วันอังคารและเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา | เรื่องสั้น : สุมาตร ภูลายยาว

หลายคนถามว่าทำไมถึงเลือกเผาศพเธอในวันอังคาร ผมตอบพวกเขาว่าไม่ได้เลือก และไม่มีสิทธิเลือก ทุกอย่างถูกกำหนดโดยโรงพยาบาลและวัด เงื่อนไขนั้นตั้งขึ้นเฉพาะ แม้เธอจะเสียชีวิตในวันเสาร์ วันอาทิตย์หรือวันจันทร์ก็เผาศพได้ แต่ผมยังหาวัดจัดการเผาศพเธอในวันดังกล่าวไม่ได้ วันที่เมรุว่างคือวันอังคาร ผมจึงต้องเผาศพเธอในวังอังคาร คนเฒ่าคนแก่บอกไว้ว่า “คนตายวันเสาร์เผาวันอังคารนั้นแรงนัก” คนมีวิชาอาคมกระทั่งพระเกจิบางรูปยังต้องเก็บเถ้ากระดูกเอาไว้เพื่อทำเครื่องรางของขลัง แต่สัปเหร่อที่วัดไม่คิดเช่นนั้น เขามีหน้าที่เผาและเผา เมื่อเผาเสร็จก็กวาดเศษเถ้ากระดูกลงใส่ถุง ถ้าศพนั้นไร้ญาติก็นำอัฐิไปเก็บไว้ในที่เก็บอัฐิของศพไร้ญาติ แต่ถ้ามีญาติๆ มารอรับเถ้ากระดูก สัปเหร่อจะจัดการห่อใส่ผ้าขาวอย่างดี ปลายทางของเถ้ากระดูกเหล่านั้นอาจจอยู่ที่แม่น้ำสายใดสายหนึ่ง หรือทะเลแห่งใดแห่งหนึ่ง

เพราะเธอเสียชีวิตจากโรคระบาดจึงมีญาติไม่กี่คนเท่านั้นได้เข้าร่วมพิธีศพ ในวันเผาศพของเธอ เพื่อนบางคนย้ำว่าคนตายวันเสาร์แล้วเผาวันอังคารนั้นแรงนัก แต่ช่างเถอะ ใครจะว่ายังไง นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา ส่วนผมก็ทำหน้าที่ของตัวเอง

หลังจัดงานศพและจัดการธุระต่างๆ เกี่ยวกับเธอจนลุล่วง ผมจึงได้อยู่ลำพัง แต่เมื่ออยู่ลำพังผมพบว่ามันยากกว่าวันที่เราอยู่ด้วยกัน ลองคิดดูสิ ในห้องที่เคยอยู่ด้วยกัน หันหน้าไปทางไหนเรื่องราวทุกอย่างยังแจ่มชัด ทุกครั้งที่ม่านหน้าต่างไหวด้วยแรงลม ผมยังเผลอนึกไปว่าเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้หน้าต่าง เธอคงเปิดม่านเล่นหรือขยับม่านเพื่อเปิดหน้าต่าง กระทั่งคิดเอาเองว่าเธอคงกำลังเปิดหน้าต่างเพื่อมองข้างนอก โดยสัตย์จริงผมไม่ใช่คนกลัวผี ยิ่งผีคนรักทำไมผมต้องกลัว แม้ว่าตอนเราอยู่ด้วยกันผมจะกลัวเธอก็ตาม

