เรื่องสั้น : “ถึดทือ”

ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ รู้ดีว่าเงินที่เหลืออยู่ในมือขณะนี้ อาจจะเป็นเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตพนักงานออฟฟิศอย่างเขา หากไม่ชนะพนันในตานี้ เขาตัดสินใจทุ่มลงไปหมดหน้าตักกับการแทงต่ำ สายตาจดจ่ออยู่ที่ฝาทรงกระบอกซึ่งครอบลูกเต๋าสามลูกภายใน ก่อนเจ้ามือจะแง้มเผยออกหน้า…สาม-สี่-สี่

“ไฮโล!!…” เจ้ามือชายวัยกลางคนผิวเข้ม หน้าตาขึงขังส่งเสียงลั่น เมื่อเห็นแต้มรวมลูกเต๋าที่หงายขึ้นเป็นสิบเอ็ด พลันโถมตัวไปกวาดเงินที่วางอยู่ในช่องต่างๆ บนผืนผ้า เป็นกอบเป็นกำ มาไว้ข้างตัว

“โธ่โว้ย!…หมดกัน” จักรกฤษณ์โพล่งขึ้นกลางวงด้วยความหงุดหงิด ขณะเม็ดเหงื่อเริ่มแทรกซึมตามใบหน้า เขาเดินกระฟัดกระเฟียดหลบนักพนันที่อัดกันอยู่ในห้องนั้นออกมาอย่างร้อนใจ ก่อนจะทอดถอนลมหายใจแล้วรีบกดโทรศัพท์มือถือไปหาเพื่อนสนิทที่สุด

“ไอ้กรณ์ คืนนี้เอ็งออกมาหาข้าข้างนอกหน่อยได้หรือเปล่าวะ ข้าไม่มีเพื่อนกินเหล้า” จักรกฤษณ์ชวนเพื่อนซี้ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดแกมขอร้อง

“เอ่อ…” ปกรณ์ลากเสียงยาวขณะใช้ความคิด

“เอ็งไม่ต้องยึกยักเลย ข้ารู้ว่าคืนนี้เอ็งไม่มีนัดที่ไหน” จักรกฤษณ์เดาสุ่มส่งเดชไป

“อ่า…ก็ได้ๆ เจอกันที่ไหนวะ” ปกรณ์จนมุมที่จะปฏิเสธ ด้วยความรักเพื่อนเช่นเคย

“ร้านเดิม รีบมาให้ไว ข้าจะไปรอในร้านก่อนก็แล้วกัน”

เสียงเพลงขับขานคลอเคล้าเสียงกีตาร์โปร่งในแนวอะคูสติกเบาๆ ฟังสบายจากนักร้องสาวเสียงหวานปนเศร้า ทำให้คนซึ่งอยู่ในร้านรู้สึกเคลิ้มราวกับถูกมนต์สะกด ทว่า บางขณะก็ยังหันกลับไปพูดคุยกันต่ออย่างไม่เสียงาน เขาทั้งสองนั่งหลบอยู่ในมุมมืด

“ไอ้กรณ์ ตอนนี้เอ็งพอจะมีเงินให้ข้ายืมสักห้าหมื่นหรือเปล่า?” จักรกฤษณ์เปิดฉากรุก สายตาคาดคั้น

“เฮ้ย! เงินตั้งห้าหมื่น ข้าไม่มีหรอกจักร เอ็งก็รู้ว่าข้ามีภาระเยอะแค่ไหน ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ แล้วไหนจะค่าบัตรเครดิตอะไรอีกจิปาถะ…” ปกรณ์บอกปฏิเสธตามตรง “ว่าแต่เงินเยอะขนาดนั้น เอ็งจะเอาไปทำอะไร?” ก่อนจะยกแก้วเบียร์เย็นขึ้นจ่อปาก

“ข้าไม่ได้ส่งค่าผ่อนบ้านกับค่างวดรถมาสองเดือนแล้ว ถ้าเดือนนี้ไม่มีจ่ายอีกงวดต้องโดนยึดทั้งบ้านทั้งรถแน่ๆ ข้าจะทำยังไงดีวะ” จักรกฤษณ์วางแก้วเบียร์ในมือลง ก้มหน้ากุมขมับ

“นี่ไปบ่อนมาอีกแล้วสิท่า ก็ข้าบอกเอ็งกี่ครั้งแล้วว่าให้วางมือเสีย” ปกรณ์ส่ายหน้า แววตาห่วงใย

