เรื่องสั้น : พัทลุง

พัทลุง (1)

ถ้าหากผมเป็นเหมือนนกกระยางตัวนั้นคงดีไม่น้อย ยืนอยู่ในท้องทุ่งสีเขียว บินไปเกาะบนกิ่งไม้ใกล้หนองน้ำ จากนั้นบินหายไปในพื้นที่ชุ่มน้ำของทะเลสาบ

เราไม่เคยกล่าวถึงสถานที่แห่งนั้นเลยนับแต่จากมา ไม่เคยกลับไปดูส่วนที่หายไปของมัน เพียงเพราะกลัวว่ามันจะไม่เหลืออะไรอยู่อีกแล้ว เราไม่อยากเศร้า ไม่อยากจิตตก ไม่อยากรู้ว่าการเป็นโรคซึมเศร้าจะฆ่าเราตายไปทีละน้อย

พัทลุงปีนั้น ยายบอกเราว่า “ใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้วนะ”

และบอกอีกว่า “ทุ่งนาแห่งนั้นอยู่ติดริมทางรถไฟ พวกเธอจะได้โบกมือให้ใครสักคน และจะได้เห็นเขาโบกมือตอบ เป็นความหวังเดียวที่เรามีร่วมกันบนโลกใบนี้ ผ่านมาเพื่อทักทายแล้วก็จากไป”

คงเหมือนยายล่วงรู้ความลับอะไรบางอย่างในหลุมลึกที่ซ่อนอยู่ในความนึกคิดอันเหม่อลอยของตัวเอง และสิ่งนั้นไม่เคยเป็นอื่นนอกจากมันได้หยิบยื่นความเป็นนิรันดร์ในเส้นตรงของชีวิตที่มีความตายเป็นปลายทาง

รถไฟเที่ยวล่อง

เราร่ำลาสถานีรถไฟแห่งนั้นมาร่วมสิบปี

บ้านของยายหายไปจากแผนที่เมืองพัทลุง ทะเลสาบอ้างว้างเหมือนเรือลำนั้นที่นำเราออกไปดูนกกระยาง และนกอื่นๆ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์

ยังมีใครอีกมากมายที่หายไปจากผม พัทลุงก็ใช่จะเหมือนเดิมในแง่นี้ เราหมุนแกนกลางของความไม่รู้ ออกไปยังการรับรู้ที่ยังไม่ได้ถูกพิสูจน์ ผ่านใบหน้าของคนที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย

คุณ-อยู่ในส่วนนั้น กลางแดดร้อน บนเรือลำหนึ่งที่แล่นหายไปในทะเลสาบ นกกระยางฝูงหนึ่ง นกกาบบัว นกกุลา นกกระสานวล นกกระสาแดง นกกาเล็กน้ำ รวมถึงนกอื่นๆ อีกหลากหลายสายพันธุ์บอกผมว่า พวกมันไม่เคยซ่อนตัวจากแผนที่เมืองพัทลุง พวกมันเปิดเผย และยินยอมที่จะหายไปในวันหนึ่งเมื่อฤดูกาลไม่ได้เป็นของมัน

ผมมองเห็นอะไรบางอย่าง รถไฟสักขบวนที่ผมเคยพูดถึงให้ใครสักคนฟังในงานศพของยาย

ทำนองว่า

ท้องทุ่งแห่งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามด้วยรวงข้าว เหมือนเราไม่ได้อยู่ที่นั่น ไม่ได้อยู่ในดินแดนที่เรารู้จัก ยายเกิดมาเพื่อถมทับความทรงจำของเราด้วยเรื่องราวสุดแสนเหลือเชื่อ ยายถือรวงข้าวมาหยิบยื่นให้เรา จากนั้นยายก็จากไป

ส่วนคุณหายไปบนรถไฟขบวนนั้น พัทลุงในสิ่งที่คุณเชื่อไม่ใช่พัทลุงที่ถูกเล่าผ่านบทเพลงใด นกกระยางหรือนกอื่นๆ ก็ไม่เคยถูกทำให้เราได้รู้จักถิ่นฐานบ้านเกิด

