เรื่องสั้น : ผมกับเขากับกำแพงของเรา

แม้การยิ้มสองครั้งกับผู้ที่เพิ่งมาเช่าบ้านแฝดคู่กับผมจะยังไม่ควรสรุปใดๆ แต่รอยยิ้มของเราที่แห้งๆ เหมือนกันก็เป็นสัญญาณที่ดี

มันคือความรู้สึกในกลุ่มการวางใจและผ่อนคลาย เหมือนได้เพื่อนร่วมเดินเปลือยกายชมดอกไม้ในสวนส่วนตัวตอนเช้าๆ

โอ.. รอยยิ้มของเขาทำให้ผมไม่คิดว่าเขาเป็นแค่คนฝาบ้านเดียวกันเหมือนก่อนๆ

แต่ผมไม่ได้โหยหาเพื่อน และไม่ใช่ผมไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเพื่อน เราแค่เจอกันนานมากๆ ทีเพราะการออกแบบชีวิตที่ต่างกัน และอีกสาเหตุเป็นเพราะพวกมันชอบรวมหัวกันบอกว่าผมทำตัวไม่เหมือนชาวบ้าน พอผมย้อนว่าทำไมกูต้องทำตัวเหมือนชาวบ้าน มันก็ว่านี่ไง มึงคิดไม่เหมือนชาวบ้าน สุดท้ายวงก็แตกเมื่อผมลุกขึ้นแหกปากว่าแล้วทำไมกูต้องเป็นฝ่ายคิดให้เหมือนชาวบ้านด้วยวะ

ส่วนกับเขา รอยยิ้มแห้งๆ คือสิ่งที่ผมใช้สันนิษฐานว่าเราเป็นคนแบบเดียวกัน ความจริงผมน่าจะยิ่งกว่าดีใจ ถ้าเทียบกับความดีใจของนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามค้นหาจนพบสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับมนุษย์ในดาวดวงอื่น

เพราะผมไม่ได้ค้นหา

แต่เขาอุบัติขึ้นเองกลางพื้นที่ว่างของใจผม

สองวันแล้วที่ผมไม่เห็นเขา ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลาสองวันเต็ม

ถ้าจะว่าของเขาแปลก ของผมคงต้องว่าบ้า เพราะผมเคยอยู่แต่ในบ้านหนึ่งเดือนเต็มๆ และหากเจ้าของบ้านผู้ตรงเวลาที่สุดในโลกไม่มาเก็บค่าเช่าทุกบ่ายโมงของวันที่ห้า ผมก็คงอยู่แต่ในบ้านไปเรื่อยๆ เพราะมีทุกความต้องการในแบบของผมอย่างพอเพียง

แต่ไม่รู้ว่าเหตุผลของการเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านของเราจะเหมือนกันหรือไม่ และเพื่อให้รู้ ผมอาจทำเรื่องง่ายๆ นั่นคือถาม

แต่ไม่มีทางที่ผมจะปีนข้ามกำแพงระดับเอวของคนสูงร้อยเจ็ดสิบแปดไปเคาะประตู การที่ผมส่งยิ้มให้เขาก่อนนั่นคือครั้งที่สอง ส่วนครั้งแรกเป็นเขาที่เหลียวซ้ายมาพร้อมมุมปากที่หยักขึ้น

ผมคิดว่านั่นคือยิ้มจึงส่งยิ้มกลับ

ยกนิ้วนับจำนวนเวลาตั้งแต่เริ่มเปิดไฟล์หลังเลิกครุ่นคิดเกี่ยวกับเขาได้แปดชั่วโมงปัดเศษทิ้ง พอใช้ได้กับบทที่เก้าสิบเก้า นิยายรักสุดโรแมนติกมาถึงจุดไคลแมกซ์แล้ว มันทำให้ผมสุดตื่นเต้นเพราะจะได้รู้เสียทีว่าด๊อกเตอร์ทำสำเร็จหรือไม่

งานนี้ต้องรวบรวมพลังใจส่งไปช่วยด๊อกเตอร์แบบเกินร้อย คงไม่ดีแน่หากสุดท้ายแล้วด๊อกเตอร์ย้ายจิตใจพระเอกไปด้วยไม่สำเร็จ แต่ทำได้เพียงย้ายอวัยวะสำคัญไปอยู่กับร่างใหม่ที่จิตใจอ่อนปวกเปียก

ร่างที่กลัวสังคมไม่รักจนถึงกับยอมถวายตัวเองเป็นทาสสังคม ด้วยการกินข้าววันเว้นวันเพื่อเก็บเงินไว้ส่งค่างวดรถสปอร์ตที่รู้ดีว่าเกินจำเป็นแต่กล่อมตัวเองว่าต้องมีไว้ให้สังคมแล สลับกับกินบะหมี่ลวกน้ำร้อนคืนเว้นคืนเพื่อเอาเงินไปซื้อทัวร์ต่างประเทศแล้วอัพเฟซรัวๆ แถมยอมซดน้ำก๊อกเพื่อจะได้มีมือถือรุ่นล่าสุดเอาไว้วางบนโต๊ะ

แต่นิยายรักนั่นคือสี่ชั่วโมงหลังที่น่าพอใจ ส่วนสี่ชั่วโมงแรกน่าพอใจยิ่งกว่า

สเตตัสล่าสุดได้ไลก์หกร้อยหกสิบเก้า คอมเมนต์ห้าสิบแปด แถมได้แชร์อีกสี่สิบเจ็ด คงเป็นเพราะรูปสีเกินจริงที่ผมลองแต่งแนวนี้เป็นครั้งแรกดึงดูดความสนใจได้มากกว่ารูปสีธรรมดาๆ

