ประกวดเรื่องสั้น : ผู้ถูกบังคับให้สูญหาย

โดย : ปริญ บุญภูพิพัฒน์

“ถ้าหายไปสามวันให้ไปแจ้งความ ถ้าหายไปเจ็ดวันแสดงว่าตายแล้ว”

ชายตรงหน้ายื่นหนังสือเล่มเล็กให้คุณ คุณเปิดดู เป็นรายชื่อและประวัติผู้สูญหายในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา นายอรุณ โมง, นายอิบรอเฮง กาโฮง, นายสมชาย นีละไพจิตร, นายซาตา ลาโบ๊ะ, นายกลม เหล่าโสภาพันธุ์, นายพอละจี รักจงเจริญ, นายอิบรอฮิม เซะ, นายแว อับดุลวาเหะ บานิง เป็นต้น

หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบกว่า รูปร่างสมส่วน ผิวเข้ม ศีรษะล้าน สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว ใส่นาฬิกาโรเล็กซ์ และสร้อยคอเส้นใหญ่ กำลังเลื่อนดูรูปภาพจากเครื่องเล่นไอแพด

“ภาพพ่อกำลังปราศรัยบนเวทีก่อนถูกอุ้มหายไป” เขาส่งไอแพดให้คุณดู หยิบบุหรี่มาร์ลโบโรไลท์ในกระเป๋าเสียบที่มุมปาก จุดไฟแดงสว่างวาบแล้วระบายควันเป็นทางยาว

“พ่อเป็นผู้นำแรงงานในสมัยก่อน พ่อถูกอุ้มหายไปตอนอายุห้าสิบห้า บุคลิกภายนอกบ้านพ่อเป็นคนจริงจัง เคร่งขรึม พูดจาเสียงดัง กล้าได้กล้าเสีย และไม่เกรงกลัวใคร ขัดกับบุคลิกภายในบ้านพ่อเป็นคนเงียบ พูดน้อย ชอบอ่านหนังสือ และค่อนข้างเก็บตัว”

ชายตรงหน้าเกลี่ยขี้บุหรี่บนถ้วยแก้ว อัดควันหนักๆ ระบายควันออกทางจมูก

“แม่เล่าให้ฟังว่าพ่อชอบและติดตามข่าวสารการเมือง พ่อเริ่มทำงานที่กระทรวงมหาดไทยตำแหน่งคนขับรถผู้บริหาร ทำได้สามปีพ่อหันมาจับธุรกิจรับซื้อของเก่า กิจการไปได้ดีมีเงินเก็บพอสมควร วันหนึ่งได้รับการเชิญชวนให้เข้าสู่วงการแรงงานจากผู้ใหญ่ในสหภาพ พ่อจึงไม่ขัดคำเชื้อเชิญ

“แม่เป็นพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน ทั้งสองพบกันในงานวิ่งการกุศล ช่วงนั้นพ่อเริ่มมีบทบาททางด้านแรงงานแล้ว หลังดูใจกันหนึ่งปีก็ตกลงแต่งงานกัน พ่อซื้อบ้านไม้สองชั้นย่านสุทธิสารเป็นเรือนหอ”

บ้านไม้สองชั้นย่านสุทธิสารเนื้อที่ประมาณสามสิบตารางวา พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกจับจองด้วยต้นไม้บรรยากาศดูร่มรื่น หลังเสียงกริ่งประตูหน้าบ้านดัง หญิงมีอายุคนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับ หล่อนสวมชุดไหมพรมสีเขียว รูปร่างอวบ ผิวขาว ย้อมผมสีน้ำตาลแดงมีผมขาวแซมบริเวณโคนผม ผิวหนังและใบหน้าเหี่ยวย่นตามกายภาพ หล่อนเชิญคุณเข้าบ้าน

“วันเกิดเหตุเกิดอะไรขึ้น?”

