เรื่องสั้น : รอยแผล

ผมไม่อยากเจอเธออีกแน่นอน การจากไปของเธอในครั้งนั้นสร้างรอยแผลขนาดใหญ่ไว้ในใจ บ้านของเราเงียบเหงา ความฝันที่เคยคิดก่อร่างด้วยกันพังทลาย เกิดคำถามมากมายในทุกวันที่เธอจากไปว่าทำไม เธอทำเหมือนผมเป็นต้นเหตุและเป็นผมที่ต้องทนแบกรับความรู้สึกผิดอยู่คนเดียว นานวันความเศร้าเกราะกรังเกาะติดแน่นอยู่ภายในใจจนยากที่จะหลุดล่อนออกมาโดยง่าย

วันที่ผมเห็นเธอเดินมาพร้อมกระเช้าเยี่ยม นั่นคือหนึ่งวันหลังจากที่ผมออกมาจากห้องผ่าตัด ผมยังรู้สึกอ่อนเพลียคงเป็นฤทธิ์จากยาสลบ นึกว่าคงไม่รอดแล้วแต่พระเจ้าคงยังไม่อยากรับดวงวิญญาณของผมในตอนนี้กระมัง มีคนเคยพูดไว้ว่า คนดีมักตายเร็วเพราะเขาจะได้ไม่ต้องอยู่เพื่อทำบาป ส่วนคนบาปมักตายช้าเพราะพระเจ้าอยากเห็นเขาทำบาปมากขึ้นและจะตอบแทนบาปนั้นอย่างสาสมในวันที่เขาตายจากไป

“ใครบอกเธอ” ผมเอ่ยถาม

“ลูกส่งข้อความมา” เธอตอบ

เคยนึกภาพตัวเองจะเกรี้ยวกราดมากกว่านี้หากได้เจอแต่เมื่อได้เจอกันจริงๆ กลับไม่รู้สึกอย่างนั้น อาจเป็นเพราะสภาพของผมที่เป็นอยู่แม้ว่าผมจะแยกเขี้ยวใส่เธอ เธอคงไม่รู้สึกกลัวอาจจะสมเพชผมอยู่ในใจ ผมจ้องตาเธอ ไม่ได้รู้สึกสนใจว่ารูปลักษณ์เธอจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด ผมเพียงอยากถามสิ่งที่ค้างอยู่ในใจมานาน

“ทำไมทิ้งพวกเราไป”

เธอนิ่งเงียบราวถูกวัตถุหนักๆ กระแทกที่ศีรษะทันทีที่มาถึง

“นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคุยเรื่องนี้” เธอพูดตัดบทและทำทีว่ายุ่งอยู่กับการจัดวางของเยี่ยมไว้ข้างเตียง

“กี่โมงแล้ว” ผมเอ่ย

เธอก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ “บ่ายสาม”

“ขอบใจที่แวะมา แต่เดี๋ยวลูกคงมาเฝ้า”

เธอยืนสบตาผมชั่วครู่และคงเข้าใจความหมายดี เธอไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยากอยู่แล้ว “ไว้จะแวะมาใหม่” เธอเอ่ยคำนั้นก่อนจะเดินจากไป

ไว้จะแวะมาใหม่ ผมทวนคำของเธอ มีคำตั้งมากมายที่อยู่ในความทรงจำเท่าที่ผมพอจะหวนนึกแต่คำที่ดังก้องอยู่ในใจผมเสมอมามีเพียงคำเดียว ลาก่อน ขณะที่ใจลอยย้อนไปในอดีต ความคิดคำนึงของผมก็มาหยุดอยู่ที่เหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุ ในตอนนั้นผมกำลังนั่งดูทีวี จู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกแน่นใต้ลิ้นปี่ แวบแรกผมคิดว่าคงเป็นโรคกระเพาะธรรมดาเหมือนที่เคยเป็นอยู่ประจำแต่มันยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นราวกับมีสัตว์ร้ายเข้ามาจู่โจมอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ผมถึงกับทรุดลงไปนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ส่งเสียงโอดโอย มือทั้งสองกุมท้องแน่น ตาเริ่มพร่ามัว ผมรู้สึกคลื่นเหียนและอาเจียนออกมา ร่างกายสั่นเทิ้ม ยิ่งผมดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ผมนึกถึงพระองค์ทันทีเพราะเริ่มรู้สึกกลัว ใจผมเต้นโครมคราม ไม่คิดว่ายามนั้นมันจะมาถึง ยมทูตคงกำลังรอทำหน้าที่อยู่ “โอ้ พระองค์ โปรดช่วยด้วย” ผมสวดอ้อนวอนและพยายามจะคลานขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้แต่ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ขยับตัวจนต้องยอมแพ้และนอนคุดคู้ด้วยความเจ็บปวดทรมาน หลังจากนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าผมจะได้ยินเสียงใครหลายคนร้องเรียกอยู่ไกลๆ แต่ผมกลับหาต้นตอของเสียงไม่เจอ ผมแยกไม่ออกว่าคือความฝันหรือความจริง ผมตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ แต่ที่แน่ๆ คือมันทรมาน