ศพผ่านไปร่วมเดือน ผมยังอยู่กับความเศร้าที่บรรยายไม่ถูกว่ามันเศร้าขนาดไหนและจะเปรียบเทียบกับอะไร เพื่อนบางคนแนะนำให้ผมย้ายห้องเช่า บางคนถึงขั้นอาสาพาผมไปเที่ยว โลกในความเศร้าของผมเหมือนดิ่งลงสู่ความอับทึบทุกวัน บางคืนผมนอนกลอกตาไปมามองเพดานเป็นชั่วโมงกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้ โดยเฉพาะช่วงที่โดนกักตัวสิบสี่วัน มันเป็นสิบสี่วันที่แสนทรมาน ผมเฝ้ามองความเป็นไปของผู้คนผ่านโทรทัศน์ หน้าจอมือถือ กระทั่งนอกหน้าต่าง ผมไม่รู้อะไรมากไปกว่าสิ่งที่เห็น หลังพ้นจากระยะกักตัวและตรวจหาเชื้อ เมื่อผลตรวจเป็นลบ ผมกลับไปทำงานอีกครั้ง แต่ความเศร้าที่ผมมีเริ่มส่งผลต่องาน ผมถูกหัวหน้าเรียกพบ เขาให้เวลาผมไปพัก เพื่อให้จัดการตัวเองให้เสร็จแล้วกลับมาทำงานใหม่

ในวันที่ผมถูกพักงานนั้น เหมือนมีมือขนาดใหญ่จับผมแล้วเหวี่ยงออกไปนอกวงโคจรของโลก ผมกลับถึงห้องด้วยร่างและดวงใจแหลกสลาย

 

การเริ่มต้นชีวิตใหม่สำหรับผมมันยาก ผมทำตามคำแนะนำของเพื่อนบางคนไม่ได้

เช้าวันอังคารขณะผมเดินออกจากห้องที่พักชั้นสิบสาม ผมเดินสวนกับพี่ห้องฝั่งตรงข้าม นานๆ ทีจะเห็นแกกลับมาห้อง เพราะบางช่วงแกหายไปร่วมเดือน แกทักผมด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นมา

“น้องเมื่อคืนทะเลาะกับแฟนเหรอ ถึงไม่ยอมให้แฟนเข้าห้อง พี่เห็นแฟนน้องยืนร้องไห้อยู่หน้าห้อง อย่าทิ้งน้องผู้หญิงไว้แบบนั้นนะ มันอันตราย คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้” แกพูดจบ ผมทำหน้างงๆ ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม ผมไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มตอนนั้นเป็นแบบไหน

“มีเรื่องกันนิดหน่อยครับ” ผมพูดจบ เราก็แยกย้ายกัน แกเดินเปิดประตูเข้าไปในห้อง ผมมุ่งหน้าไปลิฟต์ ผมไม่อยากโกหก แต่ถ้าผมพูดความจริงไปแล้ว เรื่องมันอาจจะไม่จบแค่นั้น

ผมจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ

 

หลังกลับมาทำงานได้สองวัน เลิกงานวันศุกร์ผมมีนัดกับเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้ทำงานร้านจิวเวลรี่ งานออกแบบเครื่องประดับไม่เป็นสองรองใคร เพื่อนคนนี้บอกกับผมถึงความเป็นไปได้ในการเอาเถ้ากระดูกของเธอที่ผมเก็บไว้มาทำเป็นเครื่องประดับสักชิ้น หลังการพูดคุยจบลง เราแยกย้ายกัน ผมกลับบ้าน เพื่อนกลับไปทำงานต่อ วันจันทร์ต่อมาผมก็ได้รับเครื่องประดับทรงกลมชิ้นหนึ่ง มันเป็นเครื่องประดับที่ไม่มีลวดลายพิเศษใดๆ ด้านในเป็นเถ้ากระดูกของเธอที่ถูกจัดเรียงเป็นรูปใบหน้าของเธอ ด้านนอกหุ้มไว้ด้วยเรซิ่น ผมรับเครื่องประดับชิ้นนั้นมาด้วยดวงใจพองโต

ใครบางคนเคยบอกว่า “คนรักของเราไม่เคยจากไปไหน ถ้าเรายังระลึกถึง”

ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก จนวันที่ผมได้เครื่องประดับชิ้นนั้นมา คืนวันอังคารผมฝันถึงเธออีกครั้ง หลังๆ มาผมเริ่มฝันถึงเธอทุกวันอังคาร ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ในฝันเรานั่งอยู่บนเรือเหนือแม่น้ำสายหนึ่ง เธอยิ้มมีความสุขไม่ต่างจากผม แต่ขณะเรือล่องไป ฟ้าค่อยๆ มืดลงเหมือนพายุใหญ่กำลังจะมา คนขับเรือคงรู้ว่าพายุกำลังจะมาจึงเร่งเครื่องยนต์ เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย แต่การไปถึงจุดหมายนั้นเป็นเพียงการบอกกล่าวก่อนขึ้นเรือ ลมพัดแรงขึ้น เมฆฝนทะมึนดำต่ำเรี่ยลง ฟ้าแลบหลายต่อหลายครั้ง ผมเห็นใบหน้าเธอเรียบเฉยไม่มีความกลัว ผมก็เบาใจ ฟ้าร้องดังใกล้เข้ามา ในที่สุดฝนก็กระหน่ำลงมา คนขับเรือถูกพลางสายตาด้วยม่านฝน ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้โดยสารท้องถิ่นหลายคนต่างสาละวนอยู่กับการเตรียมตัวลงจากเรือ เพราะถ้าผ่านคลื่นใหญ่ข้างหน้าไปแล้วก็จะถึงท่าเรือ แต่ไม่เป็นดังนั้น ขณะเรือใกล้จะถึงท่า ทั้งลมและฝนก็แรงขึ้น ลมพัดเรือจนโคลงเคลงไปมา คลื่นใหญ่โถมเข้าด้านข้างจนเรือเสียการทรงทรงตัว

สายฝนยังกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ด้านนอกเรือถูกพรางไว้ด้วยม่านฝน ยิ่งเข้าใกล้ท่าเรือเท่าไหร่คลื่นยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดคลื่นก็ซัดเข้ามาทางกราบเรือด้านซ้าย เรือเอียงวูบไปแล้วกลับมาตั้งลำใหม่พร้อมกับน้ำจำนวนมหาศาลไหลเข้ามาในเรืออย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำเข้ามาจำนวนมาก เครื่องยนต์เรือดับลง อุปกรณ์ระบายน้ำออกจากเรือไม่สามารถทำงานได้ ด้านท้ายเรือจึงค่อยๆ จมลง ผู้ด้านโดยสารบางคนคว้าชูชีพแล้วรีบกระโดดหนีเพื่อเอาตัวรอด บางคนพรวดพราดไปที่หัวเรือ ผมจับมือเธอไว้แน่น ถามเธอว่ากลัวไหม เธอพยักหน้ารับ ผมรีบกระชับชูชีพให้เธอและของตัวเอง จากนั้นจึงฉุดแขนเธอให้ยืนขึ้น เมื่อยืนจนมั่นคงแล้ว ผมจึงพาเธอกระโดนลงไปในน้ำ เมื่อสัมผัสผิวน้ำ ผมพบว่าเรือกำลังจมลง ผู้โดยสารหลายคนถูกสายน้ำพัดไหลไกลออกไป บางคนลอยคอรอการช่วยเหลือเช่นเดียวกับเราสองคน ผมพยายามใช้มือและเท้าพยุงตัวเองให้อยู่เหนือผิวน้ำ แต่คลื่นลมที่แรงก็ค่อยๆ พัดผมและเธอให้ไกลออกไปจากท่าเรือ เมื่อไกลออกไปผมหมดแรงและเริ่มจมลง มือที่กุมมือเธอไว้แน่นค่อยๆ คลายออก ในที่สุดผมและเธอก็จมหายไปกับสายน้ำ ในความทรงจำสุดท้ายผมเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ และขาของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นส่วนหางของปลา เธอโบกมือให้ผมเหมือนการบอกลา จากนั้นเธอก็ว่ายน้ำหายไปกับฝูงปลา ผมร้องเรียกเธอสุดเสียง จากนั้นจึงสะดุ้งตื่น เพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ดังขึ้น

“เราฝันไปเหรอวะเนี่ย” ผมรำพึงรำพันกับตัวเองขณะเดินเข้าห้องน้ำ

 