“สามีเป็นคนรักรถ ทุกเช้าเขาจะเอารถไปล้างที่ปั๊มน้ำมันแล้วค่อยขับไปสำนักงาน ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า หลังทิ้งรถเสร็จเขาเดินข้ามถนนเข้าไปในซอยตรงข้าม จู่ๆ มีชายสองคนรูปร่างใหญ่สวมเสื้อผ้ามิดชิดปกปิดใบหน้าใส่แว่นตาดำ เดินเข้ามาประกบด้านหลัง สามีทำท่าขัดขืน แต่ชายอีกคนยื่นวัตถุบางอย่างมากระทุ้งที่สีข้าง บังคับให้เขาเดินไปขึ้นรถตู้สีเงินติดฟิล์มรอบคันที่จอดอยู่บริเวณนั้น

“แล้วรู้ไหมว่ารถตู้พาเขาไปไหน?”

“รถตู้พาเขาไปเก็บไว้ในบ้านหลังหนึ่งย่านรามอินทรามีรั้วรอบขอบชิด ที่รู้เพราะตำรวจให้ดูกล้องวงจรปิดหลังสามีถูกอุ้มไปแล้วสามวัน อิฉันไม่อยากโทษตำรวจเพราะรู้ว่าคงถูกเบื้องบนสั่งมา แต่ถ้าเจอเร็วกว่านี้เขาอาจจะรอดก็ได้” เมื่อพูดถึงตอนนี้ใบหน้าหล่อนขมวดเข้าด้วยความสะเทือนใจ ริมฝีปากสั่น ดวงตาเริ่มมีน้ำตากลบ

หล่อนปาดน้ำตาด้วยมือขวา ลุกจากเก้าอี้แล้วพูดว่า “เดี๋ยวป้าเอาน้ำมาให้”

แสงแห่งทิวาของวันกำลังหมดลง ความมืดสลัวโรยตัวเข้าปกคลุมรอบบริเวณ ภายในร้านเริ่มมีผู้คนพลุกพล่าน เมื่อได้เวลาชายสูงวัยผลักประตูเข้ามาหยุดยืนด้านหน้า เขามองเห็นคุณแล้วเดินมาหยุดที่โต๊ะ คุณยกมือไหว้ เขาสั่งเบียร์ลีโอหนึ่งขวดและอาหารสามอย่าง

“คืนก่อนเกิดเหตุคุณอาเจอเขาเป็นคนสุดท้าย?”

“ผมเจอรงค์ครั้งสุดท้ายที่นี่ เขานัดผมคุยเรื่องงานในสหภาพ ผมรู้จักกับรงค์เมื่อสิบปีก่อน เขาบอกว่าตอนนี้กำลังถูกติดตามจากคนบางกลุ่มที่ต้องการให้เขาหายตัวไป ผมเคยเตือนเขาหลายครั้งว่าอย่าไปเล่นกับพวกมัน ตอนนี้อำนาจไม่ได้อยู่ในมือเรา… ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ รงค์ตอกกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “คนมันจะตายแค่โดนมดกัดก็ตายได้ กูไม่กลัวมันหรอก”

“หลังคุยเรื่องงานจบ ผมถามถึงเรื่องครอบครัวบ้าง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที เขาเป่าลมออกปากอย่างอ่อนใจ โคลงศีรษะช้าๆ พูดออกมาว่าพัชรีไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วยในสิ่งเขาทำ ทั้งสองทะเลาะกันบ่อยครั้งจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รงค์ต้องออกไปหาความสุขนอกบ้าน เขาแอบไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิงคนหนึ่ง”

ผัดไข่เจียวมะระ ผักบุ้งไฟแดง ต้มยำรวมมิตร เบียร์ลีโอ น้ำแข็ง และข้าวเปล่าถูกนำมาเสิร์ฟ

“วันหนึ่งพัชรีจับได้ว่าเขาไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่น ตั้งแต่นั้นมาพัชรีก็เข้าควบคุมชีวิตเขาทุกอย่าง กดขี่ข่มเหงจำกัดอิสรภาพ ไปไหนต้องโทร.รายงานตลอด เขามักระบายความอึดอัดให้ผมฟังอยู่เสมอ มันน่าตลกไหมละ? รงค์จริงจังกับการเรียกร้องสิทธิ์เสรีภาพให้คนอื่นแต่ตัวเขากลับไม่มีสิทธิ์เสรีภาพของตัวเอง

