู่คงคิดว่ามีแต่ความคิดของตัวเองเท่านั้นที่ถูกต้อง

น้ำตาเด็กหญิงไหลอาบรินเลอะแก้มทั้งสอง ที่ถูกเติมเต็มด้วยผงฝุ่นสีแดงซึ่งเพื่อนบรรจงแต่งแต้มให้ สายตาเธอแข็งกร้าวขึ้น กัดฟันแน่น เธอตัดสินใจบางอย่างออกมาแล้ว!

แม้ชายชราจะผ่านความเปลี่ยนแปลงทั้งธรรมชาติและชีวิตมาไม่รู้ต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยยี่หระ แต่กับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันครั้งนี้ แกถึงกับหมดอาลัยตายอยาก เมื่อรู้ว่าไม่เหลือใครในชีวิตแล้ว แกหยิบจดหมายของหลานสาวที่สอดไว้ใต้หมอนขึ้นมาคลี่อ่านอีกเป็นรอบที่สี่หรือห้า น้ำตาแห่งความน้อยใจค่อยๆ ซึมออกมา ทิ้งตัวลงบนผิวหน้าสากย่น แม้ในจดหมายนั้นจะบอกความต้องการว่าอยากไปเห็นโลกที่เธอไม่เคยเห็นเพียงครู่คราวเท่านั้น เมื่อเต็มอิ่มในดวงใจแล้วจะกลับมา แต่แกรู้ว่าวาลาจะไม่กลับมาแน่นอน แกทั้งโกรธและเสียใจ ไม่อาจเข้าใจเหตุผลที่จะไปของหลานสาวได้ ซึ่งต่างกับหลานชาย ที่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่อยากมา นี่ถ้าเขาอยู่ด้วยก็คงดี เขาจะต้องห้ามน้องแน่ๆ

ท่ามกลางความว้าเหว่ที่ขาดแก้วตาดวงใจทั้งสอง วันๆ หนึ่งชีวิตของปู่ก็หมดไปกับการรับรู้ความเป็นไปของหลายครอบครัวที่อพยพลงมาด้วยกัน ที่ทำกินที่ทางราชการแบ่งให้ บางผืนปลูกอะไรไม่ได้เลย ดินไม่เอื้อ ทั้งน้ำก็ไม่เพียงพอ บางครอบครัวได้ที่ดินเชิงเขาที่เต็มไปด้วยหิน ซ้ำร้ายมีชาวเขาอีกหลายสิบครอบครัวที่ถูกผลักดันมาจากที่อื่นเข้ามาอาศัยรวมอยู่ด้วยกัน เพื่อให้นโยบายการเพิ่มและจัดตั้งหมู่บ้านเสร็จสิ้น และที่สุดก็มีการหารือกัน เรียกร้องขอกลับไปอยู่พื้นที่เดิม แต่ก็ไม่เป็นผล แม้ทุกคนจะให้เหตุผลว่าบรรพบุรุษของพวกเขาอยู่ในพื้นที่ป่ามาเป็นร้อยปี อยู่มาก่อนที่ป่าจะถูกประกาศให้เป็นเขตอุทยานเสียด้วยซ้ำ แม้จะเกิดเป็นข้อพิพาทใหญ่ แต่ดูเหมือนฝ่ายของแกจะไม่มีวันได้อย่างที่หวัง การต่อสู้เพื่อกลับไปสู่ถิ่นเดิม แทบเป็นไปไม่ได้เลย