เช้าวันพุธ ผมไปทำงานตามปกติ คืนวันพุธจนถึงวันจันทร์ผมไม่ฝันถึงเธออีกเลย แม้ว่าก่อนนอนผมจะบอกให้เธอมาเข้าฝันผมอีก เพราะนอกจากเครื่องประดับจากเถ้ากระดูกของเธอที่ห้อยคอแล้ว ก็มีความฝันนี่แหละที่เยียวยาผมจากความคิดถึง

วันอังคารต่อมา ผมไปทำงานตั้งแต่เช้ากลับห้องตอนเกือบสี่ทุ่ม ระหว่างดินขึ้นบันได ผมสวนทางกับพี่ห้องฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง แกหอบหิ้วของพะรุงพะรัง แกมองหน้าผมครู่หนึ่งแล้วเร่งรีบเดินลงบันไดไป เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสาม ผมพบว่าน้องห้องข้างๆ ก็กำลังขนย้ายของ

“น้องย้ายออกแล้วเหรอครับ” ผมเอ่ยถามขณะกำลังจะเดินผ่านหน้าห้อง

“อยู่ไม่ได้แล้วครับพี่ แฟนผมเจอแฟนพี่นั่งร้องไห้หน้าห้องพี่ทุกคืนเลย” น้องผู้ชายตอบขณะสาละวนกับกล่องกระดาษใบใหญ่

“จริงพี่เมื่อคืนหนูกลับห้องมาตอนตีสอง หนูเห็นแฟนพี่ยืนร้องไห้อยู่หน้าห้อง” น้องผู้หญิงพูดพร้อมกับเดินตรงมาที่ประตู

“แปลกจัง พี่ยังไม่เคยเจอเลย”

“เขาคิดว่าพี่คงกลัวหรือเปล่าครับเลยไม่มาให้เห็น” น้องผู้ชายแสดงความเห็น ผมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปเปิดประตูห้อง เปิดไฟ เมื่อไฟสว่างขึ้น ผมพบว่ามีผมอีกคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง ผมขยี้ตาสามสี่ครั้งแล้วเพ่งมอง ผมอีกคงยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง ผมเดินเข้าไปชิดขอบเตียงเพื่อมองให้แน่ใจ ใช่แล้ว!!

มีผมอีกคนนอนอยู่บนเตียง ขณะยืนงงอยู่นั้น ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกและมีใครสักคนเดินออกมา

 

“เธอกลับมาเมื่อไหร่”

ผมหันไปทางเสียงนั้นทันที ผมจำไม่ผิดหรอก เจ้าของเสียงนั้นคือแฟนผมเอง ผมยืนนิ่งครู่หนึ่งแล้วรวบรวมสติ จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาเธอ ผมยื่นมือไปกุมข้อมือของเธอแล้วพูดออกมา

“เธอกลับมาหาเราจริงๆ ด้วย”

“เธอจะบ้าเหรอ ถ้าไม่กลับมาหาเธอแล้วจะให้เราไปไหน ยิ่งโรคกำลังระบาดเขาห้ามเดินทาง เราจะไปไหนได้ เธอต่างหากที่ต้องรีบกลับมาหาเรา ข้างนอกนั้นอันตรายกว่าในห้องหลายเท่า นี่รีบไปอาบน้ำสระผมเลยนะจะได้ไม่ติดโรค”

“แล้วเมื่อวานและวันก่อนๆ โน้นเธอหายไปไหนมา” ผมถามเธอก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำ

ขณะจะเดินไปห้องน้ำ ผมพบว่าบนเตียงยังมีผมอีกคนนอนนิ่งอยู่

“เราไม่ได้หายไปไหน เธอต่างหากที่หายไป เรากำลังจะถามอยู่พอดี ไปไหนไม่ยอมบอกกันเลย ดีนะเรามีกุญแจ ไม่งั้นคงเข้าห้องไม่ได้ แล้วจะบอกได้หรือยังว่าหายไปไหนมา”

