เรื่องสั้น : นิทานของเรา

ระหว่างครอบครัวของเราไม่มีเรื่องเล่าต่อกันอีกแล้ว…

วันนี้เหมือนคราวนั้น สายลมพเนจรโอบไล้เมือง แดดบ่ายระอุร้อนราวกับได้เห็นภาพเก่าเก็บในความทรงจำ เด็กชายกับเศษซากร้านน้ำชา ทุกสิ่งดูกลมกลืนและแตกต่างพอๆ กัน ฮารัสเฝ้ามองความเป็นไปในเมืองนี้ ภาพเด็กน้อยนั่งริมฟุตปาธท่ามกลางพื้นที่ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ยังแจ่มจ้า นัยน์ตาเด็กน้อยคมกล้าเพราะฝืนหยดน้ำตาไว้อย่างสุดแรง เขาเป็นคนเดิมไม่ได้อีกแล้ว คนเดิมที่ซึมกะทือปล่อยให้โลกโยกคลอนอย่างไม่รู้สา

เพราะความสูญเสียเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปมากเหลือเกิน ใครในแดนนี้ยังจดจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้หรือเปล่า…เปลวไฟลุกโชนหลังเด็กชายพ้นออกจากโรงเรียน “อีกแล้วหรือ?” “ที่ไหน?” ใครหลายคนร้อง ทหารกันทุกคนไม่ให้เข้าไปในโรงเรียนอีกครั้ง ท่ามกลางความแตกตื่นวุ่นวาย รถดับเพลิง รถทหารผ่านหน้าเด็กชายไป ขาทั้งสองข้างมันก้าวไปของมันเอง ความหวั่นใจตลอดทางก็เป็นจริง มัสยิดกลางตระหง่านห่างไปจากที่นั่นไม่ไกล ควันไฟพวยพุ่งจากสถานที่เคยเป็นบ้าน ท้องฟ้ายามบ่ายเจิดจ้า เด็กชายล้มลง

ไม่มีใครจำได้หรอก ความสูญเสียบ่อยครั้ง ทุกคนสิ้นหวังไปหมดทุกอย่าง ไม่มีใครสังเกตเห็นเด็กชายคนนั้น เขาถูกโลกโบยตี ทุกอย่างแตกร้าวสูญสลายไปกับแรงระเบิดในวันนั้น หลังจากวันฟ้ามืดดับเขาไม่เปล่งเสียงเพรียกหาผู้ใดอีก ได้แต่นั่งอยู่ที่เดิมวันแล้ววันเล่า ใครผ่านมาคงได้เห็นเขา เด็กชายสวมหมวกกะปิเยาะห์ดวงตาแข็งกร้าว

ไม่มีใครกล้ามองตาเด็กคนนั้นได้นาน…

จึงออกเดินทางสืบค้นให้พ้นโศก…

เก็บเศษเสี้ยวใจที่ไร้ราก ก่อเรื่องราวให้ตัวเองออกห่างจากเปาะนาแก ญาติคนเดียวที่รับเลี้ยง พวกเขาอิดหนาระอาใจ แรงระเบิดทำให้เด็กชายโตขึ้นทดลองทำอะไรมากมายอย่างไม่สนใจใคร ท้าทายหลักคำสอน “ไม่มีใครเอา” ใครต่างพูด ร้ายสุดทะเลาะชกต่อยทำร้ายร่างกายเพื่อนในโรงเรียนปางตายแค่พูดผิดหู จนถูกย้ายมาอยู่ในสถานที่ที่ตั้งใจ เป็นคนใหม่ นกที่แท้จริงต้องคิดว่าตัวเองบินได้แม้ถูกเด็ดปีก

นาดาเป็นคนเดียวมาเยี่ยมเขา เพื่อนสนิทคนเดียวที่เหลืออยู่ เธอร้องไห้ ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะนำพาชีวิตออกมาไกลถึงเพียงนี้ เธอทั้งอ้อนวอนและเกรี้ยวกราด “แหกตาดูสิ ใครบ้างไม่เคยสูญเสีย แต่เรายังมีพระองค์ เชื่อมั่นและศรัทธาในพระองค์ ขอร้อง กลับมาเป็นฮารัสคนเดิม” เธอเป็นคนเดียวที่ทำให้เขาอ่อนแอ ยิ่งเห็นหยดน้ำตา เขารีบหันกลับ เธอตะโกนไล่หลัง “คิดถึงนิทานของเราสิ นิทานที่เคยแต่งด้วยกันตอนเด็ก เราฝันถึงอนาคตไว้ยังไงลืมแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มหันมาส่งแววตาปวดร้าวตอบกลับ “มันไม่มีอีกแล้ว”