มีเพียงร่องรอย และไร้ร่องรอย ซึ่งยืนหันรีหันขวางอยู่ในท้องทุ่งที่ค่อยๆ เปลี่ยนสี เหมือนเราถูกวาดขึ้นจากการรับรู้อันบิดเบี้ยวของใครสักคน จากนั้นเขาเปลี่ยนใจ เริ่มลบเราออกทีละส่วนๆ

พระแม่โพสพ

ผมจะลืมได้อย่างไร วันคืนเหล่านั้นมิได้เป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว มันเป็นของทุกคน เป็นของคนพัทลุงที่ไม่เคยจากไปไหนไกล เหมือนนกน้ำที่มิยอมย้ายถิ่น เหมือนน้ำขึ้นและลงจากฤดูผันเปลี่ยนของทะเลสาบ

หลังฤดูเก็บเกี่ยว กลิ่นรวงข้าวจางๆ ในรู้สึกของผม เหนื่อยล้าทอดหลังลงนอนบนกองฟาง พ่อบอกว่าเราต้องเรียกขวัญพระแม่โพสพ บายศรีเป็นฝีมือแม่ พ่อหมอนั่งพนมมือ กลิ่นดินหอมคลุ้ง กลิ่นโคลนโชยมาตามลม แดดร้อนเหมือนจะพึ่งพาอะไรไม่ได้เท่าลมอุ่นที่พัดไหวยอดหญ้าสีเขียวแซมน้ำตาล

พระแม่โพสพอยู่ที่ไหนสักแห่ง อยู่กับยายที่ตายไปแล้ว หรืออยู่กับความฝันของพ่อ อยู่กับทุกสิ่งที่แม่พยายามจะรักษาไว้ผ่านผืนนาที่ค่อยๆ รกร้างว่างเปล่า ที่ซึ่งเราเห็นรถไฟขบวนเดิมแล่นผ่านทุกวัน เสียงแผดก้องที่ปลุกเราตื่นจากฝัน เสียงกังวานไหวที่ส่งเราให้เดินทางไกลไปจากยุ้งข้าวผุผัง

ผมอยู่ส่วนไหนของเมืองรกร้างว่างเปล่า ผมอยู่ในส่วนที่ถูกลืมจากสิ่งที่ได้กระทำลงไปจากความไม่รู้ เพียงการระลึกถึงที่บกพร่อง หรือเพียงปลายนิ้วสัมผัสเพื่อบันทึกภาพเหล่านั้นจากหน้าต่างความทรงจำที่วิ่งผ่านไปยังโลกที่เราไม่มีวันไล่ตามได้ทัน ภาพเหล่านั้นอาจไม่มีสีสันสวยงามในแบบที่มีอยู่ในบายศรีของแม่ อาจไม่มีกลิ่นดินโคลนที่โชยมาจากหนองน้ำแห้งขอด

รถไฟไม่เคยเปลี่ยนขบวน มันจอดรอเราอยู่ตรงปลายทาง แต่เรามาไกลมากแล้ว เป็นสิ่งที่ถูกเปลี่ยนจากคำจารึกของอดีต เป็นมนุษย์ที่มีจีพีเอสติดตาม แต่กลับหลงทางออกไปจากจุดหมายของตัวเองเรื่อยๆ

เราไม่เคยย้ายถิ่น เราปักหลักและจ่อมจมอยู่ในโคลนตมกลางท้องทุ่งที่ไร้เมล็ดพันธุ์หลงเหลือ เราเป็นเช่นนั้น เป็นอย่างที่เราไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนมันเป็นอย่างอื่นได้อีก