“คืนนั้นเราแยกกันประมาณทุ่มครึ่งเขาบอกว่ามีธุระที่อื่นต่อ เช้าวันต่อมาผมเดินทางไปต่างจังหวัดมาทราบข่าวในภายหลังว่าเขาถูกอุ้มหายไป ทุกฝ่ายลงความเห็นว่ารงค์ถูกการเมืองเล่นงาน ผมก็เชื่ออย่างนั้น”

“ถ้าหายไปสามวันให้ไปแจ้งความ ถ้าหายไปเจ็ดวันแสดงว่าตายแล้ว” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือขณะรินน้ำเปล่าใส่แก้วให้คุณ

“ปกติเวลามีประชุมหรือมีธุระอะไรเขาจะโทร.บอกอิฉันเสมอ คืนเกิดเหตุเขาไม่โทร.มาจนเวลาสี่ทุ่ม อิฉันโทร.เข้ามือถือเขาแต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ อิฉันเริ่มแปลกใจปกติเขาไม่เคยปิดมือถือ อิฉันพยายามโทร.เรื่อยๆ กระทั่งตีสองรู้สึกง่วงจึงหลับไป ตอนเช้าเวลาเจ็ดโมงมีโทรศัพท์โทร.มาที่บ้าน คนที่สำนักงานโทร.มาถามว่าสามีอยู่บ้านหรือเปล่า? ปลายสายพูดเสียงดังเกือบเป็นตะโกน อิฉันตอบไปว่า ไม่อยู่และเมื่อคืนเขาไม่ได้กลับบ้าน ปลายสายถามต่อ แล้วทำไมรถของสามีถึงจอดอยู่ที่นี่? ตอนนั้นอิฉันมือสั่นใจสั่นคิดว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ” หล่อนส่ายหน้าอย่างเศร้าๆ

“หลังวางสายอิฉันตะโกนเรียกลูกชายแล้วรีบรุดออกจากบ้านทันที เมื่อเห็นสภาพรถอิฉันจึงแน่ใจว่าสามีถูกอุ้มหายไปเพราะตรวจภายในรถอย่างละเอียดพบว่า แว่นกันแดดเรย์แบน ชุดสูทสีดำ กระเป๋าหนังจาค็อบ ปืนสั้นลูกโม่พร้อมลูกกระสุน อุปกรณ์ยาฉีดอินซูลิน อิฉันลืมบอกไปสามีมีโรคประจำตัวคือเบาหวาน ต้องฉีดอินซูลินทุกวันหากไม่ได้รับยาหนึ่งสัปดาห์เขาสามารถเสียชีวิตได้โดยไม่ต้องลงมือฆ่าแต่อย่างไร ทุกอย่างอยู่ครบยกเว้นสมุดบันทึก!”

“สมุดบันทึก!” คุณทวนคำ

“ใช่ เป็นสมุดบันทึกปกหนังสีดำ เขาจะจดตารางนัดหมายหรือข้อมูลที่สำคัญ อิฉันเชื่อว่าสมุดเล่มนั้นเป็นหลักฐานที่จะหาตัวคนร้ายหรือผู้บงการได้ และคิดว่ามันคงถูกทำลายไปแล้ว”

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง แม่บ้านนำขนมปังกรอบ กาแฟ และน้ำดื่มมาเสิร์ฟสองชุด ชายตรงหน้าเลื่อนให้คุณหนึ่งชุด คุณกล่าวขอบคุณแล้วถามต่อ “ก่อนหายตัวไปเกิดอะไรขึ้น?”

ชายตรงหน้าทำท่าทางครุ่นคิดเหมือนทบทวนความทรงจำในอดีต “ก่อนหายตัวไปหนึ่งเดือน พ่อรู้ว่ากำลังถูกติดตาม ช่วงหลังผมเห็นพ่อพกปืนติดตัวตลอด พ่อเป็นคนชอบปืนและเข้าสนามซ้อมยิงอยู่บ่อยครั้ง พวกนั้นมีประมาณหกคนใช้รถยนต์สองคันและมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน

“ตอนนั้นพ่อรู้สึกอึดอัดมากอยากชักปืนออกมายิงมันให้รู้แล้วรู้รอด พ่อบอกว่าพวกมันเอาแน่แค่รอจังหวะ แม่เคยเตือนพ่อหลายครั้งให้หยุดการเคลื่อนไหวและหนีไปอยู่ที่อื่นสักพัก “คุณอยากให้ผมหนีจริงๆ หรือ?” พ่อถามย้ำแต่แม่ไม่มีคำตอบ

“ช่วงนั้นพ่อจะไม่เดินทางออกต่างจังหวัด เพราะรู้ว่าถ้าออกนอกพื้นที่หรือเขตชุมชนเมื่อไหร่ อาจโดนยิงถล่มเหมือนผู้มีอิทธิพลในสมัยก่อน บางครั้งพ่อก็ทะนงตนเกินไปยอมหักไม่ยอมงอ หลายเรื่องที่พ่อทำผมก็ไม่เห็นด้วย”

ชายตรงหน้าวนกาแฟในถ้วยเป็นวงกลม สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะจนได้ยินเสียงพัดลมของเครื่องปรับอากาศ เขาหันมาสบตาคุณแล้วพูดต่อ

“พ่อมีบทบาทสำคัญในการผลักดันกฎหมายแรงงาน พ่อปลุกให้ทุกคนตื่นตัวเรื่องสิทธิเสรีภาพของตนเอง พ่อกล้าต่อกรกับอำนาจรัฐที่ไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ทำให้ข้อเรียกร้องต่างๆ สร้างความไม่พอใจให้กับผู้มีอำนาจในสมัยนั้น พ่อถูกข่มขู่และให้หยุดการเคลื่อนไหวหลายครั้ง แต่พ่อไม่สนใจเหมือนหมูไม่กลัวน้ำร้อน

“หลังพ่อถูกอุ้มหายไปมีหลักฐานหลายอย่างที่จะหาตัวคนร้ายหรือผู้บงการได้ เช่น รอยนิ้วมือเต็มคันรถ กล้องวงจรปิดละแวกนั้น หมายเลขทะเบียนรถที่วนเวียนดูความเคลื่อนไหว ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้ถึงไม่มีใครกล้ายุ่ง พอโตขึ้นจึงได้รู้ว่าอำนาจทางการเมืองนั้นเป็นอย่างไร บางทีความยุติธรรมอาจเป็นแค่คำในพจนานุกรมไม่มีในชีวิตจริง”

ทะเลยามนี้มีลมแรงกระชั้นไม่ขาดสาย เสียงคลื่นเนื่องหนุนมาไม่หยุดหย่อนม้วนตัวเป็นเกลียวกระแทกกับพื้นทรายแล้วโรยตัวลงผืนน้ำ เหลือเพียงฟองขาวเล็กๆ ไล้กับชายหาด สถานที่นี้เงียบสงบ ผู้คนบางตา

บ้านชั้นเดียวถูกก่อขึ้นอย่างง่ายๆ บริเวณบ้านแบ่งเป็นสัดส่วน ด้านขวาเป็นแปลงผักนานาชนิด ถัดมาเป็นบ่อเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ รถจักรยานยนต์สภาพเก่าจอดหน้าประตูบ้าน พื้นเทด้วยคอนกรีต มีก้อนกรวดสีดำโรยตามทางเดินเป็นระยะ ประตูรั้วเหล็กสีขาวมีล้อเลื่อนกั้นระหว่างทางเข้าก่อนถึงตัวบ้าน ชายชราคนหนึ่งอยู่ในแปลงผัก

“สวัสดีครับคุณลุง” คุณร้องเรียก

ชายชราแหงนหน้ามองแล้วถามว่า “มาหาใครพ่อหนุ่ม?”

จากการคำนวณด้วยสายตาหยาบๆ เขาเป็นชายวัยเจ็ดสิบกว่าไว้หนวดเครายาว ผิวคล้ำ ศีรษะล้าน สวมเสื้อผ้าเก่าแต่ดูสะอาด ชายชราละจากงานตรงหน้าเดินเข้ามาหาคุณ ทำให้เห็นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าแสดงถึงความกร้านชีวิตและประสบการณ์ ไม่มีอะไรต้องสงสัย เขาคือชายในรูปภาพริมทะเลนั่นเอง!