“เราหายไปไหนไม่สำคัญ เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันนั้นสำคัญกว่า” ผมบอกเธอแทนคำตอบ

“ไม่รู้สิ สำหรับเธอมันอาจไม่สำคัญ แต่สำหรับเรามันสำคัญนะ เธอรู้ไหม หลังเลิกงานเราต้องกลับห้องคนเดียว ในซอยก็เปลี่ยว เรากลัวมากเลยนะ ปกติเราจะรอกลับบ้านพร้อมกัน แต่พอเธอหายไปเราก็เคว้งเลย”

“เราก็เหมือนกัน วันก่อนๆ โน้นที่เธอไม่อยู่ เราก็เคว้งเหมือนกัน โลกของเราหม่นเศร้าลงทุกวัน ห้องนี้มันเงียบมากเลยนะ”

หลังผมพูดจบ เธอก็เดินเข้ามาแล้วโอบกอดผมเอาไว้

“เราให้สัญญาต่อกันนะว่าจะไม่ห่างกันไปไหนแบบนี้อีก” หลังพูดจบ เราสบตากัน ผมเงยหน้ามองผ่านไหล่ของเธอไปที่เตียง ผมอีกคนยังนอนอยู่บนเตียง

เหมือนเธอจะรู้ว่าผมกำลังสนใจผมอีกคนที่นอนอยู่บนเตียง เธอจึงพูดขึ้นมา

“เธอไม่ต้องสนใจหรอก เธอนอนอยู่แบบนั้นมาสองวันแล้ว เราพยายามปลุกแล้ว แต่เธอไม่ตื่น” หลังเธอพูดจบ ผมคลายอ้อมกอดจากเธอแล้วเดินไปที่เตียง เมื่อไปถึงผมพยายามจับข้อเท้าของผมอีกคนที่นอนอยู่บนเตียงเขย่า แต่ผมจับไม่ได้ ผมคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ผมยืนงงอยู่ครู่หนึ่งแล้วสะดุ้งสุดตัวเมื่อไฟในห้องดับลง

ในห้องนั้นมืดลงชั่วขณะ ผมหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อปรับม่านตาให้ชินกับความมืด ในห้องนี้ต่อให้มืดแค่ไหน ผมก็รู้ว่าข้าวของอะไรวางอยู่ตรงไหน ยกเว้นแต่มีคนมาเคลื่อนย้ายมันเท่านั้น ผมเดินกลับไปที่โต๊ะด้านข้างเตียงแล้วยื่นมือควานหาโทรศัพท์มือถือเพื่อเปิดไฟฉาย

เมื่อไฟสว่างขึ้น ผมพบว่าเธอไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว และผมอีกคนก็ไม่อยู่บนเตียง ในห้องว่างเปล่าราวกับว่าห้องนี้ไม่เคยมีคนอยู่ ไม่มีเตียง ไม่มีโต๊ะ ไม่มีข้าวของใดๆ มีเพียงห้องเปล่าๆ เหมือนวันแรกที่ผมและเธอย้ายเข้ามาอยู่ ผมยืนนิ่งอยู่กลางห้องทบทวนเรื่องราวครู่หนึ่งจึงทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ขณะนั่งลงผมพบว่าร่างกายขยับไม่ได้ เรี่ยวแรงไม่มี เมื่อก้นถึงพื้นตัวผมเอียงไปข้างหน้าจนศีรษะโขกเข้ากับพื้นห้องอย่างแรง แล้วผมก็หมดสติไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่มารู้ตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมรวบรวมกำลังที่มีลุกขึ้นยืนแล้วนิ่งฟัง ทั้งที่ในใจนั้นร้อนรน เพราะผู้หญิงที่ยืนคุยกับผู้ชายเสื้อดำที่ผมไม่คุ้นเคยนั้นคือแฟนผมเอง

“ถ้าคุณตกลงเช่า ผมคิดราคาพิเศษนะครับ เพราะห้องนี้ไม่มีคนเช่ามาหลายเดือนแล้ว” ชายเสื้อดำบอก