หลังเพลินกับสเตตัส ผมเพิ่มความพอใจด้วยการอันเฟรนด์ไปสี่พันหกร้อยสี่สิบแปดคน ที่ขึ้นบัญชีดำไว้เก้าสิบชั่วโมงโทษฐานไม่เคยสัมผัสสัมพันธ์กัน และแผนคือหลังมื้อค่ำผมจะออกล่าเฟรนด์เพื่อให้ครบห้าพันคนเหมือนเดิม

เคยมีคนส่งข้อความมาถามว่ามีเพื่อนเยอะขนาดนั้นไปทำไม พอผมตอบว่าเยอะตรงไหน คนในโลกมีตั้งหลายพันล้านคน เขาก็อันเฟรนด์ผมไป ซึ่งผมโอเค

แต่ความจริงคือ เปล่า นั่นไม่ได้เรียกว่าเพื่อน ผมแค่มีไว้ดูความเพ่นพ่านในโลกใบเหลี่ยมเท่านั้นเอง ส่วนในโลกใบกลม ผมไม่เคยอยากได้เพื่อนจนถึงกับต้องส่งยิ้มเรี่ยราด เหตุผลเดียวคือ ถ้าไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้ม ผมไม่ได้อยากให้คนทั้งโลกมาเป็นเพื่อนเสียหน่อย

แต่กับโลกใบเหลี่ยมมันง่ายมาก เพราะใช้ชื่อไม่จริง ผมจึงไม่มีปัญหากับการส่งยิ้มก่อน หรือจะทำตัวเฟรนด์ลี่ดีเลิศทั้งๆ ที่กำลังส่ายหัวเพราะรำคาญสุดขีดก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยการกดสติ๊กเกอร์รูปร่าเริงส่งไป เป็นอันเสร็จพิธีกรรม

เที่ยงคืนไม่ใช่เวลานอนของผม ส่วนเขาอาจถูกความเงียบฆ่าตายไปแล้ว อืม.. แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ความตายหลายสิบชั่วโมงคงกวักมือเรียกแมลงวันทั้งซอยไปหาเขา และปีกที่กระพือประสานก็น่าจะส่งเสียงมาถึงประสาทหูผมบ้าง

แต่การแนบหูกับฝาที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนั่น เป็นเพราะความห่วงใยที่มีต่อเพื่อนผู้มีรอยยิ้มแห้งๆ เหมือนผมซึ่งยากจะได้พบเจอโดยแท้ ไม่ใช่การละเมิดความเป็นตัวเองของผมแต่อย่างใด

คงต้องสรุปใหม่ว่าเขาไม่ได้ตาย แต่อยู่ในบ้านอย่างเงียบเชียบแบบเดียวกับผม

โอ.. นอกจากรอยยิ้มแห้งๆ เราเหมือนกันอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

จะใช่หรือไม่นะ ถ้าวันหนึ่งอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผมตาย แต่ร่างกายผมยังไม่อยากตาย หมอจะสามารถย้ายอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของเขามาใส่ให้ร่างผมได้ จากนั้นผมก็อยู่ต่อไปแบบเหมือนเดิมทุกประการ

ส่วนเขาก็คงดีใจที่สองเรารวมเป็นหนึ่ง เพราะความเข้าใจที่ตรงกันว่าคนแบบเราไม่ควรมีมากเกิน และสองคือ มากเกิน

เรื่องนี้คงต้องหาโอกาสคุยกับเขาดู แต่ปัญหาคือ จะมีวันนั้นหรือไม่ เพราะไม่มีทางที่ผมจะเป็นฝ่ายเริ่ม และเขาก็น่าจะไม่เริ่ม เพราะถ้าเขาเริ่ม ก็หมายความว่าที่ผมคิดว่าเราเหมือนกัน ผมคิดผิด

โอ.. หรือผมคิดผิดจริงๆ ผมคงบ้าไปแล้วที่คิดว่าเราเหมือนกัน ทั้งที่ไม่รู้สักนิดว่าเขาอยู่แต่ในบ้านเพราะอะไร หรือไม่เขาก็อาจไม่ได้อยู่บ้านมาสองวันแล้ว

เคาะประตูสิ

ผมได้ยินผมแนะนำตัวเอง

เฮ้ย.. อย่านะ

ผมได้ยินผมห้ามตัวเอง

ถ้าไม่เคาะแล้วจะรู้เรอะ

ผมถามเพื่อยั่วผม

มึงจะอยากรู้ว่าใครเป็นคนยังไงไปเพื่ออะไร

ผมตอบผมอย่างมีอารมณ์

รอดไป ดีที่ผมไม่ปีนกำแพงไปเคาะประตูตามที่ผมแนะนำ ไม่งั้นผมคงโดนผมถีบก่อนจะข้ามพ้น

พอเป่าเรื่องบ้าๆ หลุดจากสมอง ผมก็เปิดไฟล์นิยายอีกครั้ง เป้าหมายคือ ก่อนดวงอาทิตย์ฉายแสงแรกจะต้องเขียนให้จบบริบูรณ์

สมาธิพุ่งไปยังหน้าจอ ด๊อกเตอร์จะรวมสองให้เป็นหนึ่งได้หรือไม่

เดี๋ยวรู้