ผมรู้สึกเหมือนร่างกายหล่นลงไปอยู่ในหลุมแคบๆ และเย็นเยียบอย่างยิ่ง

“บอกแม่ทำไม” ผมเอ่ยถามเมื่อลูกชายมานั่งเฝ้า

“เออ คือ ผมคิดว่าแม่ควรรู้” เขาพูดตะกุกตะกักออกมา

“ขอโทษครับถ้ามันทำให้พ่อโกรธ” เขาเหลือบตามองผมอย่างสำนึกผิด

“ไม่เป็นไร พ่อคิดว่าลูกคงเลือกเวลาได้ดีแล้วที่ให้พ่อเจอแม่ในสภาพแบบนี้” ไม่บ่อยครั้งที่ผมจะเอ่ยประชดประชันให้เขาได้ยิน

“แม่ว่ายังไงบ้างครับ” เขาเอ่ยเรียบๆ ทั้งที่เกือบเก็บซ่อนความดีใจไว้ไม่อยู่

“ไม่ทันได้คุยอะไรมากเพราะพ่อไล่กลับไปก่อน”

เจ้าลูกชายทำท่าผิดหวังทันทีและเหมือนจะอยากถามอะไรต่อ แต่เมื่อเห็นผมกำลังจ้องอยู่เขาจึงกลืนมันลงไป

“เมื่อคืนเห็นดวงจันทร์หรือเปล่า” ผมเพิ่งจะนึกได้ว่าพลาดอะไรไป

“เห็นครับ”

“ถือศีลแล้วสินะ” ผมคิด

“แล้วนี่ซื้ออะไรเตรียมไว้หรือยัง”

“เดี๋ยวค่อยลงไปซื้อข้างล่างก็ได้ครับ”

หวนนึกไปถึงช่วงเวลานี้เมื่อปีก่อน ผมทำในสิ่งที่เลวร้ายกับลูกอย่างไม่น่าให้อภัย ยิ่งมารู้ภายหลังว่าผมถูกคนอื่นหลอกให้เข้าใจลูกตัวเองผิดไปด้วยแล้ว ทำให้ผมยิ่งเจ็บปวดทรมาน ผมทะนงตนว่าตัวเองฉลาดพอที่จะดูแลลูก แต่สุดท้ายความรั้นและความใจร้อนก็ทำให้ผมตกม้าตายเสมอ ลูกชายของผมต้องนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน เขาไม่ปริปากบอกเจ้าหน้าที่ที่มาซักถามว่าเป็นฝีมือของผม แถมเขายังโกหกแม่ของเขาที่มาเยี่ยมว่า ถูกเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง พ่ออย่าโทษตัวเองเลย ตอนนั้นมีปีศาจร้ายเข้าสิง ไม่ใช่ความผิดของพ่อสักหน่อย เขาพยายามพูดและยิ้มเพื่อให้กำลังใจ ผมดีใจที่อาการของเขาดีขึ้นอย่างรวดเร็ว วันที่ห้าของการรักษาตัว เขาเอ่ยว่าอยากถือศีล ผมไม่เห็นด้วยและบอกเขาไปว่า “พระเจ้าอนุญาตให้คนที่เจ็บป่วยไม่ต้องถือศีล แต่ให้บริจาคทานแก่คนยากไร้แทน” ลูกชายผมอมยิ้มเมื่อได้ฟัง ไม่บ่อยครั้งที่ผมจะเห็นเขาแสดงสีหน้าแบบนี้ “ไม่ต้องมองพ่ออย่างนั้น พ่อไม่ใช่นักเทศน์สักหน่อย” ผมรู้สึกเขินขึ้นมาทันที

จ้องดูเขานานๆ ด้วยใจที่สงบนิ่งทำให้มองเห็นความรักและความห่วงใยที่เขามี ทำให้ผมรู้สึกผิดที่หลายครั้งผมโมโหร้ายกับรอยแผลในอดีตที่ตามหลอกหลอนจนคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาไม่ควรต้องมารองรับอารมณ์เดือดดาลของผมในยามนั้น จนตอนนี้วันที่ผมรู้สึกอ่อนแอพ่ายพับกับชีวิต