“ย้ายเข้าได้วันไหนคะ”

“จ่ายมัดจำล่วงหน้าแล้วก็ย้ายเข้าได้เลยครับ แต่ก่อนจะย้ายเข้ามารบกวนโทร.มาบอกก่อนนะครับ เพราะทางเราจะได้ยกเตียงนอน ตู้ใส่เสื้อผ้า แล้วก็โต๊ะขึ้นมาไว้ให้ก่อนครับ” ทั้งสองคุยกันอีกครู่หนึ่งแล้วเดินออกจากห้องไป

ผมเรียกเธอซ้ำๆ หลายครั้ง เหมือนกับว่าเธอไม่ได้ยินเสียงผม มิหนำซ้ำเธอมองไม่เห็นผม ทั้งที่ผมเรียกชื่อเธอและเดินเข้าไปจับแขน แต่เธอทำเหมือนว่าผมไม่ได้อยู่ในห้องนั้น เธอยังคงเดินไปเดินมา เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะจัดวางข้าวของไว้ตรงไหนบ้าง ขณะเธอเดินผ่านหน้าผมไป ผมพยายามฉวยคว้าข้อมือเธอ แต่ผมคว้าได้เพียงความว่างเปล่า

เธอเดินไปเดินมาครู่ใหญ่ก่อนจะนั่งลงตรงมุมห้องใกล้กับประตูระเบียง เธอนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ผมเห็นเธอร้องไห้ เธอนั่งร้องไห้อยู่ครู่ใหญ่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอหยิบมันออกมาจากกระเป๋า นั่นไม่ใช่โทรศัพท์เธอ แต่มันเป็นของผม

ผมนิ่งฟังบทสนทนา แล้วน้ำตาผมก็เริ่มไหลอกมา

 

หลังปลายสายเงียบลง เธอก็เดินออกจากห้องไปทิ้งผมไว้เพียงลำพัง หลังประตูห้องถูกปิด ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอีกครั้งแล้วรวบรวมสติตริตรองเรื่องราวต่างๆ ผมถามตัวเองซ้ำๆ ว่า “ทำไมเธอถึงมองไม่เห็นผมและไม่ได้ยินแม้กระทั่งตอนที่ผมเรียกชื่อเธอ แต่ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก หลังนั่งคิดจนเมื่อย ผมจึงเอนหลังลงกับพื้นห้อง ในการรับรู้สุดท้ายของผมก่อนที่จะหลับไป ผมพบว่าผมนอนอยู่บนเตียง”

ผ่านไปสองวัน เธอเริ่มขนย้ายสิ่งของต่างๆ นานเข้ามาในห้อง คราวนี้เธอไม่ได้มาเพียงลำพัง เพื่อนของเธอสองสามคนมาช่วยขนของจัดโน่นนี่จนดึกดื่น ผมเฝ้ามองเหตุการณ์นั้นอย่างเงียบๆ จนเพื่อนเธอกลับกันหมด ผมจึงเดินเข้าไปหาเธออีกครั้ง พยายามเอื้อมมือไปจับมือเธอ แต่ก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า ในห้องนั้นไม่มีผมอีกแล้ว เธอมองไม่เห็นผม ผมเดินกระสับกระส่ายไปมา จากหน้าห้องไปหลังห้อง จากเตียงไประเบียงหลายต่อหลายรอบ เวลาในห้องผ่านไปอย่างเชื่องช้า ขณะผมหยุดยืนมองเธออยู่นั้น ผมเห็นเธอล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย บนเตียงนอนผมเห็นรูปตัวเองอยู่ในกรอบไม้สีดำ ผมเดินเข้าไปเพื่อจะหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดู แต่ขณะเดินไป ผมพบว่ารอบตัวผมเต็มไปด้วยควันสีขาว

เมื่อควันนั้นจางลง ผมพบว่าตัวเองกลายเป็นกองเถ้ากระดูกรูปคนย่อส่วนที่ถูกจัดวางไว้บนผ้าสีขาว •