ชายชราค่อยๆ ก้าวออกนอกบ้าน แหงนหน้าขึ้นมองแผ่นฟ้าซึ่งคืนนี้มันเป็นสีดำสนิท แม้จะมีหมู่ดาวนับล้านดวงเต้นระริกไหววิบๆ อยู่บนนั้น หากแต่ในยามนี้ ไม่มีแม้สักดวงที่งดงามในใจแก แกคิดถึงบ้านเก่าบนเขา เสียงถอนใจยาวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบอยู่หลายครั้ง และครั้งสุดท้ายนั้นหนักแน่นราวกับตัดสินใจได้ สิ่งที่อยู่ในใจเปิดเผยออกทางดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง จ้องมองไปยังเงาทะมึนซึ่งตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า แกเดินกลับเข้าห้อง ล้มตัวลงนอนบนเสื่อกลางห้อง หัวหนุนหมอน ยกมือผอมเกร็งข้างหนึ่งซึ่งเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกก่ายหน้าผาก คิดเอาไว้ว่า เมื่อฟ้าเปิด แสงสว่างส่องลอดช่องหน้าต่างเข้ามา จะออกเดินทางทันที แกตัดสินใจหนีกลับไปแล้วซ่อนตัวอยู่ในหุบเขานั้น พร้อมทั้งมีความหวังว่าหลานชายของแกจะกลับมาสักวัน

และไม่นานรุ่งเช้าก็มาถึง ฝีเท้าของชายชราเดินตามทันหัวใจที่เต้นเร่าอย่างร้อนรุ่ม เพียงค่อนวันแกก็กลับมายืนอยู่ที่หน้าเรือนไม้ที่ถูกทิ้งร้างไปหลายเดือน บ้านทุกหลังถูกเผาเหลือเพียงซาก ยุ้งฉาง เล้าไก่ แปลงผัก ไร่นาและพืชสวนถูกรื้อทิ้ง แกแทบยืนไม่อยู่ ทุกสิ่งที่เห็นเบื้องหน้ามันยอกใจแกจนรู้สึกเจ็บ แกล้วงเชือกเส้นยาวออกมาจากย่าม เดินไปทางต้นไม้ใหญ่ริมหน้าผา เมื่อไม่เหลืออะไรในชีวิต แกก็จะตายเป็นผีเฝ้าภูเขา

สายลมแรงกระชากความเย็นยะเยือกจากหน้าผาเข้ากระทบร่างชรา แกหันหน้าสู้ลมแรงด้วยหัวใจที่มั่นคงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลมโหมกระหน่ำแรงราวหอบภูเขาเหวี่ยงทิ้งได้ทั้งเทือก จากนั้นไม่นานลมก็สงบลง แร้งฝูงหนึ่งสะบัดปีกพึ่บพั่บบินร่อนเป็นวงกลมอยู่เหนือศีรษะแก พวกมันล้วนเป็นแร้งหนุ่มซึ่งดูท่าจะหิวโหยอย่างหนัก สายตาคมกริบจดจ้องลงมายังเบื้องล่าง

หากแกตาย พวกมันก็จะได้ฉีกทึ้งกินอาหารอันโอชะจนอิ่มท้อง ชายชรากำเชือกแน่นจนมือสั่น จ้องเขม็งพวกมันกลับ หัวใจเต้นระรัว

เด็กหญิงนั่งมองกระจกเงาบานใหญ่ในห้องนอน ใบหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา เธอรู้แล้วว่าแสงไฟในเมืองที่เคยเห็นจากริมผา มันมาจากร้านอาหารซึ่งถูกเรียกกันว่าร้านคาราโอเกะ ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดจนเต็มลานเมือง ยิ่งคิดเธอยิ่งขยาดต่อดวงไฟเหล่านี้ เธอคิดถึงปู่ คิดย้อนกลับไปถึงวันที่ตะเบ็งเสียงเถียงปู่อย่างไม่ลดละ นึกถึงคืนที่พูดตอบโต้พี่ชายอย่างเผ็ดร้อน นั่นอาจเป็นบาปกรรมสนองเธอในตอนนี้ เธอไม่กล้าหนีกลับไปหาปู่ เธอมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับไปเป็นเด็กหญิงคนเดิมได้อีกต่อไป ปู่คงโกรธและไม่อยากเห็นหน้าหลานอกตัญญูอย่างเธอ

เสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้นพร้อมเสียงนายจ้าง เด็กหญิงขยับเสื้อยืดสีขาวสายเดี่ยวคอคว้านลึกตัวเล็กให้เข้าที่ แล้วดึงชายกระโปรงสีเดียวกันสั้นกุดลงหวังให้มันยืดยาวลงไปอีก เธอเดินไปที่กระจกบานใหญ่ มองตัวเองพานให้นึกถึงเสื้อผ้าที่เคยสวมใส่แต่เล็กจนโต เมื่อยินเสียงเคาะประตูดังเร่งขึ้นอีก เธอจึงหายใจเข้าลึก เช็ดน้ำตาแล้วเดินไปเปิดประตูก้าวออกจากห้อง

เหล่าผีเสื้อราตรีถูกปลุกขึ้นมาเล่นกับแสงไฟนีออนหลากสี บรรยากาศครื้นเครงขับเคลื่อนไปด้วยเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มตลอดทั้งคืน ลูกค้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นชายเริ่มทยอยมา ยังไม่ทันค่อนดึกคนก็แน่นร้านแล้ว เด็กหญิงเดินเข้าไปประจำโต๊ะของเธอซึ่งบัดนี้มีลูกค้านั่งกันอยู่สามคน ลูกค้าชายหนึ่งในนั้นมองและยิ้มกว้างมาให้ ดูๆ ไปแล้วเขาน่าจะอายุราวห้าสิบเห็นจะได้ เพื่อนของเขาซึ่งเป็นหญิงและชายนั่งโน้มตัวเข้าหากันแล้วกอดเกี่ยว เหมือนงูที่กอดรัดฟัดกันเพื่อผสมพันธุ์ พูดคุยกระซิบกระซาบข้างหู หัวเราะระริกระรี้ตลอดเวลา

เมื่อชายที่ยิ้มให้เธอเรียกแล้วยกแก้วเปล่าขึ้นเหนือโต๊ะ เธอรู้ได้ทันทีว่าลูกค้าต้องการอะไร จึงรีบรับมารินเบียร์พรวดลงแก้ว จนฟองสีขาวดันขึ้นมาล้นทะลักขอบแก้วไหลนองพื้นโต๊ะ เธอรีบเอ่ยขอโทษ เขาหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ถือสา ยกแก้วขึ้นซดฟองเบียร์ แล้วดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นเขายกแก้วเปล่าขึ้นอีกครั้ง ส่งยิ้มให้ เธอรีบรินให้เขาอีก แก้วแล้วแก้วเล่า แก้วแล้วแก้วเล่า…

เขาเสนอเลี้ยงเบียร์แต่เธอส่ายหัว แม้จะคุ้นเคยกับมันแล้วแต่ก็ไม่คิดแตะต้องแม้ปลายลิ้น เมื่อเธอปฏิเสธ เขายังยิ้มร่า ยิ่งดึกยิ่งดูสนุกสนาน ใบหน้าเขาแดงก่ำคล้ายลูกตำลึงสุก ดวงตาหวานเยิ้มราวน้ำผึ้งป่า เขาดีดนิ้วเรียกเธอแล้วโน้มตัวไปใกล้ กลิ่นเบียร์คลุ้งตลบขึ้นจมูกเธอ เขาพูดแข่งกับเสียงเพลงที่กำลังกระหึ่มลั่นร้าน

“ถามจริงๆ น้องอายุเท่าไหร่” เขายิ้มอย่างมีความหมาย มองหน้าเธอรอคำตอบ

“สิบสี่” ใจเธอหายวูบเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าของร้านกำชับ ว่าหากใครถามให้ตอบว่าสิบแปด เธอละล่ำละลักพยายามจะตอบใหม่ เขาหัวเราะพร้อมพยักหน้าด้วยความชอบใจแล้วถามเธออีก