“พ่อ!” ชายชราผงะเล็กน้อย
เลื่อนประตูรั้วเหล็กออกแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่มว่าอะไรนะ?”

สมุดบันทึกปกหนังสีดำ รูปภาพชายยืนริมทะเล และจดหมายลายมือแม่ถูกวางอยู่บนโต๊ะ ชายชราหยิบแว่นตาทรงกลมขึ้นสวม เขาอ่านจดหมายสลับมองใบหน้าคุณเป็นระยะ หลังอ่านจบเขาวางจดหมายลง สักพักก็หยิบขึ้นมาอ่านใหม่วนเวียนอยู่สามครั้ง จนเมื่อชายชราถอดแว่นตาออกแล้วถามขึ้นว่า “ตอนนี้บังอรสบายดีไหม?”

“แม่ตายแล้ว!” คุณพูดห้วนพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติ ชายชรามีสีหน้าตกใจ

คุณเข้าประเด็นทันที “ทุกคนเชื่อว่าพ่อตายไปเเล้ว
ทำไมพ่อถึงอยู่ที่นี่ เกิดอะไรขึ้นในวันนั้น?”

ชายชรานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังลำดับเหตุการณ์แล้วเริ่มเล่าอย่างช้าๆ

“เช้าวันนั้นลุงเอารถไปล้างตามปกติ ระหว่างรอ ลุงเดินเข้าไปในซอยตรงข้าม จู่ๆ มีชายสองคนเดินมาประกบด้านหลัง คนหนึ่งเอาปืนจี้บังคับให้ลุงเดินไปขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่ เมื่อเข้ามาในรถลุงถูกคลุมหัวด้วยถุงผ้าสีดำ พวกมันพาลุงไปเก็บไว้ในบ้านหลังหนึ่ง

“หลังจากนั้นพวกมันพาลุงขึ้นรถแต่เปลี่ยนเป็นรถกระบะมีชายสองคนนั่งประกบข้าง มันใส่กุญแจมือและปิดตาลุง ลุงไม่รู้ว่ามันจะพาไปไหน ระหว่างทางรถสั่นสะเทือนตลอดเหมือนขับเข้าไปในพงหญ้า เมื่อถึงที่หมายพวกมันเอาผ้าปิดตา ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นท้องฟ้าเริ่มมืด ลุงกวาดตามองรอบๆ พวกมันมีอยู่หกคนหัวหน้าหนึ่งคน ด้านหน้าลุงมีหลุมขนาดใหญ่ถูกขุดรอไว้แล้ว ตอนนั้นลุงรู้สึกกลัวตาย ขอร้องให้พวกมันโทร.หานายพลท่านหนึ่ง ลุงขอให้นายพลท่านนั้นช่วย ลุงคิดแต่เพียงว่ายังไงต้องรักษาชีวิตให้รอดก่อน

“มีการโทร.พูดคุยไปมาหลายครั้ง ผ่านไปยี่สิบนาทีได้ข้อสรุปว่าพวกนั้นจะยอมปล่อยตัวลุง แต่มีเงื่อนไขว่าลุงต้องหยุดการเคลื่อนไหวและหายตัวไปอย่างน้อยสิบปี จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นคงเป็นการดีด้วยซ้ำที่ลุงจะหายตัวไปจริงๆ เพราะหลายปีมานี้ลุงก็ไม่มีความสุขกับชีวิตครอบครัว ลุงอยากมีชีวิตใหม่ ชีวิตที่มีอิสรภาพของตัวเองอย่างแท้จริง

“พวกมันพาลุงมาทิ้งไว้ที่นี่เพราะห่างไกลผู้คน จนเวลาผ่านไปนานหลายปีหลังมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ลุงจึงส่งข่าวให้บังอรรู้ว่าลุงยังไม่ตาย”

ชายชราเอื้อมมือทั้งสองมากระชับที่ไหล่คุณ มองลึกเข้าไปในดวงตา “ลูกเอ๋ย อย่าบอกใครว่าพ่อยังไม่ตาย ขอให้พ่อตายไปในความทรงจำที่ดีของพวกเขาตลอดไป”