“เออๆ ไม่มีก็ไม่มีสิวะ พล่ามอยู่ได้ น่าเบื่อจริงเอ็งนี่” จักรกฤษณ์หัวเสียทวีคูณ ก่อนยกแก้วเบียร์ขึ้นกระดกอีกครั้ง เขาเบนสายตาไปบนเวที สายตาสอดประสานเข้ากับนักร้องสาวเข้าพอเหมาะพอดี เธอเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว เอวบางร่างน้อย อายุน่าจะอยู่ในช่วงเบญจเพส จะขาดหรือเกินก็ไม่เกินหนึ่งหรือสองปี กำลังขับกล่อมบทเพลงเหงาๆ อยู่บนเก้าอี้หมุนตัวสูงโดยมีมือกีตาร์นั่งบรรเลงอยู่ใกล้ๆ

“ผีพนันเข้าสิงจนเสียผู้หญิงดีๆ ไปคนหนึ่งแล้ว นี่เอ็งยังไม่เข็ดอีกหรือไงวะไอ้จักร เลิกเสียเถอะวะ การพนัน เชื่อข้า” ปกรณ์ยื่นมือวางบนไหล่เพื่อน ตบเบาๆ ปลอบใจที่คนรักบอกเลิกไปเมื่อไม่นาน

“ข้าก็พยายามอยู่ แต่ขอถอนทุนคืนมาก่อน เสียไปน้อยที่ไหน เลิกน่ะเลิกแน่นอน เรื่องนั้นเอ็งไม่ต้องห่วง” จักรกฤษณ์พูดอย่างขอไปที พลางหันไปส่งสายตากับนักร้องสาวอีกครั้ง ก่อนซดเครื่องดื่มสีอำพันที่เหลืออยู่ค่อนแก้วลงคอไปจนหมดสิ้น

“เออ พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้านที่นครสวรรค์ เอ็งจะไปด้วยกันไหม เปลี่ยนบรรยากาศบ้างไรบ้าง ข้าเห็นเอ็งเครียดๆ นะหมู่นี้” ปกรณ์เอ่ยชวน เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของเพื่อนหม่นหมองลงไป “พอดีวันอาทิตย์พวกพี่ๆ ข้าเขาจะทำบุญแซยิดให้แม่ เข้าวัดเข้าวาบ้างก็ดีนะไอ้จักร แล้วข้าจะขอให้หลวงพ่อสาดน้ำมนต์ให้ ผีพนันจะได้ออกจากร่างเอ็งเสียที” ปกรณ์แหย่ทีเล่นทีจริง

“เออ ก็ดีเหมือนกัน ข้าไม่ได้เจอแม่เอ็งนานแล้ว” จักรกฤษณ์พยักหน้า ก่อนจะเอี้ยวตัวบิดขี้เกียจ

“ถ้างั้นพรุ่งนี้สายๆ ข้าจะไปรับเอ็งที่บ้าน ขากลับวันอาทิตย์คงกลับถึงกรุงเทพฯ เย็นๆ” ปกรณ์กล่าวอย่างดีใจเมื่อเพื่อนตอบตกลง

เขาหวังว่าการเข้าวัดหนนี้อาจจะทำให้เพื่อนรักของเขาได้รับสิ่งดีๆ กลับมา

วัดที่ปกรณ์และครอบครัวมาทำบุญให้มารดาตั้งอยู่ในอำเภอเมือง ระหว่างรอพระฉันเพลหลังเสร็จพิธี จักรกฤษณ์ปลีกตัวออกมาจากศาลาการเปรียญคนเดียวเงียบๆ เขาเคยมานครสวรรค์หลายครั้ง แต่ไม่เคยมาวัดแห่งนี้

ชายหนุ่มเดินทอดท่องไปรอบๆ บริเวณวัดปลูกต้นไม้มากมายไว้อย่างร่มรื่น โดยเฉพาะลั่นทมหลากสี เขาสังเกตเห็นป้ายไม้กระดานกว้างราวฝ่ามือเขียนกลอนคำสอนติดอยู่กลางต้นลั่นทมดอกสีแดงแปลกตา… “การพนันขันต่อก่อกิเลส ชักนำเหตุทรุดทรามความฉิบหาย พาหะแห่งย่อยยับและอับอาย ใครงมงายเดือดร้อนยากถอนตัว”