เหมือนโลกใต้เท้าพลิกคว่ำขึ้นข้างบน เสียงท่องอาซาน บทสวด หลักศาสนา ห่างไกลไปเรื่อยๆ เขาและนาดาเคยเรียนอะไรอีกบ้าง สิ่งที่เราชอบที่สุดในโรงเรียนคืออะไร พักกลางวันกับเลิกเรียนเราชอบมานั่งแต่งนิทาน มันเริ่มจากตรงไหนนะ อา ใช่ เหมือนมีนิทานที่ครูเล่าไม่จบเรื่องหนึ่ง แต่เราอยากฟังต่อ ทว่าครูกลับหายไปพร้อมเสียงปืน ทิ้งเรื่องเล่าให้น้ำตากัดกร่อน นาดาแอบร้องไห้เรื่องคุณครู เขาไม่อยากเห็นน้ำตาของเธอ

“มาแต่งนิทานกันเถอะ” เขายิ้มให้เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามอง “เราก็แต่งเองได้”

นับแต่นั้นเป็นต้นมา มีนิทานกี่เรื่องที่เราแต่ง เขาจำไม่ได้ แต่นาดาจริงจังกับการจดบันทึกนิทานลงสมุด เขาเอาทุกสรรพสิ่งมาเล่า ต้นไม้ใบไม้ สิงสาราสัตว์ เรื่องหลายเรื่องแตกต่างจากความเชื่อ แต่เราสนุกจนไม่อาจจะเก็บไว้อ่านได้เพียงคนเดียว นาดามีความสุขที่ได้เล่านิทานที่เราทั้งสองเขียนให้เพื่อนฟัง วันหนึ่งนิทานถูกครูคนใหม่ยึดและมันหายไปตลอดกาล

ไม่สิ มันยังเหลือเศษซากในกองเถ้าถ่าน และถูกห้ามไม่ให้แต่งอีก

โลกใบใหม่…

สถานที่รวมตัวของคนไร้ราก บิดเบี้ยว แตกสลาย ยับเยิน เว้าแหว่ง มีผู้เชี่ยวชาญในสังคมแบบนั้นอยู่หลายด้าน ขี้ยา โจร อันธพาล และผู้พลั้งพลาดด้านอื่นๆ ต่างก็เป็นผู้ถูกกระทำ และกระทำตัวเอง ทางเล็ดลอดในกำแพงความกลัวแม้จะเล็กจ้อย แต่เขาก็ต้องออกทางนั้น แม้ไม่รู้ว่ามันจะนำไปสู่ความอนธการเพียงใดก็ตาม

เขาไม่เคยหลบตาใครในนั้น แม้จะถูกรับน้องอย่างหนักหนา ไม่นานทุกอย่างก็หลอมรวม ทุกคนในที่แห่งนี้ถูกจับตา จนกว่ากาลเวลาจะเคลื่อนอายุไปจนพ้นในสถานที่แห่งนี้

ณ ที่นี้ ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง มีคนอยากจะออกไปเพื่อเหวี่ยงตัวเองกลับมาในความแรงที่มากกว่าเดิม ได้รู้จักคนมากมาย คนในชายขอบเขา คนที่ทำเรื่องเศร้า ผลิตความตายอยู่ไม่วายเว้น

เราต่างหนีอะไรบางอย่าง และที่นี่ก็แค่โถงถ้ำเล็กๆ ให้เราสุมหัว เปลี่ยนแปลง…แผนการ…ทำลาย!

ความมืดเดินทางได้เร็วกว่าแสง…

เปลวไฟโหมไหม้สถานพินิจ ค่ำคืนที่อลหม่าน อย่าหันหลังกลับ ใครบางคนตะโกน ทุกคนหนี หลายคนกลับบ้าน หลายคนไปหากลุ่มที่เคยรู้จัก เขาถูกพาไปในสถานที่บางแห่งสำหรับผู้ไม่ชอบเดินตามเข็มนาฬิกา มีคนมาคอยรับพาเขาออกห่างเพื่อหวังสร้างโลกใหม่ พอเข้าป่า สวนลองกอง ต้นยาง แล้วเราไม่ต้องหลบหนี ซึมซาบวิถีแห่งพงไพร ซามัดแกนนำที่พาเขาและอีกหลายคนมาที่กระท่อม กำลังรอใครบางคน ใครคนนั้นที่ตัวเขาเองก็รออยู่เช่นกัน ความเงียบก่อตัวรวดเร็วเมื่อซามัดบอกว่าทุกคนต้องถูกทดสอบ ซึ่งไม่ได้บอกล่วงหน้า เปลวเทียนสะท้อนแววตาเลิ่กลั่ก มองไปมาอย่างหาที่ยึดเหนี่ยว ไม่นานซามัดก็เดินออกไปจากกระท่อม เพื่อไปนำทางใครบางคนเข้ามา แสงจันทร์สาดเข้ามาในที่พักตามช่องรู ไม่นานเสียงฝีเท้าคนเข้ามาใกล้ อะไรบางอย่างบอกเขาให้กระโจนตัวแนบลงพื้น พลันเสียงปืนก็แผดเสียงกึกก้องรัวเร็ว ความเงียบและความหวาดกลัวเดินตามกระสุนนัดสุดท้าย เปลวเทียนดับดิ้น ความตายของคนบางคนขย่มจิตใจลึกๆ ข้างใน ไม่…หาใช่ความกลัว มันคือความแค้นที่ทวี