“เอามั้ย” เขายิ้มกริ่มส่งสายตาหยอกล้อ พร้อมควักธนบัตรสีเทาสามใบออกจากกระเป๋ากางเกง ยื่นให้เธอในระดับต่ำกว่าโต๊ะ เธอชาไปทั้งตัวเพราะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ จ้องมองไปยังเงินในมือเขาด้วยความปั่นป่วนใจ

คนหนุ่มสาวราวสิบคนหอบหิ้วกระเป๋าคนละใบทยอยเดินออกจากหมู่บ้าน ชายชรานึกแปลกใจ ขณะเดินสวนกันจึงเปล่งเสียงแหบพร่าถามออกไป แล้วคำตอบที่ได้รับทำเอาแกหดหู่ ร้านคาราโอเกะที่ขึ้นเป็นดอกเห็ดล้นออกมาจากตัวเมืองกำลังรับสมัครคนจำนวนมาก ปัญหาปากท้องสำคัญกว่าสิ่งใดในโลก แกพยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมโบกมืออวยพรให้โชคดี ส่วนแกคงจะไม่ไปไหนแล้ว รอวันยืนต้นตายสถานเดียว เอาเข้าจริงใจแกก็ไม่เด็ดเดี่ยวพอที่จะเป็นผีเฝ้าป่าอยู่คนเดียวอย่างว้าเหว่ถูกพวกแร้งทึ้งกินซากร่างอย่างน่าสังเวช แกไม่ได้กลัวความตาย แต่แกเกลียดความเหงา ไพล่คิดไปถึงเฒ่าเซงดู หากแกตายไปเขาคงรู้สึกเหงาเช่นกัน แกจึงตัดสินใจจะลงมาตายพร้อมเพื่อนอย่างจำนนกับโชคชะตา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แกไม่กล้าคิดจะโทษใคร เพียงหวังลึกๆ ในใจว่าจะไม่ถูกผลักดันไปที่ไหนอีก เผื่อว่าสักวันหลานชายแกจะกลับมาหาที่นี่

เมื่อเดินมาถึงชายคาบ้าน แก้เชือกผูกกับประตูแล้วผลักเข้าไป ทรุดตัวลงบนเสื่อก็ถึงกับอึ้ง แกหยิบธนบัตรสีเทาสามใบซึ่งวางอยู่บนหมอนหนุนขึ้นมา น้ำตารื้นด้วยความตื้นตันใจ รู้ได้ทันทีว่าหลานกลับมาหาปู่แล้ว ยกเงินขึ้นสูดดมอย่างคิดถึงสุดหัวใจ ลึกๆ แกก็คิดอยู่เสมอว่าหลานจะไม่ทิ้งแกแน่ๆ แล้วมันก็จริง แกเข้าใจหลานดีที่ไม่อยากให้ใครเห็น โดยเฉพาะพวกคนของอุทยาน แกร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจยกเงินขึ้นสูดดมอีกหลายครั้ง

แต่พอนึกถึงใบหน้าหลานสาวที่หนีไป แกเปลี่ยนเป็นน้อยใจทันที

*เสื้อเซวา คือเสื้อผ้าฝ้ายทอมือชุดยาวสีขาว สำหรับหญิงสาวชาวกะเหรี่ยงที่ยังไม่แต่งงานสวมใส่

หมายเหตุมติชนสุดสัปดาห์ : เรื่องสั้น “ดาวส่องเมือง” ได้รับรางวัลชมเชยรางวัลพานแว่นฟ้าและตีพิมพ์ในรวมเรื่องสั้นวรรณกรรมการเมือง ทั้งนี้ มติชนสุดสัปดาห์ เห็นว่าเพื่อให้เรื่องสั้นเรื่องนี้ได้เผยแพร่ในวงกว้างมากขึ้น จึงนำมาพิมพ์เผยแพร่อีกครั้ง