หยุดยืนเพียงครู่จึงผละออกมาจากจุดนั้น ผ่านมาถึงหอระฆังและโบสถ์เก่าหลังใหญ่ ทันใดก็มีลมเย็นๆ พัดมาปะทะใบหน้าวูบหนึ่ง เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อยเพราะตั้งแต่เข้าเขตวัดมา อากาศนั้นอบอ้าวแทบจะไม่มีกระแสลมเคลื่อนตัว จนมาถึงร้านเช่าวัตถุมงคล มีผู้สนใจยืนเลือกอยู่สองสามคน ตรงด้านหน้ามีป้ายขนาดใหญ่แนะนำวัตถุมงคลหลากรุ่น ทั้งพระเครื่อง ตะกรุดและผ้ายันต์ แต่ที่ทำให้เขาฉงนไม่น้อย ก็เห็นจะเป็นข้อความในป้ายที่เขียนว่า “มีนกถึดทือเจ้ามือวิ่งหนีให้บูชา”

จักรกฤษณ์สืบเท้าเข้าไปด้านใน มีเจ้าหน้าที่วัดสูงวัยคนหนึ่งกำลังยืนก้มๆ เงยๆ เช็ดตู้กระจกอยู่ เขายืนชมวัตถุมงคลในตู้อย่างสนใจ รอเวลาจนไม่เหลือใคร จึงเริ่มหาคำตอบกับสิ่งที่กำลังสงสัย…

“เอ่อ ลุงครับ ผมสอบถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างไม่รอช้า

“ได้สิพ่อหนุ่ม มีอะไรเรอะ?” ผู้สูงวัยรุ่นพ่อเงยหน้ามองยิ้มๆ

“นกถึดทือ…ในป้ายข้างหน้า มันคืออะไรเหรอครับลุง?” ชายหนุ่มเอ่ยขณะหันกลับไปทางหน้าร้าน

“อ๋อ… นกถึดทือน่ะเรอะ บางแห่งเขาก็เรียกนกทึดทือ มันเป็นนกในตระกูลนกเค้าแมวออกหากินกลางคืน พ่อหนุ่มคงไม่เคยได้ยินมันร้อง…ฮูป-ฮูป-ฮู!! …สิท่า” ผู้สูงวัยท่าทางใจดีสาธยายให้ฟัง พลางเลียนเสียงร้องของนกถึดทืออย่างอารมณ์ดี

“ไม่เคยเห็นหรอกครับลุง ผมมาจากกรุงเทพฯ บังเอิญมาเที่ยวบ้านเพื่อนที่นี่นะครับ ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับวัตถุมงคลนั่นละครับลุง” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ยังไม่คลายสงสัย

“คืออย่างนี้นะพ่อหนุ่ม…แรกเริ่มเดิมที นกถึดทือเป็นตำรับของ “หลวงปู่ศุข” วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชูซึ่งอยู่วัดนี้ มีเรื่องเล่ากันว่าสมัยก่อนหลวงปู่ศุขเป็นอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรฯ ได้ไปพำนักที่วังนางเลิ้ง บรรดานายทหารและคนรับใช้ประจำวังก็เลยเข้าไปกราบขอวัตถุมงคล ในจำนวนนั้นหลายคนติดเบี้ยบ่อน ก็เลยขอของดีไปแก้มือ หมายจะกลับไปล้างแค้นเจ้ามือ ท่านไม่ได้ให้พระเครื่องใครไปแต่อย่างใด แต่ได้เขียนยันต์นกถึดทือให้ไปแทน” ชายชราเล่าเรื่องอย่างลื่นไหลราวกับเคยร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ก่อนจะชะงักไป…

“ลุง! ตะกรุดนี่ ปล่อยเช่าเท่าไหร่ล่ะ” วัยรุ่นชายมีรอยสักทั้งตัวคนหนึ่ง ซึ่งเพิ่งมายืนเลือกเครื่องรางได้ไม่นาน เอ่ยถามแทรกขึ้นมา