ผมนึกอยากทำดีกับเขา อยากเป็นแบบอย่างที่ดีและไม่อยากให้เขาต้องแบกรับความรู้สึกผิดเวลาที่คนอื่นว่าร้าย

กลางดึกผมหลับฝัน ในฝันผมกำลังเดินทางข้ามสะพานพร้อมกับลูกชาย เขากำลังเดินนำหน้าและเหลียวมองดูผมเป็นระยะๆ ด้วยความเป็นห่วง ผมพยายามตะโกนบอกเขาว่าให้รีบเดิน พ่อยังไหว ผมแข็งใจบอกไปทั้งที่ข้างในรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที ผมรู้สึกว่าลูกชายเริ่มเดินนำห่างไปเรื่อยๆ ทั้งที่ผมก็เร่งฝีเท้าอย่างสุดกำลัง ในที่สุดเขาก็เดินไปถึงอีกฝั่งในขณะที่ผมเพิ่งมาถึงกลางสะพาน ลูกชายโบกมือเรียกอยู่ไกลๆ แต่ผมรู้สึกเหมือนหนทางยิ่งทอดยาวออกไป และจู่ๆ ก็กลับมีหมอกหนามาบดบังจนทำให้ผมมองไม่เห็นทาง ผมพยายามจะวิ่งฝ่าไปแต่เหมือนมีแรงบางอย่างพยายามฉุดดึงผมไว้ ผมหันกลับไปมองแต่ไม่เห็นใคร น่าแปลกที่หนทางข้างหลังไม่มีหมอกปกคลุม ผมหันกลับไปกลับมาอย่างลังเลใจอยู่บนสะพานและเริ่มรู้สึกหวั่นๆ ผมต้องเลือกว่าจะวิ่งฝ่าหมอกไปข้างหน้าหรือหันหลังกลับไปตั้งหลักและรอให้หมอกเบาบางลงก่อน วินาทีที่ผมตัดสินใจได้ สะพานก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงทำให้ผมพลัดตกลงไปเบื้องล่าง ผมรู้สึกกลัวมากที่สุดในชีวิต มันเสียววาบทั่วท้องและเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอก ผมตะโกนเรียกชื่อลูกชายสุดเสียง

“พ่อแค่ฝันร้าย” ลูกชายพยายามพูดปลอบใจหลังจากพยาบาลที่เดินมาสอบถามอาการกลับไปประจำที่ห้องพัก แต่สีหน้าเขาดูกังวลกับความฝันที่ผมเล่าให้ฟังไม่น้อย

“กี่โมงแล้ว” ผมเอ่ยถาม

“ตีสาม” ลูกชายตอบกลับ สีหน้าเขาดูอิดโรย

“นอนต่อเถอะลูก พ่อดีขึ้นแล้ว” ผมโกหกเขาไปว่ารู้สึกดี

“ผมไม่ง่วง” เขาโกหกเช่นกัน

“พูดโกหกในเดือนถือศีลแบบนี้มันบาปหนักน่ะ” ผมแกล้งท้วง

“ผมพูดจริง” เขายืนยัน “ดีเสียอีกที่ตื่นขึ้นตอนนี้จะได้ทานมื้อซาโฮรและละหมาดซูโบฮไปเลย” เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย

“พ่ออาจเหลือเวลาไม่มากแล้วก็ได้” ผมรู้สึกหดหู่ขึ้นมา

“ทำไมพูดยังงั้น พ่อกลับมาแข็งแรงได้แน่” เขาดูเคืองที่ผมพูดเป็นลางไม่ดี

“ท่านศาสดาบอกว่าทุกๆ โรคนั้นมียารักษา ถ้าหากยานั้นถูกกับโรค โรคนั้นก็จะหายไปด้วยความอนุมัติจากพระเจ้า” แววตาเขาดูจริงจังเมื่อได้พูดในประเด็นทางศาสนาที่เขาสนใจ

“แต่มีโรคเดียวที่รักษายังไงก็ไม่หาย” ผมชงให้เขาสอนผมอีกบท

เขายิ้มมุมปากก่อนจะตอบกลับมาว่า “พ่อยังไม่แก่มากสักหน่อย”