บานประตูถูกเหวี่ยงพร้อมๆ กับลำไฟฉาย ผู้รอดตายได้ไปต่อ ทิ้งซากศพของคนไม่ผ่านการทดสอบ ซามัดเดินมาแตะไหล่ บอกอย่างเชื่อมั่นว่าเขาต้องผ่าน ไม่นานเขาก็เดินทางไปรวมกับกลุ่มใหญ่ ทุกคนเดินช้าๆ ยิ่งห่างก็พบว่าคนข้างหน้าเริ่มกางปีกของเขาออกมาและออกบิน แววตาที่หันมามองเขาสะท้อนแสงในยามค่ำคืนราวสัตว์กินเนื้อ

ผู้รอดตายสองคนถูกพาเข้าสู่หมู่บ้านรอการติดปีก

นกย้อมสีดำหลงทางตัวหนึ่ง…

เขาขี่จักรยานยนต์มายังร้านน้ำชากับเพื่อน สั่งอาหาร นั่งสังเกตรอบกาย แววตาระแวดระวัง ห่างจากร้านไปไม่ไกลเปลวแดดระยิบไหว เด็กชายสวมหมวกกะปิเยาะห์นั่งบาทวิถี ข้างหลังคือเศษซากความผุพัง ราวกับรับรู้อะไรบางอย่าง ไม่นานเด็กน้อยก็หันมามองเขา แววตาที่สบมานั้นทำให้เขาตกใจจนเผลอร้องขึ้น เด็กคนนั้น…คือเขาเอง!

เพื่อนปรามด้วยสายตา เขาก้มหน้าจิบน้ำชากัดกินขนมด้วยลำคอยังแห้งผาก เงยหน้าไปข้างนอกร้านอีกครั้ง เด็กชายคนนั้นได้หายไป แต่ใจแกว่งไปเสียแล้ว แผนการคืออะไร เขาเข้าใจแล้ว แต่มันยากเหลือเกินที่จะเดินจากไป พยายามทำใจ หาที่ยึดเหนี่ยวสายตาในร้าน คนเข้าร้านเยอะขึ้น กำแพงเต็มไปด้วยรูปเจ้าของร้าน รูปอะไรอีกมากมาย เขาสะดุดที่รูปหนึ่ง เด็กหญิงตัวน้อย ตอนนี้คงอยู่ในโรงเรียน ภาพรอยยิ้มของเด็กหญิงตัวน้อยช่างน่ารัก…เขาสั่นสะท้านและร้องไห้อย่างห้ามไม่อยู่ เพื่อนมองหน้าเขาอย่างฉงน เขาบอกให้เพื่อนกลับไปก่อนเพื่อที่จะยุติความกลัวในจิตใจ ไม่ เขายอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นไปที่รถ

“ฮารัส” เสียงเรียกดังขึ้น เขาเงยหน้าออกจากรถจักรยานยนต์ไปมอง นาดาในชุดของนักเรียนพยาบาลกับเพื่อนอีกกลุ่มใหญ่ เธอเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน แต่ก็ยังเห็นร่องน้ำตาที่คุ้นเคยนั้น

เขาไม่กล้าสบตาเป็นครั้งที่สอง รีบจูงรถออกจากร้านไป ยังได้ยินชัดเจนเสียงของหญิงสาวที่ร้องเรียกไล่หลัง ดั่งลูกธนูที่พุ่งมาแทงกลางอก

เราแค่อยากมีนิทานเป็นของตัวเอง…

“นาดา เธอว่าฉันแต่งแบบนี้ดีไหม ครูจากไปแล้วเป็นนางฟ้าแล้วกลับมาให้พรพวกเราได้คนละข้อ เธออยากได้พรอะไรจากคุณครูนางฟ้า”

เด็กหญิงเช็ดน้ำตาลวกๆ “ถ้าพรมีจริง อยากให้นางฟ้าให้พรกับตัวเอง ให้คุณครูกลับมา”