“สามร้อยห้าสิบ” ชายชราบอกได้อย่างแม่นยำ แม้ยังไม่เห็นราคาในป้ายที่ติดอยู่

“ลดสักหน่อยไม่ได้เหรอลุง” หนุ่มจอมขมังเวทย์ลองหยั่งเชิง

“บ๊ะ ไอ้นี่ เครื่องรางของขลังใครเขาต่อราคากัน…จะเอาหรือไม่เอา” ชายชราผู้เคร่งครัดกับการรักษาผลประโยชน์ให้แก่วัดเค้นเสียงดังสวนกลับไป

“เอาๆๆ ก็ได้ๆ ขอเช่าอันหนึ่งลุง” วัยรุ่นสีหน้าผิดหวัง รีบก้มหน้าหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้

“เอ้ารับไป เอาไปบูชาแล้วก็ทำตัวดีๆ ให้สมกับที่มีของดีในตัวด้วยล่ะ”

“แล้วยังไงต่อครับลุง” จักรกฤษณ์ได้จังหวะซักต่อ

“จะยังไงล่ะ ปรากฏว่าเจ้ามือทั้งนางเลิ้ง พระนคร สี่กั๊กยันเสาชิงช้า ต้องถึงขั้นปิดบ่อนหนีบรรดาศิษย์นกถึดทือกันหมด เป็นอันว่าแก้มือสำเร็จ ร่ำรวยกันไปตามๆ กันจนเจ้ามือขยาด หลังจากนั้นถ้ารู้ว่าเป็นพวกนกถึดทือ จากวังนางเลิ้ง เจ้ามือจะไม่รับเข้าไปเล่นเลยแม้แต่คนเดียวน่ะสิ เหอะๆๆ”

ผู้สูงวัยหัวเราะในลำคอ

ขากลับจากนครสวรรค์ ฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงตลอดทาง ทั้งยังต้องเจอกับรถติดก่อนจะเข้าเขตกรุงเทพฯ อีก กว่าปกรณ์จะมาส่งจักรกฤษณ์ถึงที่พักก็พลบค่ำแล้ว

ในห้องนอนค่ำนั้น จักรกฤษณ์นั่งเพ่งพินิจวัตถุมงคลที่ได้มาอย่างใจจดใจจ่อและมีความหวัง ราวได้เจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ตอนอยู่ในวัดนั้น ปกรณ์เดินตามมาพบในช่วงกำลังเช่าของสำคัญเสร็จพอดี เขารีบซุกกล่องพลาสติกเล็กๆ ไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว

ถึงคราวหลังพิงฝา จักรกฤษณ์นำสร้อยทองหนึ่งบาท สมบัติติดตัวชิ้นสุดท้ายเข้าโรงรับจำนำในวันต่อมา เขากำลังจนตรอกและมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าจะนำเงินก้อนนี้ไปที่ใด…

ขณะจอดรถอยู่ด้านหลังบ่อน เขาตั้งนะโมสามจบ ตั้งจิตภาวนาต่อเครื่องรางในกระเป๋าเสื้อ ท่องคาถาบูชา “กิ ปิ พิ คิ – คิ พิ ปิ กิ” … เสร็จแล้วรีบบึ่งตรงไปยังทางเข้าสถานที่ลับ ซึ่งรู้กันเฉพาะคนวงในเท่านั้น

จักรกฤษณ์เริ่มมือขึ้นอย่างประหลาดตั้งแต่วันนั้น เขาได้เงินกลับมาในวันแรก เพียงพอที่จะไถ่ถอนสร้อยคอทองคำออกมาจากโรงรับจำนำ ตั้งใจว่าจะเอาสร้อยนั้นมาห้อยเครื่องรางนำโชคสุดแสนวิเศษติดตัวไว้ตลอดเวลา พร้อมทั้งเก็บเงินที่เหลือไว้เป็นทุนเสี่ยงโชคในวันต่อไป

ชายหนุ่มแวะมานั่งจิบเบียร์ร้านเดิมอีกครั้ง หลังประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง ทว่า คืนนี้เขามาเพียงคนเดียวโดยปราศจากปกรณ์ มุมหนึ่งในร้าน เยื้องๆ กับหน้าเวที จังหวะหนึ่งเขาเชิญนักร้องสาวคนที่เจอคืนก่อนมาที่โต๊ะ “เอมอร”-สาวผมดำขลับ ยาวตรงรวบตึง ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนกุดสีขาว กระโปรงยีนส์เข้ารูปยาวเหนือเข่า รับกับรองเท้าท็อปบู๊ตดำ ดูทะมัดทะแมงมีเสน่ห์ เธอแต่งหน้าอ่อนๆ ไม่เหมือนนักร้องหญิงคนอื่น ที่ทั้งแต่งตัวแรง แต่งหน้าจัด ทั้งยังเป็นกันเองเมื่อยามได้ใกล้ชิดและสนทนาด้วย

