แล้ววันหนึ่งเขาจะปรากฏตัว | เรื่องสั้น : กิตติศักดิ์ คงคา

เรื่องสั้น | กิตติศักดิ์ คงคา

แล้ววันหนึ่งเขาจะปรากฏตัว

 

1)

ตาย… ใครสักคน… โชคร้าย…

เสียงของพ่อพึมพำโหยหวน ในเช้ารุ่งวันหนึ่ง 6 ตุลาคม 2519 บรรยากาศนอกบ้านขมุกขมัว ไม่รู้เป็นเพียงอุปาทานหรือเปล่า แต่ผมได้กลิ่นดินปืนฉุนกึกอยู่ในจมูก พ่อรีบเปิดประตูออกไปหน้าบ้าน ไม่เห็นใคร ทางเข้าของประตูแคบนั่นว่างเปล่า

“ยังไม่กลับมา”

เสียงพ่อราบเรียบ ผมนั่งอยู่ในความมืดมุมหนึ่งของบ้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพ่อหมายถึงใคร น้องชายของพ่อ อาของผม ชายผู้แบ่งชีวิตของผมออกไปเลี้ยงดูอีกครึ่ง ที่เหลือจากพ่อ ด้วยความทรงจำทางการเมืองที่ต่างกันราวซ้ายกับขวา อาอยู่ที่นั่น บนท้องถนน เรียกร้องความเท่าเทียมของมวลชน

“กลับมาแล้ว”

ผมพูดสิ่งตรงข้าม ขณะที่เดินมาที่ประตู อาอยู่ที่นั่น เป็นเรือนร่างว่างเปล่า สีหน้ายิ้มละไม ท่ามกลางชุดขาวคาดแดงเลือดเลอะเทอะเปรอะเปื้อน อีกด้านเป็นฝุ่นดิน เห็นใบหน้าไม่คมชัด ร่องรอยถูกทำร้าย เหมือนถูกทำร้าย

แต่อาก็ยังยิ้ม

บนเรือนร่างว่างเปล่า โปร่งใสราวไม่อาจมองเห็น แต่ก็เห็น ผมร้องโหยหวนออกมาไม่ได้สติ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นผี สิ่งเสมือนผี หรือสิ่งที่อาจเรียกว่าวิญญาณ พ่อตกใจไปเพราะไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง พ่อไม่เห็นอา แล้วอาก็เดินลับหายเข้าไปในบ้าน โดยมีเบื้องหลังเป็นแดดเช้าแห่งเรื่องราวโศกนาฏกรรม

 

2)

ผมคิดว่าคงมีใครสักคนเสียสติ

หากไม่ใช่ผม ก็คงเป็นพ่อ ในขณะที่ผมเห็นอายังล่องลอยไปมาในบ้าน (ในสภาพปรกติแล้ว ชุดสะอาดเรียบร้อย ไม่อุจาดตา) แต่พ่อกลับบอกว่าผมแค่เพ้อ อาไม่มีวันกลับมาที่นี่อีก “มันเป็นพวกนอกคอก มันเป็นคอมมิวนิสต์”

อายิ้มเยาะหนึ่งครั้งเมื่อได้ยินเสียงนั่น

แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ความจริงสิ่งที่ผมทำได้คือแค่เห็น ไม่มากและไม่น้อยไปกว่านั้น ผมกับอาสื่อสารกันไม่ได้ ผมพยายามจะคุย แต่สิ่งที่อาตอบกลับมา ผมไม่เคยได้ยิน อาจับกระดาษปากกาเขียนไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย ผมทำได้แค่ตีความจากสีหน้าแววตา ซึ่งนั่นแทบจะมีค่าเท่ากับไม่รู้อะไร

ผีไม่เคยเปลี่ยน แต่คนเปลี่ยนไปเสมอ

พ่อเป็นหนึ่งในผู้คนที่ออกไปไฮด์ปาร์กเรียกร้องที่สนามหลวงยุคพิบูลสงครามครองเมือง วิ่งหลบการไล่ล่าหัวซุกหัวซุน ทั้งพ่อกับอา ต่างฝ่ายต่างเอ่ยว่าเกลียดเผด็จการกันจนเข้าไส้ แต่ไม่รู้ทำไมอาไม่เคยเปลี่ยน แต่พ่อเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

อาจเป็นเพราะว่าอาตายไปแล้ว

คนตายไม่เปลี่ยน มีแต่คนเป็นที่เปลี่ยนแปลง ผมโตขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่พ่อก็แก่ตัวไปเรื่อยๆ เช่นกัน ช่วงหลังพ่ออ้างเสมอว่าไม่สนใจการเมืองแล้ว ออกห่างจากเรื่องทางโลกแล้ว พ่อนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินเจทุกวันพระ เดินไปเดินมาในบ้านอย่างสงบ นั่นทำให้หลายครั้ง ผมก็เห็นพ่อกับอาสลับกัน