เขามองเธอร้องไห้ ต่อว่าแล้วร้องไห้ แววตาเด็กหญิงเมื่อสิบปีก่อนกับหญิงสาวตรงหน้ายังไม่เปลี่ยนแปลง เป็นแววตาของผู้สำลักความโศกเศร้า เธอตามเขาออกมา ใครก็ได้โปรดนำเขาออกไปจากที่นี่

“ทำไม” นาดาถาม

“ฉันแค่อยากเขียนนิทาน นิทานที่เป็นจริงได้”

“สิ่งที่จะส่งต่อให้ผู้คนเสียใจแบบนี้น่ะเหรอ ลืมไปแล้วหรือไงว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นบ้าง วันที่ทุกอย่างหายไปในซากระเบิด” เธอร้องไห้

“ฉันไม่ลืม และไม่มีวันลืม เธอกลับไปเถอะ เพราะเธอไม่เกี่ยวกับนิทานเรื่องนี้แล้ว”

นักศึกษาพยาบาลเงยหน้าจ้องมองเขา เช็ดน้ำตาแล้วเดินจากไป สายลมพเนจรพัดผ่านคนทั้งคู่ แดดบ่ายระอุร้อน เวลาผ่านพ้นไปช้าๆ ทุกอย่างเงียบสงบ เหมือนวันนั้นที่ทุกอย่างเงียบสงบจนกระทั่งเสียงระเบิดดังกึกก้อง…

ใช่ เราถูกแรงของมันทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

พบตัวเองในตัวละครของเรื่องเศร้า…

ภาพเด็กชายคนเดิมที่พยายามกอบเก็บความปวดร้าว หลอกหลอนเขาไม่มีวันหาย ค่ำคืน เขาหลบเร้นในซอกหลืบที่มืดดำ กักขังตัวเอง เขาอยากทำลาย อยากทำร้ายทุกสรรพสิ่ง นิทานที่เขาแต่ง จุดจบเหลือแค่โลกที่โศกเศร้า ไม่ว่าจะเริ่มเรื่องด้วยความรักมากเพียงใด เริ่มด้วยความสดใสสักแค่ไหน จุดจบเหลือเพียงเสียงโหยไห้และหยดน้ำตา เสียงระเบิดในวันนั้นฉีกครอบครัวและฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ในวันนี้เขาไม่กล้าตระกองกอดสิ่งใดเอาไว้ได้อีกแล้ว

เขายังทำงานให้กลุ่มอย่างเคร่งครัด แม้งานที่พลาดพวกเขาจะมองอย่างไม่ไว้ใจ แต่มันแค่งานแรก ใครบางคนว่า ควรให้โอกาสอีกสักครั้ง เขาแค่ก้มหน้าและกักเก็บความเจ็บช้ำซ่อนไว้ลึกที่สุด รอวันปะทุแตก รอจุดจบ ไม่มีใครอ่านนิทานเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่พวกเขาต้องรู้แน่ คนอื่นก็จะรู้แน่ แม้เขาเขียนมันขึ้นมาวกวนราวคนจมพิษไข้ แต่เมื่อไหร่ทุกอย่างจะเป็นอย่างสิ่งที่ฝัน การรอคอยเจ็บปวดเสมอ…

ทิวเขาทอดยาวออกไปไกลสุดสายตา เสียงสวดดุอาอ์แผ่วเบา ฝนพรำสม่ำเสมอมาสองชั่วโมง แต่ม่านน้ำก็ไม่อาจจะรดราดดับไฟลงได้ ไม่เป็นไร เราอยู่ในหลุมดำอยู่แล้ว ใครต่างก็บอกว่าเราคือหลุมดำ และไม่มีใครอยู่ใกล้หลุมดำได้เท่าเขา เขาเป็นส่วนหนึ่งของหลุมดำ ถูกแล้ว เขาจะค่อยๆ ดูดกลืนทุกสิ่งอย่าง และทำลายล้างมันไปให้หมด

นิทานจบบทพร้อมเสียงระเบิด ถ้าหากเพลิงกัมปนาทลูกแรกทำลายเขาไปทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมก่อกำเนิดเด็กชายคนใหม่ การแตกปะทุครั้งใหม่มันควรทำลายเด็กชายคนนั้นไปเสีย ทำลายพร้อมทั้งรวงรังความเศร้าโศกนั้น!

เสียงกึกก้องแผ่นดินถูกโยกคลอน เลือดแดงไหลอาบดอกชบา เด็กชายคนเดิมคนนั้นมองมาในเปลวเพลิงยิ้มเหยียด ไม่นานส่วนที่คล้ายเป็นใบหน้าของเด็กชายหายไปกลางกลุ่มควัน เขายิ้ม

เธอต้องรู้แน่ อย่างน้อยเธอก็ได้รู้จุดจบนี้ อย่าเล่านิทานเรื่องนี้ให้ลูกฟังเด็ดขาด…