“ขอบคุณที่ให้เกียรติอรค่ะ ไม่ทราบคุณชื่ออะไรคะ” หล่อนทักทายอย่างเป็นมิตร เมื่อหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้โซฟาใกล้ๆ กัน

“จักรกฤษณ์ครับ เรียกจักรเฉยๆ ก็ได้” เขาส่งยิ้มให้ ก่อนจะถาม “คุณอรรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

“ขอเป็นเบียร์ก็แล้วกันค่ะ จะได้ดื่มเป็นเพื่อนคุณไงคะ” หล่อนยิ้มพราย ตาเป็นประกาย

ชายหนุ่มยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณจักร แล้ววันนี้เพื่อนคุณไม่มาด้วยเหรอคะ?” เอมอรเลิกคิ้ว เอียงคอยิ้มขณะเอ่ย

“เช่นกันครับ อ๋อ…ไอ้กรที่มากับผมวันก่อนนั่นเหรอ คุณจำผมกับเพื่อนได้ด้วยหรือ วันนี้เมียมันไม่ปล่อยให้มาน่ะ คนโสดก็เลยต้องมานี่คนเดียว” ชายหนุ่มสกัดดาวรุ่ง ก่อนส่งยิ้มตอบ

“งั้นเหรอคะ ขอโทษที่ละลาบละล้วง ไม่ทราบว่าคุณจักรทำงานอะไรคะ” หล่อนเสเปลี่ยนเรื่อง

“ผมเป็นพนักงานออฟฟิศ ทำเกี่ยวกับเขียนโปรแกรมนะครับ” เขาพยายามเชื่อมสัมพันธ์ต่อ “เอ ผมว่าผมมาที่นี่บ่อยอยู่เหมือนกันนะ แต่ทำไมเพิ่งพบคุณอรก็ไม่ทราบ”

“อรเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้สักสัปดาห์เห็นจะได้ค่ะ”

“มิน่าล่ะครับ…”

เวลาครึ่งชั่วโมงของเขาและเธอผ่านไปราวกะพริบตา

“เอ่อ… คุณจักรคะ อรต้องขึ้นไปร้องเพลงต่อแล้วค่ะ” เธอรีบตัดบท “ขอบคุณมากนะคะสำหรับเบียร์และมิตรภาพ” พลางยื่นแก้วในมือสัมผัสแก้วของฝ่ายชายเบาๆ ก่อนจะดึงมือกลับแล้วยกดื่มเบียร์ที่เหลือจนหมด

สัปดาห์ผ่านไป จักรกฤษณ์เริ่มได้เงินกลับมาเป็นกอบเป็นกำ เขาสามารถชำระค่าผ่อนบ้านและค่างวดรถที่ค้างส่งอยู่ได้ทันเวลา และมีเงินเก็บอีกหลายแสน จน “เสี่ยชัช”-เจ้าของบ่อน เริ่มขุ่นเคืองที่มีเงินไหลออกจากบ่อนมากผิดปกติ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน สั่งกำชับลูกน้องให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของเขาทุกฝีก้าว

หลังจากนั้น พอออกจากบ่อน จักรกฤษณ์มักหาโอกาสไปหาเอมอรที่ร้านบ่อยขึ้น เขากำลังมีความรักอีกครั้งกับนักร้องสาวที่พึงใจตั้งแต่แรกพบ ไม่นานทั้งสองก็คุ้นเคย สนิทสนม เกินคนรู้จักธรรมดา สุดท้ายลงเอยที่ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง และแอบคบกันอย่างลับๆ ตามที่ฝ่ายหญิงร้องขอ

เขาหลงรักเธออย่างหัวปักหัวปำ แม้จะเพิ่งรู้จักกันเพียงผิวเผิน จักรกฤษณ์แบ่งเงินที่ได้มาให้เอมอรใช้อยู่เนืองๆ ทว่า มีบางอย่างที่ทำให้เขาคลางแคลงใจมาตลอด เหตุใดเอมอรจึงต้องคบกับเขาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ทั้งที่ตัวเขารักจริงหวังแต่ง หลายครั้งตอนอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เขาสังเกตเห็นว่าเธอมักจะมีอาการสะดุ้งตกใจทุกครั้งที่มีสายหนึ่งโทร.เข้ามา และมักจะบ่ายเบี่ยงเฉไฉไปเรื่องอื่นเมื่อเขาถามว่าใครโทร.มา? เขาพยายามหาทางแอบฟัง แว่วเสียงนั้นเป็นผู้ชายค่อนข้างมีอายุ