พ่อชอบนั่งดูโทรทัศน์ช่องเดิมๆ ซ้ำๆ ทุกวัน

ตอนแรกผมก็ไม่ติดใจอะไรมากนัก แต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มปะทุรุนแรงอีกครั้ง หลายครั้งผมก็รู้สึกขัดใจเหลือทนกับความเอียงกระเท่เร่กับสื่อที่พ่อเลือกรับ

“ทำไมพ่อไม่ดูช่องที่มันเป็นกลางกว่านี้”

“พ่อรู้ตัวน่าว่ากำลังทำอะไร ฟังแบบนี้ดีแล้วจะได้คิดมุมอื่นบ้าง”

พ่ออ้างแบบนั้นตลอด อาเองก็ได้ยินทุกครั้ง และยิ้มเยาะออกมาทุกครั้งเช่นกัน ผมเบื่อกับคำว่าเหลืองเหลืองแดงแดงจากโทรทัศน์นั่นเต็มทน ผมเชื่อว่าพ่อต้องการจะกล่อมเกลาผม ด้วยวิธีอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่าเดิม ผมกระโจนตัวลุกขึ้น คว้าเสื้อสีแดงมาสวมและเดินออกจากบ้านไป

 

3)

ในบางคราวกรุงเทพฯ ก็ต่างจากสมรภูมิรบไม่มาก

การอยู่แต่บ้านทำให้ผมลืมวันลืมคืนไปหมด พ่อแก่กว่าผมเสมอ ในขณะที่อาไม่เคยเปลี่ยน นั่นหลอกลวงให้ผมเข้าใจว่าเวลาไม่เคยออกเดิน แต่ความจริงนั้นเปล่า เมื่อผมออกมาพบแสงตะวันอีกครั้ง ร่างกายของผมหยาบกร้าน ผิวของผมเป็นกระปื้น และตาของผมฝ้ามัว

ผมเดินออกไปตามถนน ไม่มีจุดหมายมากนัก

สีเสื้อของผมดูจะเป็นสิ่งต้องห้ามและใบเบิกทางในเวลาเดียว ผู้คนมองผม บางคนซุบซิบนินทา บางคนทำหน้าตาถมึงทึงใส่ บางคนโห่ร้องต้อนรับ บางคนตะโกนไล่ และบางคนสรรเสริญเยินยอ ผมเดินเรื่อยๆ ไปตามถนน เงาเรื่อรางอะไรสักอย่างที่กำลังนำผมไป

“ออกไปเถอะน้องตรงนี้อันตราย”

“อันตรายอะไรพี่ กลางกรุงเทพฯ กลางวันแสกๆ ใครจะทำอะไร”

ผมพูดขณะผ่านลึกเข้าไปในความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าไปทำไม แต่เหมือนมีสายตาที่อยากจะหักห้ามของพ่อคอยดุนหลังผมมาตลอด “มันเป็นพวกนอกคอก มันเป็นพวกคอมมิวนิสต์” เสียงของพ่อดังกระซิบในจังหวะที่เสียงหนึ่งดังระเบิดขึ้นท่ามกลาง

ผมล้มลงโดยไม่รู้สึกอะไรเลย

ทุกอย่างจบสิ้นโดยเรียบง่ายฉับพลัน ไม่มีมีแรงมากพอแม้แต่จะเงยหน้าหรือพลิกตัวกลับไปมองให้เห็นชัดว่าใครกันแน่ที่ระเบิดกระสุนมาจากเบื้องหลัง ร่างกายของผมอ่อนเบา ลอยคว้าง ก่อนจะค่อยไกลห่างออกมาจากสมรภูมิสีเลือดบนลานละเลง

 

4)

ผมกลายเป็นผีแล้ว

นั่นไม่ได้เกินความคาดหมายของผมไปนัก แต่ที่ผมเหลือคาด คือมหานครที่นี่มีผีอยู่เต็มไปหมด บนถนน กลางกองเลือด ใต้เก้าอี้ ในถังแดง ก้นแม่น้ำ ห้อยบนรั้ว ท่ามกลางสวนลับ ลึกลงไปในคุกใต้ดิน ซอกหลืบของห้องไต่สวน หรือแม้กระทั่ง ใจกลางแห่งความมลังเมลืองงดงาม

มีผีอยู่เต็มไปหมด มีผีอยู่ทุกที่

พ่อไม่เคยเห็นสักผี สักชีวิตที่สูญหายตายจาก ผมเห็นแต่ผี ผีผู้เป็นอาหนึ่งเดียว เรือนร่างล่องลอยว่างเปล่า หากแต่ไม่ใช่ ผีมีอยู่ทุกที่ อยู่ทุกลมหายใจ อยู่ในทุกการจากไปของเศษซากฝุ่นของเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหลจากการฆ่า

โชคร้าย… ใครสักคน… ตาย

ผมเพิ่งเข้าใจความหมายอย่างจริงแท้ก็เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 นี่เอง •