นกกาน้ำ

ผมน่าจะฟังเสียงนั้นออก เสียงที่คุณชอบถามว่ามันมีทำนองแบบไหน สำเนียงนั้นคุ้นเคยแต่ผมก็ลืมมัน ข้อพิสูจน์ที่ผมพูดด้วยสำเนียงที่ผิดเพี้ยนไป คือการหลงลืม หรือการละทิ้ง หรืออะไรอื่นๆ ที่บอกว่าเราได้เป็นคนอื่นไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นช่างเจ็บปวดเมื่อใครสักคนพยายามบอกผม เจ็บปวดเมื่อผมพยายามจะบอกกล่าวด้วยถ้อยคำของผม

“ผมเคยไปที่นั่น นั่งอยู่ตรงนั้นกับความทรงจำที่มียายนั่งอยู่ข้างๆ แต่ผมไม่อาจกอดยายได้ พ่อแม่ผมเดินหายไปในกลางทุ่งนาสีเขียว ผมร้องไห้อยู่นานมาก นานพอที่จะเห็นนกฝูงหนึ่งบินกลับคืนรัง จากนั้นโลกที่ผมมีชีวิตอยู่ตอนนั้นก็ค่อยๆ มืดลงๆ จนผมกลับไปหามันไม่เจอ”

ผมบอกคุณแบบนั้นหรือเปล่า วันที่ผมได้กลายเป็นใครสักคนที่เดินออกจากความทรงจำของตัวเอง จากนั้นผมก็เห็นคุณกำลังข้ามถนนไปอีกฝั่ง เดินหายไปในร้านเหล้า เมามายกับชีวิตอันไร้ค่าของคุณ คุณบอกผมแบบนั้น บอกผมว่า “นกทุกตัวที่ทะเลสาบคือนกหลงถิ่น พัทลุงก็แบบนั้น เราคือใครสักคนที่ปักหลักอยู่ที่นั่น นั่งรอขบวนรถที่ไม่เคยมาถึง สุดท้ายไม่มีใครรอ ตัดสินใจขึ้นขบวนที่มาถึง แล้วหายไป ไม่ยอมกลับ คุณเองก็เช่นกัน”

เสียงของผมแผ่วลงเล็กน้อย อู้อี้อยู่ในลำคออยู่เพียงอึดใจ จากนั้นผมก็หลับ และกลายเป็นมนุษย์ตามล่าหาร่างตัวเองในความฝัน ผมล่องเรือไปจากคลองปากประ มุ่งออกทะเลสาบ และลอยคว้างอยู่ในนั้น รอน้ำขึ้นอีกฤดู ผมจะกลายเป็นนก บินลัดฟ้ากลับถิ่นฐานตัวเอง

เป็นคุณที่สร้างอนุสรณ์เตือนใจไว้ที่ตรงนั้น ปักหลักไม้สูงเกือบสามเมตรเพื่อนกตัวหนึ่งได้บินมาเกาะ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องยกกล้องขึ้นบันทึกภาพเมื่อผ่านไปเห็นนกสักตัวบินไปเกาะนิ่งอยู่บนนั้น มองไกลออกไปถึงเขาอกทะลุ ตำนานในเรื่องเล่าครอบครัวเมียสองของนายเมืองที่ชวนหดหู่ใจของชาวพัทลุง

หลังตื่นจากฝันร้ายในคืนที่นอนฟังเสียงกระซิบกระซาบของคลื่นลูกเล็กๆ ริมทะเลสาบ ผมมองออกไปยังแสงอาทิตย์ยามเช้า เรือลำหนึ่งแล่นผ่านไป มันตัดเส้นคดโค้งออกไปไกลแสนไกล ไกลมากพอที่จะทำให้ผมมองติดตามไปจนลับตา

นาทีนั้นเองที่คุณปรากฏตัวขึ้น และคุณกำลังบันทึกภาพของผม ก่อนที่ผมจะบินหนีไปจากความทรงจำของตัวเอง

ผมกลายเป็นนกกาน้ำตัวหนึ่ง บินไปเกาะเสาไม้ที่คุณปักขึ้นกลางทะเลน้อย รอใครสักคนผ่านมาเก็บภาพผมบันทึกไว้ในส่วนที่ผมไม่มีวันรับรู้อะไรได้อีก