ให้หลังไม่นานจักรกฤษณ์เริ่มมือตก แพ้พนันติดๆ กันโดยไม่รู้สาเหตุ เขาพยายามเล่นในแต่ละครั้งด้วยเงินก้อนใหญ่ที่มากขึ้นไปอีก หวังถอนทุนคืนให้เร็ว แต่กลับจมลึกจนเงินเก็บเริ่มร่อยหรอ

เอมอรที่เคยอยู่เคียงข้างก็กลับหลบหน้าหลบตา นานๆ ถึงจะออกมาพบกันตามนัดได้ เขารู้สึกได้ว่าฝ่ายหญิงเปลี่ยนไปและหลายๆ อย่างรอบตัวดูจะขวางหูขวางตาไปหมด ถึงคราวที่ต้องเสียเงินกลับไปให้บ่อนแทบทุกวัน วันละหลายหมื่น บางวันถึงแสน จักรกฤษณ์เริ่มเครียดจัดและดื่มหนักขึ้น

อีกด้านหนึ่งลูกน้องเสี่ยชัชสะกดรอยตาม จนรู้แน่ชัดว่าเขาแอบคบอยู่กับเอมอรเด็กเลี้ยงของเสี่ย โดยที่เขาก็ไม่ระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนเลย วันหนึ่งจักรกฤษณ์ถูกลูกน้องของเสี่ยดักสั่งสอนอย่างเจ็บปวด ถูกรุมซ้อมอย่างสะบักสะบอม

แล้วความลับของเอมอรก็ถูกเปิดเผย เขาถูกสั่งห้ามไม่ให้ติดต่อกันอีก ก่อนฝ่ายหญิงจะหายสาบสูญจากชีวิตของเขาไปอย่างไร้ร่องรอย

คืนเดือนดับและไร้ดาว ท้องฟ้ามืดมิดหม่นมัวด้วยเมฆฝน บัดนี้จักรกฤษณ์เริ่มตกอยู่ในสถานการณ์เดิมอีกครั้ง ทั้งบ้านและรถยนต์กำลังจะถูกยึดจากการค้างชำระติดๆ กัน เงินเก็บก็ไม่เหลือ แม้กระทั่งสร้อยทองเส้นนั้น เขากำลังหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง พลันนึกถึงคำพูดของเพื่อนรัก “ข้าบอกเอ็งตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิก การพนันไม่เคยทำให้ใครรวย อบายมุขไม่เคยทำให้ชีวิตใครดีขึ้น”

สายฝนเริ่มโปรยปรายหนาเม็ด ท่ามกลางเสียงฟ้าคำรามอยู่ภายนอก เสี้ยววินาทีนั้นสายฟ้าที่ฟาดแฉกลงมาคล้ายลิ้นอสูรกาย สว่างวาบเผยให้เห็นภายในห้องมืด ชายหนุ่มนอนแผ่หลาเป็นซาก หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต มีเครื่องรางสัมฤทธิ์รูปนกถึดทือในท่ายืนหุบปีก ดวงตากลมโตกำลังมองเขม็ง ที่ใต้ฐานมีรอยจารจารึกอักขระยันต์ตัว “กิ” อยู่ในอุ้งมือข้างซ้าย มือขวากำมีดปลายแหลมคมวาว กำลังไพล่คิดไปถึงคำเตือนของชายชราที่วัดในวันนั้น…

“หากคิดจะบูชานกถึดทือ พ่อหนุ่มจะต้องพึงระลึกถึงข้อห้ามสองข้อไว้ให้ขึ้นใจ ข้อหนึ่ง…ห้ามห้อยบูชาไว้ต่ำกว่าสะเอว ข้อสอง…ห้ามผิดศีลข้อสาม ห้ามร่วมประเวณีกับหญิงที่มีคู่ครองอยู่กินด้วยกันฉันสามี-ภรรยา ถึงแม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันก็ตาม…”