ประโยคสุดท้ายชายชราเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองว่าพ่อ เมื่อเรื่องราวปะติดปะต่อประสานรอยกันอย่างสนิท คุณจึงหมดคำถาม

คุณอายุยี่สิบห้า ปัจจุบันทำงานในนิตยสารไทยแลนด์โอลี่ เดือนนี้นิตยสารต้องการทำประเด็นผู้ถูกบังคับให้สูญหาย คุณได้รับมอบหมายให้มาเก็บบทสัมภาษณ์ครอบครัวและเพื่อนผู้สูญหายคนหนึ่ง

แม่เล่าให้ฟังว่าพ่อเสียชีวิตตั้งแต่คุณอยู่ในครรภ์ เมื่อคุณอายุได้ยี่สิบสามแม่จากไปด้วยโรคมะเร็ง ก่อนเสียชีวิตแม่มอบสิ่งหนึ่งให้คุณ เป็นกล่องคุกกี้สีแดงพร้อมกำชับว่าเรื่องราวทั้งหมดอยู่ในนี้

หลังเสร็จสิ้นงานศพแม่ คุณเปิดกล่องคุกกี้ข้างในมีสมุดบันทึกปกหนังสีดำ ภาพถ่ายชายริมทะเล และจดหมายฉบับหนึ่ง

คุณเปิดสมุดบันทึกสีดำสามสี่แผ่นแรกจดรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ หลายแผ่นต่อมาจดตารางนัดหมายรวมทั้งรายละเอียดข้อมูลต่างๆ ลายมือขยุกขยิก ภาพถ่ายชายริมทะเลคุณพลิกดูด้านหลังระบุที่อยู่สถานที่หนึ่งในภาคใต้ และจดหมายลายมือแม่อ่านได้ใจความว่า

“รุจ พ่อเอ็งชื่อรงค์ เป็นผู้นำแรงงานในสมัยก่อน เขาถูกอุ้มหายไปเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่โตเพราะพ่อเอ็งเป็นที่รู้จักกว้างขวาง คืนก่อนหายตัวไป พ่อนัดแม่ไปพบที่โรงแรมหนึ่งย่านสะพานควาย เราร่วมรักกัน จนกระทั่งเวลาประมาณสามทุ่มมีโทรศัพท์โทร.มาที่เครื่องเขา พ่อเอ็งรับแล้วรีบพุ่งพรวดออกไปทันทีทำให้ลืมสมุดบันทึกไว้บนหัวเตียง

“สองวันต่อมาแม่เห็นข่าวทางโทรทัศน์ว่าพ่อเอ็งถูกอุ้มหายไป แม่ตกใจมาก และคิดว่าพ่อเอ็งคงตายแล้ว ผ่านไปหลายปีวันหนึ่งแม่ได้รับจดหมาย แม่ไม่คิดว่าพ่อเอ็งจะจำที่อยู่ที่แม่เคยให้ไว้ได้ เมื่อเปิดดูก็พบรูปถ่ายพ่อเอ็งยืนริมทะเลมีข้อความเขียนว่า “บังอร พี่ยังไม่ตาย” พ่อเอ็งไม่เคยรู้ว่าแม่ตั้งท้อง แม่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอด เมื่อถึงเวลาเอ็งควรได้รู้ความจริง”

ลงชื่อ แม่

นิตยสารไทยแลนด์โอลี่ฉบับใหม่ถูกตีพิมพ์เป็นเล่มก่อนวางจำหน่าย คุณยื่นนิตยสารให้ชายตรงหน้า เขารับและกล่าวขอบคุณ คุณเพิ่งสังเกตเห็นว่าชายตรงหน้ามีใบหน้าละม้ายคล้ายคุณ หน้าที่คุณหมดเพียงเท่านี้

ระหว่างทางกลับบ้านคุณครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คาดหวังว่าพี่ชายจะเห็นข้อความที่คุณเขียนเอาไว้ในหน้าสุดท้าย

“ถ้าหายไปสามวันให้ไปแจ้งความ ถ้าหายไปเจ็ดวันแสดงว่าตายแล้ว” แต่พ่อยังไม่ตาย!