วันที่ห้าของการพักฟื้น ผมรู้สึกเหมือนสัตว์ร้ายภายในกลับมาโรมรันกันอีกครั้ง เหงื่อแตกเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง ศรัทธาในพระองค์ ผมพึมพำบทสวดที่พอจะนึกขึ้นได้ หวังว่าจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและทำให้จิตใจผมเข้มแข็งขึ้น ผมลองขยับตัวขึ้นมาอยู่ในท่ากึ่งนั่ง รู้สึกค่อยยังชั่ว เมื่อคืนลูกชายไม่ได้มานอนเฝ้า ผมรู้สึกเห็นใจเขาจึงให้เขานอนพักอยู่ที่บ้าน บทสนทนากับเขาในคืนก่อนปลุกจิตวิญาณอีกด้านที่หลับใหลอยู่นานขึ้นมา ทำให้วันนี้ผมอยากลองทำบางสิ่งบางอย่าง ผมรู้ดีว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลา แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมมีเวลาอีกนานแค่ไหน ปีหน้าผมจะยังมีชีวิตอยู่ถึงเทศกาลถือศีลอดหรือเปล่า แต่แผนที่ผมวางไว้ก็พังครืนทันทีเมื่อผมเหลือบไปเห็นอดีตภรรยากำลังเดินมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เธอเดินมาถึงและวางของจากร้านสะดวกซื้อไว้ข้างเตียงด้วยความฉุนเฉียว ผมเบือนหน้าไปอีกทางไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย เธอจัดแจงนำสิ่งของบางอย่างใส่ในตู้และเดินไปลากโต๊ะอาหารสำหรับผู้ป่วยและเตรียมของให้ผมอย่างไม่เต็มใจนัก

“มาทำไมอีก” ผมหัวเสีย

“ทำไมถึงไม่ยอมใส่น้ำเกลือ” เธอหันไปเห็นเสาและสายให้น้ำเกลือห้อยคาไว้

ผมคิดว่าเธอคงฝากเบอร์โทรศัพท์ไว้ที่พยาบาลสักคนให้ช่วยแจ้งหากมีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้น ถึงจะเลิกกันไปนานแต่ดูเหมือนเธอจะอ่านเกมออกว่าผมมีวิญญาณขบถต่อกฎเกณฑ์ต่างๆ เสมอ

“คิดจะทำอะไร” เธอดูหงุดหงิดเช่นกัน

“อย่ามายุ่ง” ผมพยายามจะข่มเธอ แต่ดูเหมือนเธอไม่สะทกสะท้าน

“ไม่ใส่น้ำเกลือก็กินซะ” เป็นน้ำเสียงของเธอต่างหากที่ข่มผมได้

“ไม่หิว” ผมบอกปัด

“ไม่กินไม่ได้” เธอเสียงแข็ง

“วันนี้อยากถือศีลอด ครึ่งวันก็ยังดี” ผมเกลียดตัวเองที่พูดเหมือนกำลังอ้อนวอนเธออยู่ทั้งที่เธอไม่ได้อยู่ในสถานะที่ผมต้องฟังความเห็น เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก

เธอยืนเท้าสะเอวอย่างไม่พอใจ สีหน้าราวระเบิดเวลาที่พร้อมจะพังทุกสิ่งตรงหน้า

“กินซะ” เธอพูดย้ำอีกครั้ง

ผมนิ่งเฉย

“อยากตายนักหรือไง” เธอเหลืออดและใช้มือตบโต๊ะ ผู้ป่วยและญาติเตียงข้างๆ ต่างหันมาดูและเหมือนเจ้าหน้าที่จะพยายามเดินมา แต่เธอโบกมือให้สัญญาณว่าเธอเอาอยู่

ผมแปลกใจไม่น้อยกับท่าทีของเธอที่ดูแข็งกร้าวผิดหูผิดตา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่กล้าแม้แต่จะขึ้นเสียงกับผม

“ไว้ให้หายและแข็งแรงดีแล้วจะถือศีลอดทั้งปีก็ยังได้” เธอลดเสียงลง

ผมรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กที่กำลังถูกครูประจำชั้นหว่านล้อมให้ทานมื้อเช้าเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ และดูเหมือนสัตว์ร้ายภายในจะตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอพูดและเลือกที่จะอยู่ข้างเธอเสียด้วย มันยิ่งอาละวาดอย่างหนักเพื่อให้ผมอ่อนแรงและยอมจำนน

ในที่สุดผมก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนต้องยอมแพ้

ผมเอื้อมไปหยิบช้อนด้วยมืออันสั่นเทา ข้าวต้มกุ้งในมือหนักราวลูกตุ้มเหล็ก

“วันนี้ตั้งใจจะถือศีลจริงๆ นะ” น้ำตาเริ่มคลอเบ้า

วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนทุกสายตาในตึกผู้ป่วยกำลังจ้องมองพร้อมกับยิ้มเยาะเบาๆ

“คนไข้กระเพาะทะลุจากพิษสุรา ไม่ควรถือศีลในเวลานี้นะคะ”

เสียงของนางพยาบาลเมื่อตอนเช้าตรู่ยังดังก้องอยู่ในหัว